กลางเดือนเมษายน ฝนฤดูใบไม้ผลิได้ตกลงมาอย่างไร้สัญญาณเตือน เริ่มตั้งแต่ตอนเที่ยงคืน ก็มี ‘เสียงฝนฤดูใบไม้ผลิ’ ดังกระทบกับหน้าต่างแล้ว พอถึงตอนเช้า ฝนเม็ดใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย ม่านน้ำที่ถี่นั้นได้ตกลงมาขวางไว้ระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน
เสี่ยวหมิงพาสาวๆ หกตัวที่มันอยู่กินด้วยไปหลบใต้หลังคา ฉินสือโอวเดินเข้าไปใช้นิ้วชี้เคาะไปที่หัวเล็กๆ ของมัน จากนั้นก็กลับไปหยิบองุ่นดำมาพวงหนึ่งให้กับสาวๆ ของมัน เขาจะต้องไว้หน้าเจ้าเพื่อนตัวน้อยตัวนี้หน่อย เกือบจะทุกครั้งที่เจอเสี่ยวหมิงกับสาวๆ ของมัน เขาก็จะมีของขวัญมาให้เสมอ
เสี่ยวหมิงกินองุ่นดำไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไต่ขากางเกงของเขาขึ้นไปบนไหล่ แล้วใช้หางพวงโตของมันปัดไปที่แก้มของเขาอย่างนุ่มนวล เหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน
ฉินสือโอวยืนยิ้มอยู่หน้าประตูเพื่อดูฝน เสี่ยวหมิงมองดูต้นเมเปิล แล้วก็กระโดดลงมาจากไหล่ มันเหมือนกับสายฟ้าแลบสีน้ำตาลแดง ที่วิ่งฝ่าม่านฝนแล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ล้วงเข้าไปในรูหนึ่งคาบเอาลูกสนออกมาลูกหนึ่งแล้ววิ่งกลับมา
เสี่ยวหมิงไม่มีนิสัยที่ต้องจำศีล แต่พวกมันจะทำการสะสมอาหารในฤดูหนาว สำหรับพวกมันแล้ว เวลาที่ผ่านไปยากที่สุดไม่ใช่ฤดูหนาวแต่เป็นฤดูใบไม้ผลิ อาหารพวกนี้ก็คือของที่เตรียมไว้สำหรับฤดูใบไม้ผลิ
ลูกกลมๆ ที่มันคาบไว้ก็คือลูกสน หลังจากวิ่งกลับไปใต้หลังคาแล้ว มันก็ทำเหมือนกับลิงที่ใช้อุ้งมืออุ้มลูกสนไว้ อ้าปากให้ฟันหน้าที่แหลมคมโผล่ออกมา แล้วเริ่มแทะลูกสนให้เป็นแผ่นๆ จากนั้นก็กัดเปลือกของเมล็ดให้ละเอียด หลังจากแทะเมล็ดสนออกมาได้แล้วก็ยื่นไปตรงหน้าฉินสือโอว
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะร่าออกมา เสี่ยวหมิงยังคงมีมารยาทแบบนี้เสมอ ซึ่งดีกว่าพวกหู่เป้าฉงหลัวมากๆ เจ้าพวกนั้นทำเป็นแต่เสนอหน้ามาขอกินขอดื่มเท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นพวกมันเอาของกินอะไรมาให้ตัวเองเลย
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งออกมา คลานขึ้นไปดึงแขนของเขาแล้วก็ยืนขึ้นมา อิงแอบอยู่ข้างเขาซ้ายตัวขวาตัว ใช้อุ้งเท้าโอบแขนของเขาไว้ราวกับเด็กเล็กๆ
วินนี่ออกมา ถามว่า “โอ้ นี่พวกคุณทำอะไรกันอยู่คะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “กำลังชมฝนอยู่ไง เป็นอย่างไรบ้าง ฝนฤดูใบไม้ผลินี่ทำให้รู้สึกไม่เลวเลยใช่ไหม?”
วินนี่ยื่นมือออกไปรองหยดน้ำฝนที่ไหลลงจากหลังคา คุณภาพอากาศของเกาะแฟร์เวลดีมาก น้ำฝนที่ตกลงมาไม่มีฝุ่นปะปนอยู่เลย วินนี่ประสานมือทั้งสองข้างไว้ ไม่นานก็รองน้ำฝนใสสะอาดได้มาจำนวนหนึ่ง และจากนั้นก็มีหยดน้ำฝนหยดลงมาบนนั้นราวกับเม็ดหยก ทั้งสวยและส่งเสียงชัดเจน
ท่ามกลางม่านฝน ทำให้หญ้าในสนามดูสวยสดมากกว่าเดิม หลังจากถูกฝนฤดูใบไม้ผลิชะล้างแล้ว ต้นกล้าของหญ้าสะอาดกว่าเดิมมาก และเมื่อมองออกไปที่ทะเลอันไกลโพ้น เนื่องจากแรงดันอากาศต่ำในวันครึ้มฝน ทำให้มีพวกปลาค็อดและปลากระโทงสีน้ำเงินกระโดดออกมาจากผิวน้ำกันไม่หยุด
เสี่ยวเถียนกวาเดินหาวออกมา บ่งบอกถึงคำสุภาษิตที่ว่าใบไม้ผลิอย่าเพิ่งถอดเสื้อฤดูหนาวก็อย่าเพิ่งใส่เสื้อหนาเกินไป เพราะแม่ของฉินสือโอวห่อเธอไว้แน่นหนามาก ยัยตัวเล็กเหมือนกับเพนกวินอ้วนที่เดินโยกเยกออกมา นี่เป็นฝนแรกที่เธอเห็นหลังจากรู้ความ จึงประหลาดใจอย่างมาก แล้วก็เลียนแบบวินนี่โดยการยื่นมือออกไปรองรับหยดน้ำฝน
ฝนฤดูใบไม้ผลิเย็นเฉียบ เมื่อรู้สึกถึงจุดนี้แล้วเธอก็รีบดึงมือน้อยๆ กลับมา แล้วหัวเราะคิกคักอยู่ตรงนั้น
จากนั้นหมีโลลิก็ออกมาด้วย เสี่ยวเถียนกวาเห็นแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แอบย่องไปข้างหลัง กระโดดขึ้นมากอดไปที่คอของหมีโลลิ แล้วกัดฟันน้ำนมของเธอแล้วลากมันออกไปข้างนอก
หมีโลลิงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันในตอนนี้ได้อ้วนขึ้นไปอีกสองเท่าแล้ว พูดตามจริงถ้าจะสู้กับเถียนกวาจริงๆ เถียนกวาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน แต่หากว่าพูดถึงพละกำลังแล้ว มันกับเถียนกวาก็ไม่ต่างกันเท่าไร ไม่ใช่ว่ามันแรงน้อย แต่ว่าเถียนกวามีแรงมาก
เพราะพลังโพไซดอน ทำให้เถียนกวาเติบโตได้เร็วและแข็งแรง พละกำลังก็มากกว่าคนวัยเดียวกัน บูลน้อยที่แก่กว่าเธอครึ่งปีอ้วนกว่าเธอตั้งเยอะ แต่ก็ยังไม่มีพละกำลังเท่าเธอเลย
ลากหมีโลลิไปใต้หลังคาแล้ว ยัยตัวเล็กก็สะบัดแขนอย่างดีใจเพราะคิดจะผลักให้มันออกไปข้างนอก
ในตอนนี้นี่เองที่หมีโลลิได้แสดงโฉมหน้าของหมีขั้วโลกเหนือออกมา ทั้งความคล่องแคล่วและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
เห็นเพียงว่าหลังหมีน้อยถูกผลักออกไปแล้วหมุนตัวอยู่ครึ่งรอบ แล้วร่างกายก็เหมือนกับกระดาษที่พับแล้วถูกพับกลับมา จากนั้นอุ้งเท้าของมันก็ยันไปที่พื้น แล้วกระโดดกลับมาราวกับม้าดีดกะโหลก ในเวลาเดียวกันมันก็ดีดขาหลังของมัน ไปโดนตัวของเถียนกวา การถีบของมันทำให้เถียนกวาถูกถีบออกไป
ความจริงหลังเถียนกวารู้สึกถึงความเย็นของน้ำฝนแล้ว ก็อยากจะใช้มันไปกระตุ้นหมีโลลิ เพื่อที่จะแกล้งมัน แต่สุดท้ายไม่เพียงแต่แกล้งไม่สำเร็จเท่านั้น ตัวเองยังเสียเปรียบอีก
ขาหลังของหมีขั้วโลกเหนือนั้นมีพละกำลังมาก ยิ่งหมีโลลิที่รับพลังโพไซดอนไปมากมายแล้ว ทำให้เติบโตได้อย่างแข็งแรงมาก เตะทีเดียวก็ทำเอาเถียนกวาถูกถีบไปโดนโคลนในสนามหญ้าเลย
ยัยตัวเล็กใส่เสื้อเยอะเกินไป ทำให้กลายเป็นหมีอ้วนน้อยอีกตัว หลังจากลงพื้นแล้วทำให้ยืนไม่มั่น จึงกลิ้งหลุนๆ ไปหลายรอบ หลังจากลุกขึ้นมาแล้วก็เบะปากอยากจะร้องไห้
วินนี่ร้อนรน เมื่อเห็นลูกสาวเบะปากแล้ว ก็รีบเข้าไปหา ฉินสือโอวดึงเธอไว้แล้วพูดว่า “ต้องฝึกให้ลูกสาวยืนหยัดด้วยตัวเองนะ นี่เป็นคำพูดของคุณไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว วินนี่แทบจะอกแตกตาย พูดว่า “ต้องฝึกค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ฝึกแบบนี้…”
เสี่ยวเถียนกวาเป็นคนพิเศษจริงๆ หลังจากเบะปากแต่ไม่เห็นมีใครมาพยุงตัวเองแล้ว จึงลุกขึ้นมาเอง แล้วพุ่งไปหาหมีโลลิด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยโคลนและน้ำฝน
หมีโลลิเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงหมุนตัววิ่งหนีไป ไม่ใช่ว่ามันกลัวเถียนกวาจะตีมัน แต่กลัวว่าขนสีขาวดุจหิมะของมันจะสกปรกต่างหาก
เถียนกวาวิ่งไปพลางตะโกนให้หู่จือกับเป้าจือไปพลางว่า “หมาๆ ตีมัน!”
ในฟาร์มปลานี้ เถียนกวามีเพียงเพื่อนร่วมรบชั่วคราวกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มเป็นแมวน้ำที่มีหัวหน้าเป็นแมวน้ำน้อยซื่อบื้อสองตัวนั้น เพราะความไร้เดียงสาของเถียนกวา ทำให้ฝูงแมวน้ำใจดีกับเธออย่างมาก เพื่อนร่วมรบที่ว่าก็คือหู่จือกับเป้าจือ แลบราดอร์เห็นแก่หน้าของคนเป็นพ่ออย่างฉินสือโอว ถ้าอารมณ์ดีก็จะฟังคำสั่งของเจ้านายน้อยเช่นกัน
ส่วนเจ้าตัวเล็กตัวอื่นๆ ฉงต้าไม่ต่อกรกับเถียนกวาเพราะเห็นแก่หน้าเมียที่รักอย่างฉงเอ้อ พี่น้องเฟอเรทถูกจัดการอย่างหนัก ทำให้เกลียดเถียนกวาเข้าไส้ หลัวปอกับราชาซิมบ้าก็พอๆ กัน ต่างก็ถูกยัยตัวเล็กแกล้งทั้งคู่ ปอหลัวเป็นพวกไม่เข้าพวกใครทั้งนั้น มันแค่อยากดูแลแปลงผักที่เป็นที่ดินของตัวเองให้ดีเท่านั้น
หู่จือกับเป้าจือทำการขวางหมีโลลิไว้จากทั้งสองด้าน พวกมันสองตัวแข็งแรงมาก แม้ว่าจะเป็นแลบราดอร์ แต่กลับแข็งแรงกว่าสุนัขพันธุ์โมโลสเซอร์เสียอีก หลังจากหมีโลลิถูกประกบทั้งซ้ายขวาแล้ว ถึงจะเป็นหมีขั้วโลกเหนือก็หนีไม่พ้นหรอก
เสี่ยวเถียนกวาวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในมือถือโคลนไว้อยู่ เธอเริ่มจากปามันไปบนตัวของหมีโลลิก่อน จากนั้นก็กอดมันแล้วกระโดดสุดแรง เพื่อสะบัดโคลนบนตัวออกไป
หมีโลลิโกรธจนร้องออกมา ฉงต้าพุ่งออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน อ้าปากแล้วแหกปากร้อง “อาววู้!”
เสี่ยวเถียนกวาเห็นฉงต้าปรากฏตัวแล้ว ก็รีบก้าวขาสั้นๆ นั้นวิ่งไปข้างวินนี่ ร้องว่า “หม่าม๊า หม่าม๊า!”
หลังจากวิ่งไปอยู่หน้าวินนี่แล้ว ยัยตัวเล็กก็ยื่นมือออกไปทำท่าจะกอด แล้วก็กระโดดไปทางเธอทันที
วินนี่มองไปที่โคลนที่เปื้อนเต็มตัวลูกสาวแล้วก็กระโดดหลบอย่างรวดเร็ว จากนั้นยัยตัวเล็กก็บินออกไปราวกับเครื่องร่อน แขนทั้งสองข้างกอดไปที่สนามหญ้าอย่างจัง
ตอนนี้ยัยตัวเล็กรู้สึกน้อยใจจริงๆ เสียแล้ว และไม่ยอมลุกขึ้นมาด้วย แต่เริ่มร้องไห้โวยวายอยู่ตรงนั้นแทน
วินนี่รีบเข้าไปอุ้มเธอเข้ามา แล้วอธิบายอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า “แม่ไม่ทันตั้งตัว”
ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆ อึ้งไปแล้ว นี่เหรอคนเป็นแม่? ใครจะเชื่อ?
……………………………