ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1520 ให้คำมั่นสัญญาและรักษาคำพูด

บทที่ 1520 ให้คำมั่นสัญญาและรักษาคำพูด

ฮิวจ์คนน้องกำลังคุยกับวัยรุ่นพวกนั้น ส่วนวินนี่ก็ยืนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ

หลังจากลงมาจากรถฉินสือโอวก็ดันฝูงคนพวกนั้นเพื่อเปิดทางให้เขาเดิน เมื่อเข้ามามองใกล้ๆ เขาก็เห็นว่าบนพื้นมีของจำพวกแผ่นป้ายประท้วงอยู่เป็นจำนวนมาก สารวัตรโรเบิร์ตก็ยังคงประคองพุงใหญ่ๆ ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ อย่างที่ทำเป็นประจำ

พอเห็นฉินสือโอว สารวัตรพุงบวมเบียร์ก็เป็นฝ่ายเข้ามาอธิบายให้เขาฟังด้วยตัวเอง “วัยรุ่นพวกนี้จะมาจับนกในเมืองของเรา พวกเขาจะจับนกจมูกหลอดหางสั้นไปขาย พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นฉันเลยจับกุมเด็กพวกนี้มา ส่วนพวกที่เหลือเลยมาที่นี่เพื่อประท้วง นายก็รู้ ฉันกับลูกน้องจัดการเรื่องแบบนี้ไม่ได้ พวกเราจะใช้กำลังขับไล่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้”

ราวกับว่าต้องการจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง สารวัตรถึงพูดเน้นคำว่า ‘จับกุม’ เป็นพิเศษ

ขณะนี้นกจมูกหลอดหางสั้นอยู่ในสถานะสัตว์ที่ไม่เป็นอันตรายและได้รับอนุญาตให้จับได้ แต่ถึงอย่างนั้นแต่กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าและสัตว์ปีกของแคนาดาก็ได้กำหนดไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดทำการล่าสัตว์ป่าในปริมาณมาก เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากรัฐบาล

ตัวอย่างเช่นเทศกาลล่าแมวน้ำที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้า ที่รัฐบาลได้ประกาศให้ทำได้อย่างถูกกฎหมาย ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้รัฐบริติชโคลัมเบียจะเกิดภัยพิบัติจากกวางป่าหรือมีหมูป่าระบาด ประชาชนก็ทำได้แค่ฆ่าพวกมันในลักษณะของการล่าสัตว์ธรรมดา โดยจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เฮลิคอปเตอร์หรือปืนไรเฟิลซุ่มยิงในการล่าสัตว์เหล่านั้น

แน่นอนว่าในหลายๆ ครั้งสำหรับเมืองเล็กที่อยู่ใกล้กับชายแดนอย่างเกาะแฟร์เวล กฎหมายและข้อบังคับก็ถูกละเลย ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้วินนี่จึงตั้งใจที่จะบังคับใช้กฎระเบียบข้อหนึ่งคือไม่อนุญาตให้ใช้ตาข่ายในการล่านก และดูท่าว่าคนพวกนี้ก็คงจะมาประท้วงเรื่องนี้นั่นเอง

ฮิวจ์คนน้องที่ดูคล้ายว่าน่าจะรู้จักกับวัยรุ่นพวกนี้กำลังโน้มน้าวให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ซะ ทว่าพวกเขาก็ยังยืนยันที่จะประท้วงต่อ โดยได้โบกมือกำหมัดตะโกนใส่วินนี่ด้วยท่าทางดื้อรั้นอยู่เรื่อยๆ

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่าทางของโรเบิร์ตถึงได้ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ตามกฎหมายนอกจากจะขับไล่ผู้ประท้วงไม่ได้แล้ว พวกเขายังต้องทำหน้าที่คุ้มครองและป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันอีกด้วย

ชาวเมืองกับนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ขายบางส่วนกำลังมุงดูความขัดแย้งอยู่โดยรอบ ท่าทางของวินนี่ในตอนนี้ดูเหนื่อยหน่ายรำคาญใจเป็นอย่างมาก

ฉินสือโอวจึงส่งสายตาปลอบประโลมให้กับเธอ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปถามฮิวจ์คนน้องว่า “คนพวกนี้เป็นอะไรเหรอ? ฉันหมายถึงตัวตนของพวกเขาน่ะ พวกเขาเป็นคนจากที่ไหน?”

คนพวกนี้มีรูปร่างท่าทางเหมือนคนดำ แต่ไม่ใช่คนดำแบบชาวแอฟริกาแท้ๆ รูปร่างหน้าตาก็พอจะหล่อเหลา คล้ายว่าบนร่างกายของพวกเขาจะมีรอยสักอยู่ด้วย แต่เป็นเพราะสีผิวจึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก

ฮิวจ์คนน้องพูดกับเขาอย่างจนปัญญาว่า “พวกเขาเป็นชาวเอธิโอเปีย เป็นชาวยิปซีที่เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ในแคนาดา ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยเห็นคนพวกนี้ที่นครเซนต์จอห์นมาก่อนเลย พวกเขาไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเดียว น่าจะเป็นพวกอันธพาลที่เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ที่ไหนมีโอกาสค้าขายก็ไปหาเงินที่นั่น รับมือกับคนพวกนี้ได้ยากมาก”

ประเทศเอธิโอเปียตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศด้อยพัฒนาที่สุดในโลก เป็นประเทศที่พึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งยังมีโครงสร้างทางอุตสาหกรรมที่อ่อนแอมาก หลายปีมาเกิดนี้ความวุ่นวายภายในขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกนโยบายที่ไม่มีความเหมาะสมไปจนถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ สภาวะเศรษฐกิจที่ใกล้จะล่มสลาย รวมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานของประชากร ผู้ที่สามารถอพยพย้ายถิ่นฐานได้ก็ย้ายไปจนหมดแล้ว

ด้วยปัญหาด้านการศึกษาและความสามารถเฉพาะตัว ทำให้ชาวเอธิโอเปียในอเมริกาและแคนาดาหางานได้ยากมาก ที่ฮิวจ์คนน้องเรียกพวกเขาว่าชาวยิปซีที่เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ในแคนาดา เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง คล้ายๆ กับพวกฮิปปี้สมัยก่อนที่เร่ร่อนไปทั่วทุกที่

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวินนี่ถึงได้ปวดประสาทกับเรื่องนี้ อันธพาลพวกนี้เคยชินกับการอดมื้อกินมื้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น พวกเขาจะทำความผิดแค่เล็กๆ น้อยๆ แต่จะไม่ทำความผิดที่มีโทษหนัก ตำรวจก็ไม่รู้จะจัดการกับพวกเขายังไงเช่นกัน สำหรับคนพวกนี้แล้วการถูกจับไปที่สถานีตำรวจถือว่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดา วัยรุ่นเอธิโอเปียบางคนถึงกับหาเรื่องให้ตำรวจจับเพื่อจะได้เข้าไปกินข้าวคุก พอกินอิ่มแล้วก็ค่อยออกมาใหม่

มีผู้ประท้วงทั้งหมดอยู่ประมาณสิบกว่าคน ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นทั้งหมด พอเห็นว่าดึงดูดความสนใจให้ผู้คนมามุงดูได้มากขนาดนี้ พวกเด็กวัยรุ่นก็ตื่นเต้นดีใจมาก ทีแรกพวกเขาแค่ยกป้ายประท้วงเพียงอย่างเดียว ทว่าตอนนี้กลับมีผู้ประท้วงบางส่วนที่เริ่มจะยกแขนยกขาก่อเหตุวิวาท

ฉินสือโอวที่ได้เห็นอย่างนี้ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เมื่อก่อนตอนที่ทำงานในฝ่ายบุคคลเขาก็เคยรับมือกับกลุ่มคนงานที่ดีแต่โทษบริษัทมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงมีวิธีที่จะจัดการกับคนพวกนี้

เดินไปตรงหน้าวัยเหล่ารุ่นเหล่านั้น ฉินสือโอวถามพวกเขาว่า “เฮ้ ฉันขอถามหน่อยนะ ใครเป็นลูกพี่ของพวกนายเหรอ?”

เด็กวัยรุ่นถักผมเดรดล็อกมองเขาตาขวาง แล้วจึงพูดกับเขาด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่แข็งแรงว่า “ฟัคยู พูดช้าๆ สิวะ ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย”

“ใครเป็นลูกพี่ของพวกนาย?” ฉินสือโอวไม่ถือสาเอาความที่ถูกแสดงกิริยาหยาบคายใส่ แต่กลับเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม

“ฉันเอง มีอะไรไหม?” เด็กถักเดรดล็อกพูดอย่างเหยียดหยาม ท่าทีจองหองแบบนั้นทำให้เบิร์ดและคนอื่นๆ ที่ยืนดูอยู่ข้างหลังเกิดอาการคันไม้คันมือจนพากันกำหมัดรอคำสั่งให้พวกเขาเข้าไปจัดการเด็กพวกนั้น

ฉินสือโอวจะให้คนไปกระทืบพวกเขาก็ได้ ตำรวจที่เมืองนี้คงไม่เข้ามายุ่งอยู่แล้ว แถมคนพวกนี้ก็ไม่มีเงินจ้างทนายมาช่วยทำเรื่องฟ้องร้องอีกต่างหาก เพียงแต่ว่าเขายังมีวิธีอื่นอีก เป็นวิธีที่ง่ายยิ่งกว่านั้น

เขาเข้าไปหาคนดำอีกคนแล้วถามเขาว่า “ใครพานายมาก่อความวุ่นวายที่นี่?”

ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษเท่าไรนัก จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้เขาหันไปหาชายวัยกลางคนหัวโล้นคนหนึ่ง แบบนี้ฉินสือโอวก็รู้แล้วว่าคนที่พาพวกเขามาก็คือชายวัยกลางคนคนนั้นนั่นเอง

ล้วงกระเป๋าตังค์ออกมา ฉินสือโอวหยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนพร้อมกับพูดว่า “ไปต่อยเขา! ใครต่อยได้แรงที่สุดฉันจะให้เงินคนนั้นหนึ่งพันดอลลาร์!”

คนดำสิบกว่าคนที่กำลังส่งเสียงงึมๆ งำๆ ก็พากันหยุดมือโดยไม่ได้นัดหมาย ฉินสือโอวจึงควักเงินออกมาอีกปึกหนึ่ง เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้นอีกพร้อมกับพูดเสียงดังว่า “ต่อยเขาซะ! ต่อยเขาแรงๆ! ฉันมีรางวัลให้!”

พวกคนดำเผลอหันไปทางชายคนนั้น ชายวัยกลางคนก็เริ่มเกิดความหวาดกลัวบ้างแล้ว ตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาตวาดเป็นภาษาที่ฉินสือโอวไม่รู้จักออกมาอย่างดัง

ฉินสือโอวแบ่งเงินก้อนนั้นออกเป็นสองสามส่วน หลังจากนั้นก็ม้วนมันแล้วยัดใส่มือพวกคนดำที่อยู่ทางด้านหน้าแล้วตะโกนว่า “ต่อยไอ้**นั่น! ใครต่อยแรงที่สุด ฉันจะยกเงินพวกนี้ให้หมดเลย!”

เมื่อได้เงินแล้ว สีหน้าท่าทางของคนดำพวกนั้นก็เปลี่ยนไปโดยพลัน วัยรุ่นถักผมเดรดล็อกริมฝีปากหนาๆ แล้วกำหมัดพุ่งเข้าไปชกหน้าชายวัยกลางคนคนนั้นเป็นคนแรก

ทว่าชายคนนั้นดันเป็นนักสู้มือฉมัง พอหลบหมัดของเด็กถักเดรดล็อกได้แล้วเขาก็เตะสวนกลับไปจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไปที่พื้น แต่เมื่อมีคนเริ่มแล้วคนอื่นๆ ที่เหลือก็ถูกปลุกปั่นให้ทยอยลงมือตาม คนดำสิบกว่าคนพากันล้อมชายวัยกลางคนคนนั้นไว้ พวกนั้นผลักเขาให้ล้มหลังจากนั้นก็ทั้งเตะทั้งกระทืบเขา

เป็นอย่างที่ฮิวจ์คนนองว่าไว้จริงๆ คนพวกนี้ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันทั้งหมด หลังจากชายวัยกลางคนถูกรุมกระทืบลูกน้องของเขาก็รีบเข้ามาคุ้มกันแล้วลงมือตอบโต้กลับทันที เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นในกลุ่มคนดำ

ผู้คนที่อยู่แถวนั้นจึงพากันเข้ามามุงดู รวมถึงโรเบิร์ตเองก็ยื่นคอเข้าไปผสมโรงสร้างความวุ่นวายแล้วเช่นกัน นี่ทำให้ฉินสือโอวโมโหจนทนไม่ไหว เขาดึงโรเบิร์ตแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “คุณมัวแต่มองดูอยู่ทำไม? พวกเขาเข้ามาก่อเรื่องวิวาทในเมืองนี้ พวกคุณยังไม่รีบจับพวกเขาอีกเหรอ อย่าบอกนะว่าพวกคุณไม่มีอำนาจจับพวกนั้นในข้อหาทะเลาะวิวาท?”

โรเบิร์ตเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เขารีบพยักหน้าแล้วตอบฉินสือโอวว่า “นายพูดถูก นายพูดถูกแล้ว…”

เขาขยับเข็มขัดหนังเล็กน้อย แล้วจึงสั่งให้ลูกน้องสองคนเข้าไปจับกุมพวกคนดำที่กำลังตีกันอยู่ ปรากฏว่าตอนนี้ชาวเอธิโอเปียต่างก็นอตหลุดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว พอตำรวจทั้งสองนายเข้าไปใกล้ก็ถูกพวกเขาผลักลงกับพื้นทันที

โรเบิร์ตจึงรีบชักปืนออกมา เขาลั่นไกยิงปืนขึ้นไปบนฟ้า เมื่อเสียงปืนดังขึ้น พวกคนดำก็คุกเข่าลงทันที ในคราวนี้ถึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

โรเบิร์ตเรียกรถตำรวจให้มาที่นี่อีกสองคัน ต้องใช้รถตำรวจทั้งหมดสามคันถึงจะสามารถควบคุมตัวคนพวกนี้ไปได้หมด

ท้ายที่สุดฉินสือโอวก็ทำรักษาคำพูดของตัวเอง เขานำเงินไปยัดให้วัยรุ่นคนหนึ่งที่มีเลือดไหลออกมาจากจมูกเป็นทางยาวแล้วพูดกับเขาว่า “ฉันให้นาย ไอ้หนุ่ม เมื่อกี้นายจัดการได้สวยมาก!”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท