ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1540 แม่งเอ้ย

บทที่ 1540 แม่งเอ้ย

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะไม่สงสัยว่า เจ้าของฟาร์มปลาพวกนี้มาเพื่อดูเขาหรือเปล่านะ?

เพราะว่าก่อนที่เขาจะรีบไปช่วยฟาร์มปลาของอารอน ยังไม่มีใครมาถึงเลย เขาต้องพึ่งไข่ตุ๋นและความทุกข์ของตนเองในการเผชิญหน้ากับเรือประมง แต่หลังจากที่เขากลับมา พวกเจ้าของฟาร์มปลาก็มาที่นี่กันหมด หลายๆคนมาถึงที่นี่ในตอนเที่ยงคืน

ดูสิ หากบอกว่าเจ้าของฟาร์มปลาพวกนี้ไม่ได้มาดูเขา เขาไม่เชื่อแน่ๆ ไม่แน่ว่าเหล่าเจ้าของฟาร์มปลากำลังจับตาดูเขาอยู่ พอเห็นว่าเขามาช่วยอารอนจริงๆ จึงมาที่นี่…

แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น สำหรับผลจากการเรียกร้องขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ ฉินสือโอวค่อนข้างพอใจ ในวันแรกมีคนมากกว่าหนึ่งร้อยคน หากพูดในมุมของกำลังแล้ว พวกเขาสามารถจัดการกับผู้ที่มีล่าแมวน้ำได้

หลังาจากที่ถูกยิง ฉินสือโอวก็รังเกียจเหล่านักล่าแมวน้ำพวกนี้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาเรียกระดมเหล่าสัตว์ประหลาดยักษ์เพียงชั่วข้ามคืน เขาตัดสินใจที่ให้คนพวกนั้นได้สัมผัสถึงความสนุกเสียหน่อย

ช่วงเช้าตรู่ที่ทุกคนกำลังหลับใหล จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูเรียก ฉินสือโอวลุกขึ้นนั่งพลางถามออกไปว่า “ใครน่ะ มีอะไรเหรอ? ”

คนที่อยู่ด้านนอกประตูตอบกลับมาว่า “ท่านประธาน แย่แล้วล่ะ เจ้าสารเลวพวกนั้นล่าแมวน้ำแล้ว! ”

ฉินสือโอวรีบล้างหน้าและถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น? พวกมันล่าแมวน้ำไปตอนไหน? ”

แมวน้ำไม่ใช่สัตว์ที่อ่อนแอ พวกมันสามารถมีขนาดยาวถึงสองเมตรและหนักถึงหนึ่งร้อยกิโลหากอยู่ในช่วงโตเต็มวัย เพราะว่าร่างกายของมันเต็มไปด้วยไขมัน ดังนั้นมันจึงมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดได้ดีที่สุด เมื่อตอนเย็นยังไม่มีใครกล้าฆ่าแมวน้ำเลย หรือว่ามีคนไม่ระวังโดนแมวน้ำโจมตี เรื่องนี้ไม่มีใครยืนยันให้ได้

ดังนั้น เมื่อวานฉินสือโอวจึงไม่ได้จัดคนเฝ้าเวรยามในตอนกลางคืน ก็เพราะว่ามันไม่จำเป็น

แต่ว่าเขาคงจะประเมินความมุ่งมั่นในการล่าแมวน้ำของคนพวกนี้ต่ำเกินไป ที่แท้พวกมันก็ลงมือล่าก่อนช่วงเวลารุ่งสาง

ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกโพไซดอนไปตรวจสอบน่านน้ำรอบๆ น่านน้ำที่อยู่บริเวณเกาะเล็กๆ แห่งนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดง ซากศพแมวน้ำจำนวนหนึ่งลอยอยู่บนผิวน้ำไหลไปตามคลื่น ลูกแมวน้ำตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างๆศพของผู้เป็นแม่พลางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร ดวงตากลมโตสีดำทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความสับสน

“ฟัค! ” ฉินสือโอวกัดฟันแน่น เขารีบขึ้นรถไปที่ฟาร์มปลาทันที หลังจากที่กระโดดลงจากรถ เขาก็ตะโกนออกมาว่า “ฉันจะไปจัดการพวกมันเอง! จัดการเรือทั้งสี่ลำของไอ้พวกสารเลวนั่นซะ! ฉันต้องการให้พวกมันรับรู้ถึงชะตากรรมที่พวกมันบังอาจมายั่วโมโหพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์! ”

อารอนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ส่งสายตาเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว แล้วเขาก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “แก้แค้น พวกเราต้องแก้แค้น! ”

เจ้าของฟาร์มปลาแห่งหนึ่งหยุดฉินสือโอวไว้ แล้วพูดออกมาอย่างรู้สึกไม่ดีว่า “ท่านประธาน ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะท้าทายอำนาจของคุณเลยนะครับ แต่ว่าพวกเราทำแบบนี้ผมเกรงว่ามันจะผิดกฎหมายหรือเปล่าครับ? รัฐบาลอนุญาตให้ล่าแมวน้ำ อีกอย่าง คุณไม่คิดหรือว่าสาเหตุเป็นเพราะจำนวนประชากรแมวน้ำที่มีมากมายเลยทำให้ฟาร์มปลาแต่ละแห่งมีการเก็บเกี่ยวที่น้อยลง? ”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการจับปลาค็อดแอตแลนติกและปลาอื่นๆ ลดน้อยลง แม้ว่าจะมีการจำกัดจำนวนในการจับปลา แต่จำนวนของปลาก็ยังไม่ฟื้นตัว พื้นที่การประมงของนิวฟันด์แลนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์กลับเลวร้ายลง ไม่ว่ารัฐบาลจะประกาศใช้นโยบายใดแก้ไขสถานการณ์ก็ตาม สถานการณ์การประมงก็ยังคงไม่ดีขึ้น ดังนั้นชาวประมงบางคนจึงโทษไปยังจำนวนของแมวน้ำที่เพิ่มมากขึ้น

สำหรับฉินสือโอวแล้วคำพูดพวกนี้ถือเป็นการพูดไร้สาระ เนื่องจากรอบๆ ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ไม่ได้มีแมวน้ำ แล้วต่อให้มีแมวน้ำแล้วอย่างไรล่ะ จำนวนของแมวน้ำที่เยอะที่สุดคือช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ด้วย ตอนนั้นทรัพยากรประมงมีความอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ

สภาพการประมงกับแมวน้ำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ตอนนี้ที่ฟาร์มปลาของเขามีแมวน้ำขนาดใหญ่อาศัยอยู่มากกว่าสองร้อยตัว แต่พวกมันกินปลาและกุ้งไปไม่ได้มากนัก กลับกลายเป็นว่าพวกมันกินอาหารจำพวกนกมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

เขาผลักเจ้าของฟาร์มปลาคนนั้นออก แล้วพูดว่า “ฟังผมนะ เพื่อน ตอนนี้พวกเราต้องการจับแมวน้ำด้วย พวกเรามีใบอนุญาตในการจับแมวน้ำเข้าใจไหม? คนพวกนั้นเป็นคนที่ฝ่าฝืนกฎของอุตสาหกรรมเรา พวกมันกล้าที่จะจัดการกับแมวน้ำที่พวกเราดูแลอย่างดี คุณไม่รู้สึกว่านี่เป็นการรุกรานหรอกหรือ? ”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว เจ้าของฟาร์มปลาคนนั้นก็รู้ว่าเขามุ่งมั่นที่จะจัดการนักล่าแมวน้ำพวกนั้น

สำหรับเขาแล้วเขายังคงจำภาพฉินสือโอวผู้หน้าเลือดได้ดี เขาจึงคล้อยตามฉินสือโอว “ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ต้องรีบโจมตี! แก้แค้น! แก้แค้น! แก้แค้น! ”

ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจ ถือว่าชายคนนี้ยังมีสมองอยู่บ้าง

หลังจากที่เรือกำปั่นทะเลตะวันออกออกจากท่าเรือมันก็เคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่ว มันเคลื่อนตัวไปบนคลื่นมุ่งไปยังเรือทั้งสี่ลำ ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้ามองไปยังด้านหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ลมเย็นปะทะเข้าร่างกายของเขา ทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในจิตใจของเขาลุกโชนมากขึ้น

นีลเซ็นนำชาวประมงสองคนมาช่วยกันดึงเอาปืนน้ำออกมาจากซอง เผยให้เห็นปืนน้ำสีดำขนาดใหญ่ ปากกระบอกปืนของมันใหญ่และน่ากลัวเป็นอย่างมาก

ที่ด้านหลัง เรือกำปั่นทะเลใต้ล่องตามพวกเขามา และถัดไปจากนั้นก็คือเรือประมงขนาดเล็กใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง เจ้าของฟาร์มปลาที่อยู่บนเรือพวกนั้นสั่งให้ลูกน้องหยิบปืนและฉมวกขึ้นมา พวกเขามุ่งหน้าไปยังส่วนที่ลึกของมหาสมุทรด้วยท่าทางอันแน่วแน่

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกเร่งความเร็วไปจนถึงขีดสุด หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีพวกเขาก็เข้าใกล้น่านน้ำบริเวณที่เป็นที่อยู่ของเรือทั้งสี่ลำ เรือทั้งสี่ลำจอดล้อมรอบทั้งสี่ด้านของเกาะ มีคนจำนวนหนึ่งยืนยิงปืนอยู่ที่หัวเรือ และมีคนอีกจำนวนหนึ่งนั่งแพออกไปจับแมวน้ำที่ได้รับบาดเจ็บหรือตายแล้ว

การได้เห็นภาพเหตึการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองต่างจากการเห็นผ่านจิตสำนึกโพไซดอน ฉินสือโอวนึกไม่ออกเลยว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ ตอนนี้แมวน้ำไม่ได้มีคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว เพราะว่าหนังแมวน้ำถูกห้ามในการขายในท้องตลาด เนื้อและแส้แมวน้ำก็ไม่ได้มีความนิยมเท่าที่ควร

ด้วยความพยายามในการปกป้องแมวของนักสัตววิทยาในปีหนึ่งเก้าหกศูนย์ ตลาดในทวีปได้มีการห้ามการบริโภคละค้าขายแมวน้ำ และผู้บริโภคเริ่มเกิดความละอายใจในการสวมใส่หนังแมวน้ำ ปัจจุบันตลาดในอเมริกาเหนือและยุโรปไม่มีผลิตภัณฑ์จากแมวน้ำขายอยู่แล้ว นั่นก็เพราะว่ามีการต่อต้านเกิดขึ้นจากผู้บริโภค

อีกทั้งสองสามปีมานี้ เทศกาลการล่าแมวน้ำของแคนาดาก็ได้รับการต่อต้านจากประเทศต่างๆ อีกด้วย

วุฒิสภาเม็กซิโกประณามเทศกาลล่าแมวน้ำของแคนาดาทุกปี และยังมีการห้ามไม่ให้นำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังแมวน้ำเข้ามายังประเทศของตน วันที่ห้า เดือนพฤษภาคม ปีสองพันเก้า รัฐสภายุโรปได้มีการร่างกฎหมายห้ามซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแมวน้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จากแมวน้ำจะไม่ปรากฏในตลาดยุโรปอีก

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทำให้การล่าแมวน้ำลดลงทุกปี แต่อย่างไรก็ตามจำนวนแมวน้ำในทุกๆ ปีไม่ได้ลดลง หลังจากปราศจากคู่แข่งแล้ว ดูเหมือนว่านักล่าแมวน้ำพวกนี้จะล่าแมวน้ำดุเดือดกว่าที่ผ่านมา

เมื่อเห็นกลุ่มเรือประมงเข้ามาใกล้ ผู้คนที่อยู่บนเรือล่าแมวน้ำทั้งสี่ลำก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดุดัน พวกเขาพายแพกลับไปยังเรือทีละลำ ระยะทางระหว่างเรือประมงและเรือล่าแมวน้ำลดระยะลงเรื่อยๆ

ฉินสือโอวไม่ปล่อยโอกาสให้พวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เรือกำปั่นทะเลตะวันออกเคลื่อนตัวออกไปยังแพที่เก็บศพแมวน้ำพวกนั้น หลังจากเข้าสู่ระยะประชิดแล้วเขาก็หันปากกระบอกปืนไปยังแพพวกนั้น กระสุนทรงพลังพุ่งออกไปยังทิศทางที่แพลอยอยู่

“บู้ม! ” เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว น้ำพุ่งกระจายออกมาจากบริเวณที่โดนยิง ราวกับมังกรคลั่งโผล่ออกมาจากน้ำ เสียงระเบิดดัง คลื่นน้ำแยกออกจากกันจนทำให้เรือทั้งสองฝั่งห่างกันออกไป และกระแสน้ำพุ่งลงมายังหัวเรือคายัค

เหล่าคนที่อยู่บนเรือคายัคตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นคลื่นน้ำปรากฏขึ้นพวกเขาก็กระโดดหนีไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว การที่พวกเขากระโดดลงน้ำทำให้ได้รับผลกระทบจากคลื่นนั้นน้อยลง พวกเราจะซวยมากถ้าหากว่าตอนนี้พวกเขายังคงนั่งโง่ๆ อยู่บนเรือคายัค

ผลกระทบจากคลื่นน้ำที่บ้าคลั่งนี้ ทำให้เรือคายัคจมลงสู่ทะเลในทีแรก จากนั้นมันก็ลอยตัวขึ้นมาตามแรงคลื่น และจากนั้นมันก็ถูกพัดจมลงทะเลครั้งแล้วครั้งเล่าตามแรงคลื่น

……………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท