ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1537 ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

บทที่ 1537 ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

วินนี่มองไปที่ฉินสือโอวด้วยความกังวล อีกฝ่ายกำลังสั่งการให้เหล่าชาวประมงขนของไปบนเรือกำปั่นทะเลใต้ ทั้งธนูรีเคิร์ฟ ธนูยาว ปืนไรเฟิล ลูกกระสุน อาวุธรุนแรงทั้งปวงถูกขนเข้าไปเก็บในคลังเก็บของบนเรือ

ในตอนท้ายฉินสือโอวได้ไปหยิบปืนเบรนออกมาจากห้องลับ พาดไว้บนไหล่หัวเราะฮี่ๆแล้วพูดว่า “ถ้าไม่พกอาวุธร้ายแรงขนาดนี้ไปด้วย ก็เท่ากับเป็นการเสียดายของน่ะสิใช่ไหม? ”

เมื่อเห็นเขาถึงขั้นขนปืนเบรนออกมาแล้ว วินนี่ก็ตกใจเสียจนหน้าเรียวสวยมีสีซีดขึ้นมา เธอดึงเขาไว้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณอย่าทำอะไรบ้าๆได้ไหมคะ? ทำไมถึงขั้นเอาปืนกลไปด้วยแบบนี้ล่ะ? เก็บกลับไป! ”

ฉินสือโอวจูบเธอไปที หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดว่า “วางใจได้ ที่ผมเอาของพวกนี้ไปด้วยก็แค่เอาไปขู่คนเท่านั้น ถึงแม้จะให้ผมใช้งานมันจริงๆผมก็ไม่กล้าใช้หรอก ”

หลังจากได้รับสายขอความช่วยเหลือจากอารอนเจ้าของฟาร์มปลาแล้ว เขาก็เริ่มแสดงพลังของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ออกมา โดยการโทรศัพท์ไปหาเจ้าของฟาร์มปลาที่ค่อนข้างมีอำนาจทีละคน ซึ่งหลักๆแล้วจะเป็นเจ้าของฟาร์มปลาในรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์และรัฐโนวาสโกเชีย

ในฐานะผู้อำนวยการ ฉินสือโอวก็คือลูกพี่ใหญ่นำทีม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ต้องไปด้วย ตอนแรกเขากะว่าจะนั่งเครื่องบินไปดูลาดเลา แต่อารอนที่ถือว่ายังพอมีสำนึกอยู่บ้าง ได้บอกกับเขาว่าที่นี่น่าจะอันตรายอยู่ เพราะว่ากลุ่มนักล่าแมวน้ำล้วนพกอาวุธมาทั้งนั้น ในนั้นมีทั้งปืนยาวและปืนสั้นเลย

ดังนั้น ฉินสือโอวจึงได้นำอาวุธมากมายพวกนี้ติดตัวไปด้วย ก็เหมือนที่เขาพูด สิ่งที่สำคัญในการวางเชิงของทั้งสองฝ่ายก็คือภาพลักษณ์ หากว่าทางฝั่งเขาไม่มีอาวุธร้ายแรงอยู่ข้างกายแล้วล่ะก็ เห็นทีแค่พูดก็ยังไม่มีคนสนใจเลย

ชาร์คพาเหล่าชาวประมงแบกปืนธนูมาด้วยมากมาย นี่เป็นของที่เขาทำขึ้นมาเอง ปกติจะนำไปเช่าให้กับนักท่องเที่ยวไว้ใช้ยิงปลาเล่นกัน มีพลังรุนแรงมาก ในสถานการณ์ที่ไม่ใช้พวกอาวุธปืน เจ้านี่นี่แหละที่จะเป็นอาวุธร้ายแรงของพวกเขา

ฉินสือโอวนำเรือไปด้วยทั้งหมดสองลำ เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง เรือสองลำก็คือเรือกำปั่นทะเลตะวันออกและตะวันตก เรือสองลำนี้ล้วนเป็นเรือยนต์ความเร็วสูงทั้งคู่ เรือตำรวจที่ตำรวจน้ำใช้กันก็เป็นรุ่นเดียวกับพวกมันนี่แหละ นอกเหนือจากนี้ บนเรือสองลำนี้มีปืนน้ำแรงดันสูงอยู่ด้วย แถมยังได้ติดตั้งปืนจรวดดับไฟ เป็นพลังที่แกร่งที่สุดในบรรดาเรือของฟาร์มปลาเลย

ทั้งหมดถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว พวกของแบล็คไนฟ์ห้าคน เบิร์ดให้เกิงจุนเจี๋ยพาคนอีกสิบคนขึ้นเรือ นีลเซ็นลงมาพยักหน้าให้กับฉินสือโอว เพื่อเป็นความหมายว่าพวกเขาสามารถออกเรือได้แล้ว

วินนี่อุ้มลูกสาวพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง พูดว่า “เรื่องแบบนี้ไม่ไปได้ไหมคะ? โทรศัพท์ให้ตำรวจน้ำจัดการก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ? ”

ฉินสือโอวเข้าไปกอดเธอกับเสี่ยวเถียนกวาทีหนึ่ง อธิบายว่า “นี่ถือเป็นโอกาสๆหนึ่ง ที่รัก ผมจำเป็นต้องไป คุณดูนะ ระยะเวลาในการก่อตั้งพันธมิตรการประมงยังสั้นอยู่ จึงเป็นหน่วยงานที่ยังกระจัดกระจายไม่เป็นกลุ่ม นี่เป็นโอกาส ให้ทุกคนได้ร่วมกันต่อสู้กับศัตรู จะได้มีความสามัคคีกลมเกลียวกันมากขึ้น แน่นอนว่าคุณวางใจได้เลย จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน พวกเราก็แค่ไปวางมาดก็เท่านั้น ”

วินนี่ฟังเขาพูดแบบนี้แล้วก็ไม่รั้งเขาไว้อีก เป็นจริงอย่างที่ฉินสือโอวพูด เรื่องในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีในการเพิ่มความสามัคคีกลมเกลียวให้กับพันธมิตรการประมง

กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลินับวันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าไร้เมฆเป็นหมื่นลี้ แสงอาทิตย์เจิดจ้าไปทั่วฟ้า ลมทะเลเดือนเมษายนพัดผ่านไปบนผิวน้ำทะเล ฟองทะเลกระเซ็นขึ้นมา คลื่นทะเลม้วนตัวไปมา มีปลาค็อดและปลากระโทงสีน้ำเงินกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำไม่ขาดสาย เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์เป็นที่สุด

น้ำทะเลสะอาดใส สภาพแวดล้อมของฟาร์มปลานับวันก็ยิ่งดีขึ้น แสงอาทิตย์ส่องทะเลผ่านลงไปในน้ำทะเล น้ำทะเลถูกแสงส่องจนมีสีเหลืองอ่อนๆที่อบอุ่น จากผิวน้ำทะเลมองลงไปสามารถมองเห็นปลาว่ายไปมากับสาหร่ายทะเลที่ขึ้นกันอยู่เรียงราย

วินนี่อุ้มยัยตัวเล็กยืนอยู่ตรงหัวเรือ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉินสือโอวไม่กล้าให้พวกท่านรู้ ไม่อย่างนั้นพวกท่านต้องไม่ปล่อยให้เขาออกไปแน่ ปกติแค่พวกเขาพกปืนขึ้นภูเขาแม่ของฉินสือโอวก็ตกใจกลัวไประยะหนึ่งแล้ว

ฉินสือโอวนั่งลงบนเฮลิคอปเตอร์แล้วโบกมืออย่างสง่างาม เสี่ยวเถียนกวาโบกมืออย่างดีใจ ตะโกนออกไปเสียงหวานว่า “ป่าป๊า ป่าป๊า เรือใหญ่ ป่าป๊านั่งเรือใหญ่! ”

หัวเราะฮ่าๆ ทีหนึ่ง ฉินสือโอวก็พูดกับเหล่าชาวประมงเสียงดังว่า “ออกเรือ ไปช่วยเรือฟาร์มปลาบอนญานี่อย่างเร่งด่วนกัน!”

เรือยนต์ความเร็วสูงทั้งสองลำพากันส่งเสียงแตรเป็นลำดับเพื่อส่งสัญญาณ ออกจากท่าเรือ จากนั้นก็ฝ่าคลื่นลมทะเลแล่นไปทางตอนเหนือ บนฟ้าเหนือเรือยนต์ เบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์วนอยู่ ถือว่าเป็นภาพที่ดูแล้วมีพลังอำนาจพอสมควร เหมือนกับนาวิกโยธินของกองทัพเรือออกรบเลย

ฟาร์มปลาของโคเซตั้งอยู่ภาคกลางที่ค่อนไปทางใต้ของเกาะแลบาดอร์ อยู่ใกล้กับท่าเรืออินดีแอนา การที่ฉินสือโอวต้องรีบไป ทำให้เขาต้องแล่นเรือเลียบไปทางชายฝั่งของนิวฟันด์แลนด์ที่มีระยะทางเท่ากับการแล่นเลียบชายฝั่งของนิวฟันด์แลนด์ตะวันออกสองรอบเลย ดีที่เรือยนต์มีความเร็วสูง ทำให้สามารถไปถึงฟาร์มปลาบอนญานี่ได้ในเวลาแค่หนึ่งวัน

ฉินสือโอวนั่งเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เจ้านี่มีความเร็วๆกว่ามาก ใช้เวลาไปแค่สี่ชั่วโมงกว่าๆก็บินไปถึงแล้ว

เฮลิคอปเตอร์บินอยู่บนฟ้า ฉินสือโอวมองลงไปข้างล่าง ในใจรู้สึกไม่ค่อยพอใจ

อารอนเจ้าหมอนี่ก็ไม่ซื่อสัตย์นะ ไหนบอกว่าฟาร์มปลามีเกาะไม่กี่เกาะเอง แต่รอบๆบริเวณนี้กลับมีเกาะเต็มไปหมดเลย เขายังไม่แน่ใจว่าตำแหน่งของฟาร์มปลาของอารอนอยู่ที่ไหน แต่รู้ว่าฟาร์มปลานี้มีพื้นที่อยู่สองร้อยกว่าตารางกิโลเมตร เท่ากับว่าสามารถครอบคลุมเกาะไว้อย่างน้อยก็สิบถึงยี่สิบเกาะ

บนเกาะพวกนี้ล้วนมีแมวน้ำอยู่ ฉินสือโอวมองไม่ออกว่าเป็นแมวน้ำพันธุ์อะไร บนผืนน้ำแห่งหนึ่งได้มีเรือหลายลำจอดอยู่ เหมือนกับกำลังมองเชิงกันอยู่ นี่น่าจะเป็นจุดที่ตั้งของฟาร์มปลาอารอนแล้วล่ะ

เฮลิคอปเตอร์เคลื่อนตัวเข้าไป บนกราบเรือลำหนึ่งได้มีคนที่มีหัวใหญ่ราวกับลูกชิ้นยักษ์ยืนอยู่ หลังจากเห็นเฮลิคอปเตอร์แล้วเขาก็ตื่นเต้นดีใจแล้วโบกมือให้ จากนั้นก็กระโดดขึ้นเรือสปีดโบ๊ทลำหนึ่งขับมุ่งหน้าไปทางชายฝั่ง

ฉินสือโอวตบไปที่บ่าของเบิร์ด เพื่อเป็นความหมายว่าให้ตามเรือสปีดโบ๊ทไป เบิร์ดพยักหน้า เฮลิคอปเตอร์หาตำแหน่งได้แล้ว จึงลงจอดตามลำดับ

เขาเพิ่งจะลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ อารอนก็พุ่งเข้ามา แม้จะห่างกันไกลแต่เขาก็ยื่นแขนขึ้นพร้อมตะโกนขึ้นมาว่า “ผู้อำนวยการ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับครับ! ในที่สุดผมคุณก็มาแล้ว ผู้อำนวยการของผม ได้เห็นคุณแล้ว ใจที่ตื่นตระหนกของผมจะได้สบายใจได้สักที! ”

ฉินสือโอวยิ้ม จับมือกับเจ้าของฟาร์มปลาอย่างภาคภูมิใจ เขาครุ่นคิดในใจ คำพูดนี้ฟังดูคุ้นๆ ได้ยินมาจากไหนนะ? พอคิดสักพักแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ตอนเด็กๆที่ดูละครสงครามกับญี่ปุ่น หลังจากลิ่วล้อของญี่ปุ่นที่โดนกองทัพกลุ่มที่ 18 ซ้อมได้เจอกับคนญี่ปุ่นก็ล้วนพูดประโยคนี้กันไม่ใช่เหรอ?

สถานการณ์ของทางอารอนไม่สู้ดีนัก เขากับเหล่าชาวประมงล้วนถือพวกปืนล่าสัตว์อยู่ เมื่อกี้ตอนที่มองลงมาจากบนฟ้า เรือหาปลาที่ประจันหน้ากับพวกเขาบนทะเลก็เหมือนจะไม่ได้มีแค่ลำเดียว

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉินสือโอวเห็นมีแมวน้ำทะเลหลายตัวนอนอยู่ตรงเนินผาริมทะเล ถึงขั้นว่ามีสิงโตทะเลและวอลลัสที่ตัวใหญ่มากอยู่ด้วย — ให้ตายสิ นี่มันเป็นฟาร์มปลาหรือว่าแหล่งเพาะสัตว์ทะเลกันแน่เนี่ย?

ที่นี่คือมีแมวน้ำทุกชนิด มีตัวที่เขารู้จักดีจำพวกแมวน้ำกรีนแลนด์ แมวน้ำสีเทาตัวอ้วน แมวน้ำลายจุดเงอะงะ แล้วก็ยังมีแมวน้ำมังค์ฮาวาย แมวน้ำพันธุ์ที่ฉินสือโอวไม่รู้จักก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน

มองดูสีหน้าที่งงงวยของเขาแล้ว อารอนก็ยิ้มกว้างพร้อมอธิบายให้เขาฟังว่า “เอ่อคือ เหอๆ ผมค่อนข้างชอบเพาะเลี้ยงแมวน้ำทะเล สิงโตทะเลกับวอลลัสน่ะครับ แล้วผมก็ชอบเลี้ยงปลาโลมากับปลาวาฬด้วย…”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว จึงถามออกไปด้วยความตะลึงว่า “คุณเป็นนักอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรเหรอ? ”

อารอนพยักหน้า พูดว่า “ใช่ครับ ผมชอบเจ้าพวกนี้ ผมรู้สึกว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ มนุษย์ควรจะปกต้องพวกมัน ไม่ใช่ทำร้ายพวกมัน พูดตามจริงนะครับ ผู้อำนวยการ ที่ผมซื้อฟาร์มปลานี้ไม่ใช่เพื่อเอามาเลี้ยงปลาเพื่อหาเงินนะครับ แต่เพื่อจัดหาพื้นที่ให้เหล่าสัตว์ในมหาสมุทรได้มีที่พักพิงต่างหากครับ ”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน