ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1538 กฎการล่าแมวน้ำ

บทที่ 1538 กฎการล่าแมวน้ำ

ตอนที่อารอนพูดคำพวกนี้ ยังคงมีความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะว่าในบรรดาเจ้าของฟาร์มปลา เขาเป็นพวกนอกคอก คนอื่นทำฟาร์มปลาก็เพื่อหาเงิน แต่เขากลับทำเพื่อจ่ายเงิน…

ดังนั้น เขากังวลมากว่าฉินสือโอวจะรู้สึกว่าถูกหลอก แล้วจะไม่ช่วยเขา

เขาต้องขอบคุณพระเจ้าแล้ว ฉินสือโอวก็เป็นนักอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรเหมือนกัน ความคิดที่อยากจะปกป้องวอลลัส แมวน้ำ กับปลาวาฬก็คงไม่ต่างจากอารอนสักเท่าไร แต่ว่าถ้าเทียบกับอารอนแล้ว เขารู้สึกผิดในใจเล็กน้อย เขาเป็นถึงคนที่มีหัวใจโพไซดอนนะ แต่การอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรของเขากลับสู้อารอนไม่ได้เลย

เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็ตบบ่าของอารอน พูดว่า “วางใจได้ เพื่อน เจ้าพวกนี้ไม่มีทางมาทำร้ายวอลลัสในฟาร์มปลาคุณได้แม้แต่ตัวเดียว ผมสนิทกับตำรวจน้ำเป็นอย่างมาก แค่โทรศัพท์ไปสายเดียว เจ้าคนที่กล้าบุกมาในฟาร์มปลาของคุณพวกนี้น่ะ ต้องพากันออกไปหมดอย่างแน่นอน! ”

อารอนหัวเราะเหอๆ อย่างดีใจ ลูบจมูกแล้วมองดูเขาอย่างเกรงใจ การที่ได้ยินเขาพูดคำนี้กลับไม่มีทีท่าดีใจเผยออกมา

ฉินสือโอวถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมครับ คุณไม่เชื่อคำพูดผมเหรอครับ? ”

อารอนยิ้มแห้งๆ พูดว่า “ไม่ใช่ครับ ผู้อำนวยการ ผมแค่รู้สึกว่า ตำรวจน้ำอาจจะไม่ยุ่งเรื่องนี้นะครับ ”

ฉินสือโอวพูดว่า “ทำไมถึงไม่ยุ่งล่ะ? คุณหนีภาษีเลี่ยงภาษีหรือว่าอย่างไร? <รัฐธรรมนูญ> ก็บอกไว้แล้วนี่ว่า พื้นที่ส่วนตัวไม่สามารถบุกรุกได้น่ะ…”

“ไม่ใช่ครับ ผู้อำนวยการ ที่ตำรวจน้ำไม่มาจัดการเรื่องนี้ เพราะว่าเกาะด้านนอกพวกนี้ไม่ใช่ของผมครับ ” อารอนพูดเสียงอ่อน

ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ ในใจรู้สึกว่าเรื่องไม่สู้ดีนัก พูดว่า “ชิท คุณพูดอะไรนะ? หมู่เกาะด้านนอกไม่ใช่ของคุณเหรอ? เป็นไปได้อย่างไรกัน? ฟาร์มปลาของคุณมีพื้นที่แนวตั้งยาวเท่าไร? ”

อย่างไม่ต้องสงสัย การรังวัดฟาร์มปลาเป็นการวัดแบบแบ่งแยกระดับ มีทั้งรังวัดความยาวของแนวชายฝั่ง ความกว้างแนวตั้งและความลึก ปกติแล้วทั้งความลึกกับความกว้างแนวตั้งจะไม่นำมาวัด จะวัดแต่แค่ความยาวของแนวชายฝั่งเท่านั้น

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนโยบายของกรมการประมงแคนาดาโดยตรง ราคากลางของฟาร์มปลาส่วนบุคคล จะอ้างอิงจากทรัพยากรฟาร์มปลา ตำแหน่งที่ตั้ง ความยาวของแนวชายฝั่งเป็นหลักในการคำนวณ ส่วนเรื่องความลึกและความกว้างของแนวตั้งนั้นไม่มีคนใส่ใจเลย โดยทั่วไปแล้ว ความกว้างแนวตั้งจะวัดยาวออกไปจนถึงทะเลหลวง ฟาร์มปลาของฉินสือโอวก็เป็นแบบนี้

แต่ว่า ฟาร์มปลาของอารอนไม่ใช่อย่างนี้ เขาพูดว่า “ความลึกแนวตั้งของฟาร์มปลาของผมมีแค่ประมาณห้ากิโลเมตรเท่านั้นครับ ”

ฉินสือโอวได้ยินคำนี้แล้วก็อึ้งไปเลย เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ จึงจ้องไปที่อารอนอย่างตกตะลึง ถามว่า “นายล้อฉันเล่นใช่หรือเปล่า? ”

อารอนพูดด้วยสีหน้าเศร้าโศกว่า “ฟังผมอธิบายก่อนครับ คุณผู้อำนวยการ น่านน้ำในเขตแลบราดอร์ไม่เหมือนกับของเขตนิวฟันด์แลนด์ เพราะว่าที่นี่หมู่เกาะเยอะแต่ละหมู่เกาะก็ล้วนเป็นทรัพยากรที่มีค่าทั้งนั้น ดังนั้น ความกว้างแนวตั้งของมันจึงมีค่ามาก ผมไม่มีกำลังพอจะซื้อความกว้างแนวตั้งที่สองร้อยกว่ากิโลเมตรเหมือนพวกคุณหรอกครับ ”

ฉินสือโอวกลอกตาไปทีหนึ่ง แต่ว่าเขาเข้าใจความหมายของอารอน

อย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นฟาร์มปลาได้? แค่มีน่านน้ำแห่งหนึ่ง ในทะเลมีปลา ก็ถือว่าเป็นฟาร์มปลาได้แล้ว แต่ว่านั่นไม่ถือว่าเป็นฟาร์มปลาส่วนบุคคลได้ เพราะอะไร? เพราะว่ามีแค่น่านน้ำผืนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีท่าเรือ ไม่มีสถานที่ให้พักอาศัยได้ เจ้าของฟาร์มปลาจะพักที่ไหนล่ะ?

ฟาร์มปลาส่วนบุคคลโดยมากจะเชื่อมต่อกับผืนดินอยู่ ซื้อฟาร์มปลาแถมผืนดินให้ผืนหนึ่ง ก็เหมือนการไปซื้อข้าวสารในห้างสรรพสินค้าแล้วแถมกระดาษชำระให้นั่นแหละ นิวฟันด์แลนด์หมู่เกาะน้อย ดังนั้นน่านน้ำหนึ่งผืนก็คือฟาร์มปลาหนึ่งแห่ง

น่านน้ำแลบราดอร์ไม่เหมือนกัน ที่นี่มีหมู่เกาะมากมายที่โผล่อยู่ด้านนอก แม้ว่าเกาะพวกนี้ไม่เหมาะที่จะให้เจ้าของฟาร์มปลามาอาศัย แถมในจำนวนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสร้างท่าเรือได้อีก แต่พวกมันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นฟาร์มปลา

อย่างเช่น มีบางคนที่ซื้อฟาร์มปลาไว้พักร้อน พวกเขาก็จะควักเงินซื้อเกาะพวกนี้ด้วย จากนั้นค่อยล้อมบริเวณน่านน้ำไว้ผืนหนึ่ง แล้วทำการสร้างท่าเรือไว้ที่นั่นก็พอแล้ว เท่านี้ก็เป็นฟาร์มปลาแล้วเหมือนกัน

รัฐบาลได้คำนึงถึงส่วนนี้ด้วย เพราะฟาร์มปลาที่นี่มีน้อยมากที่เป็นแบบฟาร์มปลาต้าฉิน ซื้อฟาร์มปลามาแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ให้เราไปขยายอาณาเขตบนทะเลเอาเอง ขยายได้ไกลเท่าไรก็ได้

ฉินสือโอวมองดูเรือที่กำลังประจันหน้ากันอยู่บนทะเลแล้ว ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมตำรวจน้ำถึงไม่ยุ่งด้วย เพราะหมู่เกาะด้านนอกเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของอารอน เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปวุ่นวายกับการล่าแมวน้ำของคนอื่น

เทศกาลล่าแมวน้ำของแคนาดาเป็นเทศกาลที่โรคจิตมากอันหนึ่ง ในวันนี้ ขอแค่จ่ายเงินซื้อใบอนุญาตออกล่ามาได้ใบหนึ่งก็สามารถออกไปฆ่าแมวน้ำได้เหมือนออกไปจับปลาแล้ว ยิ่งไปกว่านี้ ขอแค่แมวน้ำที่ว่าเป็นสัตว์ธรรมชาติไม่มีเจ้าของ ก็สามารถฆ่าได้หมดเลย

ฉินสือโอวคิดถึงจุดนี้ ก็เริ่มเป็นห่วงเจ้าพวกซื่อบื้อตัวกลมที่บ้านขึ้นมา จึงโทรศัพท์ไปบอกวินนี่ “ที่รัก เฝ้าระวังสถานการณ์บนท้องทะเลหน่อยนะ หากว่ามีเรือเข้ามาในฟาร์มปลา ก็ให้ชาร์คและพวกไปเรียกคนจากในเมือง แล้วใช้ปืนจัดการให้เข็ดหลาบเลย! ”

วินนี่ที่เป็นห่วงพวกเขาอยู่แล้ว พอได้ฟังคำนี้แล้วก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ถามว่า “มีอะไรคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า? ”

ฉินสือโอวอธิบายถึงสถานการณ์ของเทศกาลการล่าแมวน้ำ เป็นห่วงว่าจะมีคนใช้การล่าแมวน้ำเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าไปในฟาร์มปลา เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย เพราะว่าฟาร์มปลาไม่ได้เจอกับเรือขโมยปลามานานมากแล้ว เขาพาเหล่ามือดีออกมาหมดเลยแบบนี้ ถ้ามีคนเข้าไปจะมีอันตรายได้

เมื่อได้ฟังคำอธิบาย วินนี่สบายใจลง พูดว่า “เรื่องนี้คุณไว้ใจได้ ขอแค่พวกคุณไม่เป็นอะไร ที่บ้านก็ไม่เป็นอะไรแน่นอน! ทางฉัน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามาในถิ่นของเราได้แน่! ”

ขอแค่เรื่องไม่ได้เกี่ยวกับฉินสือโอว ความเป็นมืออาชีพและวีธีการที่เหี้ยมโหดของวินนี่ก็จะสามารถแสดงออกมาได้เต็มที่

พอหมดพะวงกับเรื่องข้างหลังแล้ว ฉินสือโอวก็เริ่มคิดหาวิธีจัดการเรื่องทางฝั่งอารอนต่อ

แม้ว่าหมู่เกาะที่เหล่าแมวน้ำอาศัยอยู่จะไม่เกี่ยวกับอารอน แต่ในเมื่อเขามาถึงแล้ว ก็จะไม่ยอมให้มีคนมาทำร้ายแมวน้ำพวกนี้ต่อหน้าเขาได้

คิดอยู่สักพัก ฉินสือโอวก็ตบบ่าอารอนแล้วพูดว่า “คุณสามารถหาใบอนุญาตล่าแมวน้ำมาได้หรือเปล่า? ”

เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว หัวลูกชิ้นก็แทบจะร้องไห้ออกมา พูดว่า “ผู้อำนวยการครับ คุณคงไม่คิดที่จะฆ่าแมวน้ำใช่ไหมครับ? พวกมันเชื่องมากนะครับ พวกมันเป็นเด็กดี…”

“ฟัค หุบปาก! ไปหาวิธีหามาให้ได้หลายๆ ใบ เรื่องอื่นให้เป็นหน้าที่ผมเอง แน่นอนว่าผมไม่ฆ่าแมวน้ำหรอก ผมเป็นเจ้าของฟาร์มปลา ไม่ใช่คนฆ่าสัตว์! ”

เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว อารอนก็พยักหน้าอย่างสบายใจ พูดว่า “งั้นให้เป็นหน้าที่ผมเองครับ การซื้อใบอนุญาตล่าแมวน้ำเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ”

ช่วงเย็น เรือล่าแมวน้ำที่ถูกเรือหาปลามาขวางทางเริ่มทนไม่ไหวขึ้นมาแล้ว จึงทำการชนเรือที่ขวางอยู่ด้านหน้าอย่างจังเพื่ออยากจะเข้าไปใกล้เกาะเกาะหนึ่งมากขึ้น

ฉินสือโอวนั่งเฮลิคอปเตอร์ตามมา เขาได้ทำการแขวนซับวูฟเฟอร์กำหนดทิศทาง กับลำโพงขนาดใหญ่ยักษ์ไว้ด้านนอกเครื่องบิน เครื่องเฮลิคอปเตอร์ได้บินโฉบอยู่บนเรือหาปลา แล้วก็มีเสียงดังกระหึ่มดังออกมาว่า “เรือล่าแมวน้ำโปรดฟังให้ดี เรือล่าแมวน้ำโปรดฟังให้ดี แมวน้ำของที่นี่เป็นทรัพยากรของพวกเรา ขอให้พวกคุณออกไปซะ! ขอให้พวกคุณออกไปซะ! ”

นี่เป็นความคิดของเขา แม้ว่าเกาะพวกนี้จะไม่ได้เป็นของพวกเขา งั้นก็ใช้กฎของการล่าแมวน้ำ ใครเจอทรัพยากรก่อนก็เป็นของคนนั้น!

มหาสมุทรกว้างใหญ่ ระหว่างชาวประมงจะมีกฎที่ปฏิบัติต่อๆ กันเป็นธรรมเนียมอยู่ นั่นก็คือตอนที่ล่าปลากัน ใครมาถึงน่านน้ำนี้ก่อน น่านน้ำนี้ก็จะเป็นที่ของคนคนนั้น ใครมาเจอฝูงปลาก่อน งั้นฝูงปลานี้ก็จะเป็นของคนนั้น

หลักการเดียวกัน การล่าแมวน้ำก็ใช้กฎนี้เช่นกัน

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท