ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1521 หมักเบียร์เองเถอะ

บทที่ 1521 หมักเบียร์เองเถอะ

หลังจากช่วยวินนี่จัดการเรื่องน่าเหนื่อยใจได้อย่างง่ายดายแล้ว ฉินสือโอวก็รีบกลับไปหมักนกจมูกหลอดหางสั้นต่อ

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกชาวเอธิโอเปียถึงได้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้น ตอนนี้นกจมูกหลอดหางสั้นอยู่รวมกันบนเกาะ ทำให้ง่ายต่อการจับที่สุดแล้ว ถ้านำส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ในห้องแช่เย็น หลังจากผ่านไปอีกสักพักของพวกนี้จะขายได้ราคาไม่น้อยเลย เนื่องจากนกป่าชนิดนี้มีเนื้อที่นุ่มมันและอร่อยจริงๆ

นกจมูกหลอดหางสั้นไม่เหมือนกับนกทั่วๆ ไป พวกมันมีลำตัวที่อวบอ้วน หลังจากถอนขนและล้างน้ำจนสะอาดแล้ว จะปรากฏให้เห็นเนื้อของนกที่ทั้งอวบอิ่มและเป็นมันเงา ถึงขนาดที่ว่าพอหั่นเนื้อออกก็จะได้เห็นไขมันลายหินอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในเนื้อของสัตว์ปีก

ตอนเย็นพอวินนี่เลิกงานกลับมาบ้าน ฉินสือโอวก็ถามเธอถึงเรื่องชาวเอธิโอเปียพวกนั้น วินนี่จึงไหวไหล่แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “พวกเขาแค่ก่อเหตุทะเลาะวิวาท อย่างมากก็ถูกจับขังไว้แค่ไม่กี่วัน แต่พอถึงตอนที่ถูกปล่อยออกมาฝูงนกก็คงไม่อยู่ที่นี่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีก”

ฉินสือโอวไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย เขาพูดกับเธอว่า “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไอ้พวกนั้นกล้ามาก่อเรื่องอีก ผมจะจัดการเอาให้พวกมันหลาบจำจนวันตายเลย!”

ผ่านไปอีกสองวันก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว คาปาไลชายชาวคิวบามาหาฉินสือโอวแล้วถามเขาว่า “คุณฉินครับ ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการหมักเบียร์มากๆ คุณอยากลิ้มลองรสชาติของเบียร์ที่หมักด้วยมือตัวเองไหมล่ะครับ?”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวยุ่งอยู่กับอะไรหลายๆ อย่างมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน ทริปฮันนีมูนหลังงานแต่ง ในระหว่างการเดินทางกลับจากทริปฮันนีมูนก็ต้องมาพบกับคดีฆาตกรรมบนทะเล หลังจากนั้นก็ต้องมาดูแลรับผิดชอบธุระของกลุ่มพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ ทั้งยังต้องไปซื้อฟาร์มปลาอีก เขาจึงไม่เคยได้ทำตามสัญญา ที่บอกว่าจะจ้างคาปาไลมาสอนเขาหมักเบียร์

ที่ฟาร์มปลามีกระท่อมโรงเบียร์ขนาดเล็กอยู่ด้วย ทว่าเขาใช้มันสำหรับเป็นที่ดื่มเบียร์เท่านั้น ที่จริงแล้วสามารถใช้ที่นี่หมักเบียร์ได้ เพราะข้างในมีอุปกรณ์บางส่วนที่สามารถหยิบมาใช้ได้เลย

คาปาไลยังจำคำที่ฉินสือโอวรับปากไว้ได้ไม่ลืม เนื่องจากนี่นับว่าเป็นหนทางการหารายได้เสริมที่ดีเลย

ประจวบเหมาะกับที่เขาไม่มีอะไรให้ทำช่วงวันหยุด แถมสภาพอากาศก็ไม่เลว ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาว่า “ได้เลยเพื่อน ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมจะเตรียมตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้คุณค่อยมาสอนผมหมักเบียร์ดีไหม?”

คาปาไลหัวเราะแหะๆ เขายิ้มโชว์ฟันทั้งแถวบนและล่าง “ผมเตรียมของมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราเริ่มหมักเบียร์ได้เลย แถมตอนนี้ยังมีนกจมูกหลอดหางสั้นอยู่บนเกาะเยอะขนาดนี้ ผมจะได้ทำกับแกล้มอร่อยๆ ให้คุณสักสองสามจานด้วย แบบนั้นต้องสุดยอดมากแน่ๆ”

ขณะที่กำลังพูดเขาก็ตบกระเป๋าเป้ของตัวเองไปด้วย ข้างในใส่ของไว้จนหนัก ไม่รู้ว่าเขาพกของอะไรมาบ้าง

ในเมื่อคาปาไลพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าฉินสือโอวปฏิเสธก็คงจะไม่ดีนัก เขาจึงเรียกลูกน้องที่กำลังว่างงานให้มาหมักเบียร์ด้วยกัน

ชาวประมงบางส่วนอยู่ที่ฟาร์มปลาแห่งที่ 2 กับแห่งที่ 3 และอีกส่วนหนึ่งก็ออกทะเลไปจับปลาแล้ว ส่วนพวกที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ก็คือแบล็คไนฟ์กับกองกำลังรักษาความปลอดภัย ที่ไม่ได้ออกทะเลเป็นปกติอยู่แล้ว

ฉินสือโอวถามแบล็คไนฟ์ว่า “นายหมักเบียร์เป็นไหม?”

แบล็คไนฟ์หัวเราะแหะๆ แล้วตอบว่า “ผมดื่มเบียร์เก่งสุดๆ เลยล่ะ”

ฉินสือโอวกลอกตาใส่ แล้วบอกให้เขาไประดมคนมาหัดหมักเบียร์ หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อเบียร์มาจากข้างนอก แถมยังไม่ต้องขับรถเข้าไปในเมืองให้วุ่นวายอีกต่างหาก

เมื่อเข้ามาในกระท่อมโรงเบียร์ คาปาไลที่กำลังใช้มือถูอุปกรณ์ด้านในพร้อมกับมองไปรอบๆ ก็เผยรอยยิ้มซื่อๆ ออกมาแล้วถามเขาอย่างหยั่งเชิงว่า “คุณฉิน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมขออธิบายให้พวกคุณฟังอย่างคร่าวๆ ก่อนได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “วางใจเถอะพี่คา ตอนนี้คุณเป็นครูของพวกเราแล้ว ถือว่าพวกเราเป็นลูกศิษย์ของคุณเลยแล้วกัน”

คาปาไลหัวเราะแหะๆ ตอบเขาว่า “ผมไม่กล้าหรอกครับ แต่ถึงยังไงผมขอเริ่มเลยแล้วกันนะครับ คุณฉินคุณมีอุปกรณ์อยู่อย่างครบครันเลยนะครับ ช่วยลดขั้นตอนการประกอบอุปกรณ์แล้วก็ประหยัดเวลาได้เยอะ พวกเราก็เริ่มเรียนเลยก็ได้”

“ผมจะพูดให้พวกคุณฟังคร่าวๆ ก่อนนะ การหมักเบียร์เป็นเรื่องที่ง่ายมาก โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็นการเตรียมข้าวมอลต์ ขั้นตอนการเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาล การหมักจะมีสามขั้นตอน หลังจากหมักจนได้ที่ พวกเราก็จะได้ดื่มเบียร์กันอย่างเต็มอิ่มแล้ว”

อุปกรณ์หมักเบียร์ในกระท่อมโรงเบียร์มีลักษณะของความเป็นครัวเรือนมาก ไม่ว่าจะเป็นหม้อแรงดัน ถังเก็บรักษาอุณหภูมิ ถังน้ำที่ทำด้วยกระจก ขวดแก้วแบบต่างๆ เทอร์มอมิเตอร์ ปั๊มลมออกซิเจนทางเดียว กรวยกรองน้ำกับสายยางที่ประกอบรวมกันเป็นสายการผลิตขนาดเล็ก

คาปาไลแนะนำอุปกรณ์พวกนี้ทีละชิ้น “นี่คือสายการผลิตในครัวเรือน คุณฉินครับที่จริงคุณไม่ต้องซื้อก็ได้นะครับ ผมก็ทำให้คุณได้ พวกคุณดูนี่นะ หม้ออัดแรงดันอันนี้ใช้สำหรับต้มน้ำให้เดือด ใช้กล่องเก็บรักษาอุณหภูมิสำหรับเปลี่ยนข้าวมอลต์ให้กลายเป็นน้ำตาล ส่วนถังน้ำก็คือถังหมักบ่มนั่นเอง เขามีถังหมักบ่มที่ดีมาก ถังที่ทำด้วยกระจกจะทำให้ได้เบียร์ที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งจะมีรสชาติดีกว่าการหมักด้วยถังที่ทำจากสเตนเลสสตีล ส่วนขวดแก้วพวกนี้มีไว้แบ่งบรรจุเบียร์ที่ยังไม่ถูกปรุงแต่ง…”

แต่สุดท้ายเมื่อเขาได้เห็นและลองบีบสายยางที่มีอยู่ คาปาไลก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “อันนี้ใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ คุณฉิน ผมว่าเปลี่ยนใหม่เถอะครับ สายยางอันนี้เริ่มเก่าแล้ว ตอนสูบน้ำเชื่อมข้าวมอลต์กลับมามันจะติดกลิ่นสายยางเอาได้ แบบนั้นจะทำให้รสชาติแย่มากๆ”

พอได้ยินอย่างนี้ฉินสือโอวก็เริ่มเป็นกังวลแล้ว เขาไม่มีของที่เหมาะที่จะใช้แทนกันได้เลย

ซื้อกระท่อมหลังนี้มาได้ปีครึ่งแล้วแต่ไม่เคยใช้งานมาก่อน จึงไม่แปลกที่สายยางจะเริ่มเก่าแล้ว ที่จริงแล้วสายยางแบบที่คนอื่นเขาใช้กันจะเป็นสายยางแบบฟู้ดเกรด โดยปกติแล้วจะไม่มีทางเกิดการปนเปื้อนของกลิ่นยาง

แบล็คไนฟ์จึงขับรถเข้าไปในเมืองทันที เขาซื้อสายยางที่จะนำมาเปลี่ยนจากร้านขายของจิปาถะ หลังจากนำมาติดตั้ง ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเรียนหมักเบียร์ต่อได้แล้ว

คาปาไลกระแอมไอเล็กน้อยแล้วเตรียมตัวจะทำการบรรยายต่อ แต่ปรากฏว่าพอหันกลับไปเห็นทริกเกอร์ที่กำลังถือกล้องถ่ายวิดีโอมาทางเขา ทันใดนั้นคาปาไลก็เริ่มเกิดอาการเก้อเขินขึ้นมา เขาเอามือลูบจมูกของตัวเองแล้วถามว่า “นั่นคุณทริกเกอร์กำลังทำอะไรเหรอครับ?”

ทริกเกอร์ก็ตอบเขากลับไปด้วยความมั่นใจว่า “กำลังอัดวิดีโออยู่น่ะ ผมความจำไม่ค่อยดีเท่าไร เลยต้องอัดวิดีโอเก็บไว้แล้วค่อยกลับไปทบทวนกับตัวเองอย่างช้าๆ”

คาปาไลหัวเราะออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “นั่นไม่จำเป็นหรอกครับ เดี๋ยวผมจะคอยสอนพวกคุณอยู่ตลอดนั่นแหละ และที่จริงแล้วการหมักเบียร์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ฝึกทำครั้งเดียวพวกคุณก็คงจำได้แล้ว”

พอฉินสือโอวโบกมือปัด ทริกเกอร์ก็เก็บกล้องไว้ หลังจากนั้นคาปาไลจึงได้เริ่มทำการบรรยายต่อ “ในเรื่องของการหมักเบียร์ ขั้นตอนแรกถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือการฆ่าเชื้อโรคนั่นเอง ในหลายๆ ครั้ง สาเหตุที่หมักเบียร์ออกมาได้ไม่ดีมักจะเป็นเพราะฆ่าเชื้อโรคได้ไม่สะอาด ซึ่งจะต้องปล่อยยีสต์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ถ้ามีแบคทีเรียชนิดอื่นเป็นตัวแย่งแหล่งทรัพยากร เบียร์ที่หมักออกมาได้ก็จะไม่มีความสดใหม่”

การฆ่าเชื้ออุปกรณ์เหล่านี้กลายเป็นงานที่ยากลำบาก นั่นก็เพราะตั้งแต่ซื้อมาฉินสือโอวก็ทิ้งมันเอาไว้เฉยๆ มากที่สุดก็แค่นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่บาร์จึงทำให้อุปกรณ์เหล่านี้ค่อนข้างสกปรก

คาปาไลบอกว่าห้ามใช้ผงซักฟอกในการทำความสะอาดอุปกรณ์ เหตุผลแรกเป็นเพราะมันมีกลิ่นถ้าติดอยู่บนพื้นผิวพลาสติกจะกำจัดออกได้ยากมาก เหตุผลที่สองเป็นเพราะว่าถ้ามีสารตกค้างก็จะทำให้เบียร์เป็นฟองและเก็บไว้ได้ไม่นาน

กระท่อมโรงเบียร์มาพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นแปรงแบบต่างๆ ทั้งแบบสั้นแบบยาวก็มีอยู่มากว่ายี่สิบอัน มียาฆ่าเชื้อสูตรเฉพาะ ใช้คู่กับแอลกอฮอล์ที่มีมาให้ นำไปผสมน้ำแล้วหลังจากนั้นจึงแบ่งไปใส่อุปกรณ์ชิ้นต่างๆ ทิ้งไว้แค่สองนาทีก็สามารถฆ่าเชื้อโรคได้จนหมดจดแล้ว

ในระหว่างที่กำลังรออุปกรณ์ที่นำไปฆ่าเชื้อ คาปาไลก็เปิดกระเป๋าเป้ใบหนักออก ข้างในมีข้าวมอลต์อยู่สี่ถุง ฉินสือโอวเห็นว่าแต่ละถุงมีข้าวมอลต์อยู่ห้ากิโลกรัม เพื่อที่จะประหยัดเงิน คาปาไลจึงเลือกที่จะเดินเท้ามาจากในเมือง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีเหงื่อในวันที่อากาศดีแบบนี้

เครื่องบดในกระท่อมโรงเบียร์มีไว้สำหรับใช้บดข้าวมอลต์โดยเฉพาะ แค่เสียบปลั๊ก กดปุ่มให้มันเริ่มปั่น แค่แป๊บเดียวข้าวมอลต์ก็ถูกปั่นจนได้ที่แล้ว

คาปาไลลองบี้ข้าวมอลต์ดูประมาณสองสามเมล็ด หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยปากชมว่า “เป็นเครื่องจักรที่ดีจริงๆ เจ้าเครื่องนี้มันสามารถควบคุมระดับพลังการปั่นได้ด้วย”

การบดข้าวมอลต์จะต้องบดให้เปลือกข้าวขาดแต่ไม่แตกละเอียด ทำแบบนี้ถือว่าจะได้เปลือกที่สมบูรณ์แต่เนื้อข้าวข้างในแหลก ทำให้แยกเปลือกกับออกจากข้าวได้เร็ว

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท