ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1536 สายโทรศัพท์จากเจ้าของฟาร์มปลา

บทที่ 1536 สายโทรศัพท์จากเจ้าของฟาร์มปลา

ฉินสือโอวกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ วอล์คกี้ ทอล์คกี้ก็ดังขึ้น บีบีซวงพูดว่า “บอส มีเรือลำใหญ่เข้ามาในน่านน้ำของฟาร์มปลา ดูแล้วไม่เหมือนเรือขโมยปลาเลย”

ถ้าเป็นตามปกติ ฉินสือโอวคงไม่ค่อยสนใจข้อมูลแบบนี้ และส่งคงไปดูก็พอ

แต่สองสามวันมานี้เขาเพิ่งได้โดรนพวกนั้นมา และความเสพติดของเขายังไม่ผ่านไป โดยไม่สนพวกชาวประมงที่กำลังคัดกรอง เขาวิ่งกลับไปที่ห้องเรดาร์ และสั่งให้พวกทหารบินโดรน ไปถ่ายสภาพของเรือลำนี้

โดรนพวกนี้มีกล้องเว็บแคม หลังจากที่ตั้งโปรแกรมเมื่อเจอเป้าหมายมันก็จะถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 7 นาที

อย่าคิดว่า 7 นาทีไม่นาน สำหรับการถ่ายภาพด้วยโดรนนั้นถือว่าไม่สั้นเลย การถ่ายภาพของมันเว้นช่วงเพียงประมาณ 10 มิลลิวินาทีเท่านั้น 7 นาทีก็ถ่ายภาพได้ 4 พันกว่ารูปแล้ว!

โดรนบินออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่ามันก็บินกลับมา แบล็คไนฟ์ถอดการ์ดหน่วยความจำออกและอ่านบนคอมพิวเตอร์ ข้อมูลทั้งหมดของเรือลำนี้ก็ปรากฏขึ้น

เมื่อเห็นภาพถ่ายที่ชัดเจนบนนั้น ฉินสือโอวก็เข้าใจเหตุผลที่ทุกประเทศแย่งกันศึกษาโดรน สิ่งนี้ว่องไวจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายก็ถูกเป็นพิเศษ หากใช้เฮลิคอปเตอร์ออกไปตรวจสอบ รอบหนึ่งต้องเสียพันกว่าดอลลาร์แคนาดา แล้วถ้าใช้โดรนล่ะ? ก็แค่ไม่กี่สิบดอลลาร์แคนาดา!

เมื่อเห็นเรือบนภาพถ่าย ฉินสือโอวก็รู้ทันทีว่า นี่คือเรือเก็บกู้ทะเลลึกของบิลลี่ เป็นชีวิตจิตใจของเขา เขาเก็บกู้สมบัติในซากเรืออับปางโดยอาศัยเรือลำนี้ เขาเคยอยู่บนเรือลำนี้ระยะหนึ่งที่น่านน้ำโซมาเลียก่อนหน้านี้

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก บิลลี่คว้าโอกาสที่ฤดูใบไม้ผลิอุณหภูมิเพิ่มขึ้น เตรียมไปเก็บกู้ซากเรืออับปางของโจรสลัดขวานดำในทะเลเหนือที่น่านน้ำกรีนแลนด์

เมื่อมองดูข้างหลังดีๆ บนรูปถ่ายบางรูปจะเห็นร่างของบิลลี่ ชายคนนี้ถือแก้วไวน์หรูหรายืนพิงเสาตรงหัวเรือมองทิวทัศน์

เรือเก็บกู้ขับเข้ามาเทียบท่า ฉินสือโอวนั่งยองๆ เล่นโทรศัพท์มือถือไปพลางอ่านข่าวไปพลางอยู่ตรงนั้น บิลลี่กระโดดลงมาปิดตาของเขาจากด้านหลัง และจงใจใช้น้ำเสียงหวานถามว่า “ทายซิว่าฉันเป็นใคร?”

ฉินสือโอวตัวสั่น “นายต้องขอบคุณที่สภาพอากาศตอนนี้ยังหนาวอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันหันกลับไปเตะนายลงน้ำด้วยลูกถีบบินแล้ว!”

บิลลี่ชักมือกลับและหัวเราะเสียงดัง “ทำไมจริงจังขนาดนี้? ฉิน นายไม่คิดว่าเป็นแบบนี้มันน่าเบื่อเหรอ?”

ฉินสือโอวยักไหล่ “ฉันกับผู้ชายทำอย่างไรก็น่าเบื่อ เอาล่ะ นายเตรียมตัวไปเก็บกู้ซากเรืออับปางเสร็จแล้วใช่ไหม? ฉันจะได้ให้พิกัดนาย นายพาคนไปก็พอ ครั้งนี้สถานที่คือทะเลหลวง น่าจะเก็บของได้ไม่น้อย”

บิลลี่ถาม “นายไม่ไปเหรอ?”

ฉินสือโอวชี้บ่อเพาะพันธุ์ที่อยู่ไกลๆ “ไปทางเหนืออีก 15 กิโลเมตร นายจะเห็นว่าตอนนี้ฉันยุ่งแค่ไหน เวลามีค่านะ ฤดูใบไม้ผลิรอบนี้ฉันคงไปไหนไม่ได้”

ทั้ง 2 คนเดินลงจากท่าเรือ แม่ของฉินสือโอวยกเก้าอี้มาให้พวกเขาที่สนามหญ้าหน้าวิลล่า ด้านนอกมีแสงแดดส่อง เป็นสภาพอากาศที่ดีในการอาบแดด แม้แต่เสี่ยวเถียนกวาก็อาบแดดอยู่บนสนามหญ้า

บิลลี่ถามข่าวที่เกี่ยวข้องกับซากเรืออับปาง จากนั้นก็พูดว่า “จริงสิ ฉันได้ยินเบลคพูดว่า นายซื้อฟาร์มปลา? แล้วด้านในมีไม้พาโลซานโตเหรอ? เป็นอย่างไรบ้าง ฉันช่วยนายจัดการได้นะ”

ฉินสือโอวใจสั่น ตอนนี้เขากำลังขาดแคลนเงิน เดี๋ยวฟาร์มปลาหมายเลข 2 ก็ต้องเริ่มทำโรงงานอาหารสัตว์ แล้วยังต้องโยนเงินทุนก้อนหนึ่งเข้าไปอีก แต่ความคิดของเบลคคือเดี๋ยวก็ถึงงานประมูลฤดูใบไม้ผลิของบริษัทจัดประมูลริชชี่แล้ว หากส่งไม้พาโลซานโตเข้าประมูลก็จะทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น

เขาพูดว่า “ไม่ใช่แค่ต้นเดียว คาดว่ามี 20 กว่าต้น…”

นี่คือเหตุผลที่เขาอยากขายล่วงหน้า จำนวนเยอะเกินไป ถึงส่งเข้างานประมูลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ

“ฟัค!” บิลลี่ตกตะลึง

ฉินสือโอวลูบจมูก และอธิบายก่อนว่า “ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะโชคดีขนาดนี้เหมือนกัน ฟาร์มปลาแห่งนั้นมีโกดังร้าง ด้านในมีของจำพวกไม้เยอะมาก ฉันก็ไปเจอเข้าตอนที่กำลังทำความสะอาด”

บิลลี่ยังคงตกตะลึง “ชิท! นายจ่ายเงินซื้อฟาร์มปลานั่นมาเท่าไร?”

“4 ล้านกว่า”

“ฟัค! นายนี่มันไม่ใช่ความโชคดีที่อธิบายได้แล้ว! ทำไม พระเจ้าไม่ยุติธรรม!” ใบหน้าของบิลลี่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความขุ่นเคือง ดูเหมือนจะอารมณ์เสียจริงๆ

ฉินสือโอวใช้วิธีย่างไก่แบบคิวบาย่างนกจมูกหลอดหางสั้นเพื่อสร้างความบันเทิงให้บิลลี่กับพรรคพวก น่าเสียดายที่เบียร์ที่เขาหมักเองยังหมักไม่เสร็จ จึงไม่สามารถนำออกมาดื่มได้

บิลลี่ไม่ได้หยุดพักที่ฟาร์มปลานานนัก เขายุ่งอยู่กับการเก็บกู้สมบัติในซากเรืออับปาง ต้องรู้ว่าตั้งแต่รู้ว่ามีซากเรืออับปางมากขนาดนี้ เขาก็ตั้งตารอคอยฤดูกาลนี้มาโดยตลอด สภาพอากาศในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือช่วงฤดูหนาวนั้นแย่มาก และอาจเจอกับภูเขาน้ำแข็ง ดังนั้นจึงไม่สามารถเก็บกู้ได้

ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว เขาจึงรีบมาทันที ความกระตือรือร้นในด้านนี้ของเขาไม่มีใครเทียบได้

ฉินสือโอวไปให้ความสนใจกับปัญหาการเพาะพันธุ์แม่พันธุ์หอยต่อ เมื่อแม่พันธุ์หอยพวกนี้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โภชนาการอุดมสมบูรณ์และอุณหภูมิน้ำเหมาะสม พวกมันก็เริ่มปล่อยอสุจิกับไข่เพื่อสืบพันธุ์ทันที

อสุจิของหอยกับไข่ของหอยจะรวมกันในน้ำและก่อตัวเป็นไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว จากนั้นเซลล์จะแบ่งตัว ไม่กี่วันต่อมาจะเกิดเป็นหอยเชลล์ช่วงต้นซึ่งก็คือตัวอ่อนระยะเวลิเกอร์ของพวกมัน

หอยเชลล์บางตัวกินสาหร่ายทะเลมากขึ้นตอนอยู่ในน้ำ พลังแห่งโพไซดอนที่สะสมอยู่ในตัวก็เยอะขึ้น ดังนั้นจึงเกิดการสืบพันธุ์ล่วงหน้า และบนเปลือกหอยของพวกมันก็จะมีตัวอ่อนระยะเวลิเกอร์ติดอยู่

ตัวอ่อนระยะเวลิเกอร์จะมีซิเลีย ซิเลียพวกนี้จะขดตัวทำให้ว่ายน้ำในน้ำได้ แล้วก็สามารถเกาะบนเปลือกของแม่พันธุ์หอย และย้ายตามแม่พันธุ์หอยได้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงปล่อยพลังแห่งโพไซดอนเข้าไปในตัวพวกมัน เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของพวกมัน ทำให้จุดเริ่มต้นของพวกมันสูงกว่าพี่น้องของพวกมัน

หลังจากผ่านการเจริญเติบโตไปอีก 7 ถึง 10 วัน ตัวอ่อนระยะเวลิเกอร์จะก่อตัวเป็นตัวอ่อนจุดตา เวลานี้จะต้องคัดตัวอ่อน แต่นี่คือเรื่องหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ และตอนนี้ก็ไม่เป็นไร

ฉินสือโอวคิดว่าเขาจะได้พักผ่อน ผลคือไม่ถึง 2 วัน มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรมาหาเขาที่นี่ เป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ชื่ออารอน บอนญานี่ เขาบอกว่าฟาร์มปลาของเขาเจอการรุกล้ำ ให้เขาช่วยเรียกพวกเจ้าของฟาร์มปลามาเพื่อจัดการความยุติธรรมให้เขาที

เมื่อได้ยินคำนี้ ฉินสือโอวก็รู้ว่าในมือเขามีงานอีกแล้ว หัวของเขานึกย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็นึกถึงไข่ตุ๋นลูกใหญ่ขึ้นมาได้ เจ้าของฟาร์มปลาอารอนคนนี้คือชายวัยกลางคนลูกครึ่งที่หัวล้าน มีผิวสีน้ำตาลอ่อน ฟาร์มปลาอยู่ที่น่านน้ำลาบราดอร์ เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบ

เขาถามอารอนว่าเจอการรุกล้ำอะไร อารอนตอบอย่างอเนจอนาถว่า “เมื่อวานไม่ใช่เทศกาลล่าแมวน้ำบ้านั่นเหรอ? ในฟาร์มปลาของผมมีเกาะเล็กๆ หลายเกาะ และบนเกาะเหล่านั้นมีแมวน้ำอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงมีเรือประมงเข้ามาในฟาร์มปลาของผม พวกเขาติดป้ายจับแมวน้ำ แต่ความจริงคือมาที่ฟาร์มปลาของผมเพื่อขโมย ผมแจ้งตำรวจทะเลแล้ว ผลคือตำรวจทะเลไม่สนใจความขัดแย้งนี้ ให้ตายเถอะ ท่านประธาน ผมควรทำอย่างไรดี?”

ทำอย่างไรเหรอ แน่นอนว่าก็ต้องถือปืนจัดการ ฉินสือโอวบอกเขาว่า “พวกนายป้องกันตัวเองก่อน วันนี้ฉันจะพาเหล่าพี่น้องออกไปช่วยนาย! ไอ้เพชฌฆาต ฉันจะทำให้พวกมันได้รับผลกรรมที่ทำไว้!”

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท