ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1544 มหาศึกในมหาสมุทร

บทที่ 1544 มหาศึกในมหาสมุทร

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกและเรือกำปั่นทะเลใต้ก็เหมือนกับมีดที่แหลมคมสองด้าม มันแทรกเข้าไปอยู่กลางกองเรือของฝ่ายตรงข้ามในทันที และล้อมเรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ทั้งสองด้าน

ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายใกล้เข้ามาในฉับพลัน เรือกำปั่นทะเลเป็นเรือยอชต์ความเร็วสูง ความเร็วจึงเร็วมาก

ฉินสือโอวเดินจากหน้าเรือไปด้านหลัง ในตอนนี้นีลเซ็นที่อยู่ในห้องผู้โดยสารพูดกับเขาว่า “บอสครับ ฝั่งตรงข้ามขอพูดสายด้วยครับ!”

“ไม่ต้องไปสนใจ พุ่งไปข้างหน้า!” ฉินสือโอวพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น

นีลเซ้นดันคันโยกเร่งความเร็วไปข้างหน้าสุดแรง เรือกำปั่นทะเลตะวันออกราวกับม้าป่าที่หลุดจากขลุมขี่ม้า ที่พุ่งตัวเร็วขึ้นในทันที ระยะห่างของทั้งสองฝั่งใกล้เข้ามาในทันที แล้วเข้าไปสู่ระยะเสี่ยง

ตอนกลางคืนลมทะเลแรงมาก ระยะห่างแบบนี้อันตรายมาก สีหน้าลูกเรือของฉันคือผู้ละเมิดสิทธิ์ได้เปลี่ยนไป กัปตันที่หน้าตาเคร่งขรึมได้ถามด้วยเสียงร้อนรนว่า “ฟัค เจ้าพวกบ้าพวกนี้! พวกมันคิดจะทำอะไร? พวกมันอยากชนเรือเหรอ? ไปติดต่อพวกมันให้ฉัน ฉันต้องการจะคุยด้วยหน่อย!”

รองกัปตันพูดอย่างเลือกไม่ได้ว่า “โรบิน อีกฝ่ายไม่รับสาย ฉันส่งคำขอสนทนาไปหลายครั้งแล้ว”

รอจนกระทั่งระยะห่างอยู่ที่สองร้อยเมตรแล้ว ฉินสือโอวจึงค่อยรับวิทยุไร้สาย แล้วพูดเสียงแข็งว่า “พวกแกอยากพูดอะไร?”

ในที่สุดก็สามารถคุยกันผ่านวิทยุไร้สาย โรบินกัปตันของฝ่ายนั้นแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ตอนนี้เรือกำปั่นทะเลตะวันออกแทบจะมาถึงด้านหน้าของพวกเขาแล้ว โรบินสาบานได้ จากแสงอาทิตย์ที่เหลือน้อยนิดนั้น เขาสามารถเห็นหน้าตาของผู้บังคับเรือลำนั้นได้เลย

อดกลั้นความโกรธไว้ โรบินตะคอกออกไปว่า “เพื่อน นายบ้าไปแล้วเหรอ? นายไม่รู้สึกว่าพวกเราอยู่ใกล้กันเกินไปเหรอ? ไอ้ฉันก็ไม่ใช่พวกรักร่วมเพศที่น่าเกลียดนะ นอกจากพวกพ้องของฉันแล้ว ฉันไม่อยากจะอยู่ใกล้กับผู้ชายคนอื่นมากเกินไป…”

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกหนักแค่สี่ร้อยตัน เทียบกับเรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่หนักว่าสองพันตันแล้ว ขนาดของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป เหมือนกับเด็กเล็กมาอยู่ตรงหน้าผู้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

แต่ว่า เพราะเรือกำปั่นทะเลตะวันออกเร็วมาก หากว่าได้ชนกันจริงๆ แล้ว งั้นเรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้เปรียบหรอก แน่นอนว่าเรือกำปั่นทะเลตะวันออกก็ต้องเรือล่มคนล้มตายด้วย แต่เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ก็จะถูกผ่ากลางไปด้วย!

โรบินตะคอกว่า “พวกนายไม่สามารถเข้ามาใกล้กว่านี้แล้วนะ ถอยกลับไป จากนั้น…”

“จากนั้นนายไปตายซะ!” ฉินสือโอวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “โจมตีไปเลย! จัดการพวกมันให้ราบคาบเลย!”

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่คิดที่จะพูดประนีประนอมอยู่แล้ว จะคุยอะไร? สามารถลงมือได้ก็อย่าพูดถ่วงเวลาบลาๆ เลย กฎบนทะเลก็คือคนเก่งถึงจะรอดชีวิตได้ ดังนั้นลูกเรือและชาวประมงถึงได้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของชายชาตรี

ในเมื่อเขาได้จัดการเรือล่าปลาสี่ลำก่อนหน้านี้ไปแล้ว แถมยังจัดการได้ราบคาบเสียด้วย ดังนั้นถ้าไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายไปขอโทษ ก็คือเขาต้องจัดการกองเรือนี้ ไม่มีบทสรุปอย่างอื่น

แน่นอนว่าตัวเลือกของฉินสือโอวไม่ใช่การขอโทษแน่นอน งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ลงมือก่อนได้เปรียบลงมือทีหลังเสียเปรียบ เริ่มการสู้เถอะ!

ปืนน้ำได้ถูกปรับองศาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อระยะห่างอยู่ที่หนึ่งกิโลเมตร เรือกำปั่นทะเลตะวันออกก็เริ่มลดความเร็วลง พอดีกับที่อยู่ในระยะยิงได้แล้ว ตอนนี้เครื่องยนต์มิก-23S ได้เดินเครื่องเต็มที่ น้ำทะเลถูกดูดเข้าไป จากนั้นก็ถูกพ่นออกมาภายใต้แรงดันสูง!

“ตู้ม!”

เสียงตู้มดังขึ้นทีหนึ่ง ก็มีห้วงน้ำสองห้วงยิงไปที่ด้านซ้ายขวาของเรือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายก็คือห้องบังคับการของเรือลำนี้

มีลูกเรือส่วนหนึ่งที่ตอนแรกอยู่ที่ด้านหน้าเรือ บนเรือของพวกเขาก็มีปืนน้ำด้วยเหมือนกัน อย่างไรเสียก็เป็นเรือขนาดใหญ่ และน่าจะต้องแล่นไปนอกชายฝั่งทะเลด้วย มีปืนน้ำด้วยน่าจะปลอดภัยกว่า ในการปะทะกันบนท้องทะเลล้วนพึ่งแต่เจ้านี่กันทั้งนั้น

แต่ไม่ใช่ว่าระยะการยิงของปืนน้ำทุกอันจะยิงได้ไกลถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรได้ ระยะการยิงแบบนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นปืนน้ำกระสุนติดตามได้แล้ว ปืนน้ำทั่วไปสามารถยิงได้แค่สี่ถึงห้าสิบเมตรเท่านั้น ปืนน้ำรุ่นดีที่ประชาชนใช้กันยิงได้แค่หนึ่งร้อยเมตร ที่ยิงได้หนึ่งร้อยห้าสิบเมตรจะต้องใช้เครื่องยนต์เครื่องบินมาดัดแปลงเท่านั้น ราคาสูง มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้กัน

ลำกล้องปืนน้ำของเรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ไม่เล็กเหมือนกัน ดูท่าแล้วน่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อยหนึ่งเมตรได้ แต่ว่าระยะการยิงของพวกเขาใกล้ ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อถูกเรือกำปั่นทะเลสองลำล้อมไว้ตรงกลางแล้ว ปืนน้ำของพวกเขาก็กลายเป็นของประดับไปในทันที และไม่มีคนใช้งานด้วย เพราะทุกคนล้วนถูกโจมตีจนวิ่งหนีไปหมดแล้ว

เมื่อถูกเรือสองลำล้อมไว้แล้วโจมตีพร้อมกัน โรบินไม่ยอมรับไม่ได้ว่าตัวเขาได้ดูถูกฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ตอนแรกเขาได้ยินเพื่อนที่มาขอความช่วยเหลือบอกว่าอีกฝ่ายมีปืนน้ำ แต่เรือของฝ่ายตรงข้ามเป็นเรือเล็กที่หนักแค่สี่ร้อยตันเท่านั้น ก็เลยนึกว่าเป็นปืนน้ำเล็ก

แต่สุดท้าย เรืออีกฝ่ายเป็นเรือเล็กจริง แต่ไม่ใช่ปืนน้ำเล็ก นี่น่ะถือว่าเป็นปืนใหญ่ยิงระยะไกลได้เลยนะ!

ภายในเวลาแค่หนึ่งนาที น้ำทะเลสิบกว่าตันได้ถูกส่งไปที่เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือก็คือเรือลำนี้ขนาดใหญ่ใช้ได้ ทำให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ หากว่าเป็นเรือเล็กขนาดหลายร้อยตันแล้วล่ะก็ แค่นี้ก็ทำให้ถูกกระแสน้ำโจมตีจนเรือล่มได้แล้ว!

ประตูของห้องบังคับการเรือเปิดอยู่ ในที่สุดก็มีห้วงน้ำยิงเข้าไป ทำเอาโรบินที่อยู่ข้างใน รองกัปตันและคนขับเรือถูกน้ำพุ่งใส่จนตัวหงายกันไปหมด คนหลายคนพากันกลิ้งไปมาในห้องบังคับการเรือ โรบินพยายามคลานขึ้นมา คว้าวิทยุไร้สายแล้วตะคอกว่า “ฟัค! จัดการพวกมันให้ฉันซะ! จัดการพวกนี้…ชิท!”

ระยะห่างของเรือล่าปลาห่างกันค่อนข้างไกล ขนาดเรือและหลักตันของเรือพวกนี้ใหญ่กว่า ทำให้ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ เมื่อเป็นแบบนี้ถึงจะเห็นว่าเรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ถูกโจมตี แต่การที่พวกเขาจะเข้ามาช่วยได้ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน

เรือสี่ลำล็อตแรกที่มาถึงเป็นเรือที่อยู่ใกล้เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สุด เรือลำหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากคลังเรือ ตัวเรือที่ทำจากแผ่นเหล็กได้กลายเป็นรอยบุ๋มขึ้นมา

เบิร์ดพูดอย่างระมัดระวังว่า “เป็นปืนไรเฟิลลำกล้องใหญ่อีกแล้ว ระวัง!”

ในตอนนี้ฉินสือโอวได้เห็นชัดแล้วว่าปืนที่ยิงออกมาอย่างกะทันหันนี้มาจากเรือลำไหน เรือที่ใกล้กับพวกเขาที่สุดก็คือเรืออัศวินออร์แลนโด ห่างกันประมาณสองกิโลเมตร แน่นอนว่าปืนถูกยิงมาจากผู้คนบนเรือนี้

เรืออื่นๆ อีกสามลำ ห่างกันอยู่ที่สามสี่กิโลเมตรขึ้นไป แม้ว่าจะเป็นปืนไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านสิ่งอุปกรณ์ก็ไม่มีระยะยิงที่ไกลขนาดนี้ได้!

ฉินสือโอวให้นีลเซ็นขับเรือไปใกล้กับเรืออัศวินออร์แลนโด เขากัดฟันแล้วพูดว่า “ไอ้พวกลูกโสเภณีพวกนี้ถึงขั้นอยากเอาชีวิตฉันเลยเหรอ? ดีมาก ไปติดเครื่องยนต์ให้ฉัน แล้วเปลี่ยนทิศทางน้ำหมุนเวียนซะ!”

เมื่อได้ฟังคำสั่งนี้ นีลเซ็นกับเบิร์ดตกใจเล็กน้อย นีลเซ็นถามด้วยเสียงประหลาดใจว่า “บอส เอาจริงเหรอครับ?”

ความร้อนของเครื่องยนต์เรือบรรทุกนั้นน่ากลัวมาก นี่น่ะน่ากลัวกว่าของรถยนต์เยอะเลย ดีที่เรือแล่นอยู่บนน้ำ สามารถใช้น้ำเย็นลดอุณหภูมิได้ไม่จำกัด แต่ว่าการที่เป็นแบบนี้ น้ำหมุนเวียนที่ใช้ลดอุณหภูมิของเครื่องยนต์จึงถูกทำให้ร้อนเป็นธรรมดา ในสถานการณ์ปกติคือปล่อยน้ำพวกนี้ลงไปในทะเล แต่เมื่อเรือกำปั่นทะเลทำการเปลี่ยนทิศทางน้ำหมุนเวียนพวกนี้แล้ว จะสามารถเชื่อมไปที่ปืนน้ำได้

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกขับไปทางเรืออัศวินออร์แลนโด ปืนน้ำได้ทำการหยุดยิงในชั่วคราว นีลเซ็นและเบิร์ดทำการควบคุมแผงควบคุมของน้ำหมุนเวียนในห้องบังคับการ น้ำร้อนเดือดปุดๆ ได้เข้าไปสู่ท่อน้ำของปืนน้ำ

ฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ ดึงคันโยกปล่อยยิงลง ห้วงน้ำหนึ่งสายได้เริ่มพ่นออกไปอีกครั้ง…

การยิงห้วงน้ำออกไปครั้งนี้ได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะแล้ว น้ำทะเลที่ใสสะอาดได้เกิดเป็นเส้นสะพานโค้งสีสันสดใสขึ้นมา กลางคืนลมหนาวเย็น ไอน้ำที่หนานั้นได้แยกออกจากห้วงน้ำ ภายใต้แสงอาทิตย์ตกดิน แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหมอกพวกนี้ ทำให้มีสีสายรุ้งส่องประกายออกมา

“ทำไมถึงมีหมอกได้ล่ะ?” ผู้คนบนเรือหลายลำรอบๆ ที่เห็นฉากนี้แล้วก็พากันสงสัยขึ้นมา

จากนั้น ผู้คนบนเรืออัศวินออร์แลนโดก็ร้องโอดครวญขึ้นมา พลางร้องไปด้วยพลางวิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว แล้วก็กระโดดไปมาตรงนั้น!

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท