ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1551 เสียงฝนฤดูใบไม้ผลิ

บทที่ 1551 เสียงฝนฤดูใบไม้ผลิ

กลางเดือนเมษายน ฝนฤดูใบไม้ผลิได้ตกลงมาอย่างไร้สัญญาณเตือน เริ่มตั้งแต่ตอนเที่ยงคืน ก็มี ‘เสียงฝนฤดูใบไม้ผลิ’ ดังกระทบกับหน้าต่างแล้ว พอถึงตอนเช้า ฝนเม็ดใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย ม่านน้ำที่ถี่นั้นได้ตกลงมาขวางไว้ระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน

เสี่ยวหมิงพาสาวๆ หกตัวที่มันอยู่กินด้วยไปหลบใต้หลังคา ฉินสือโอวเดินเข้าไปใช้นิ้วชี้เคาะไปที่หัวเล็กๆ ของมัน จากนั้นก็กลับไปหยิบองุ่นดำมาพวงหนึ่งให้กับสาวๆ ของมัน เขาจะต้องไว้หน้าเจ้าเพื่อนตัวน้อยตัวนี้หน่อย เกือบจะทุกครั้งที่เจอเสี่ยวหมิงกับสาวๆ ของมัน เขาก็จะมีของขวัญมาให้เสมอ

เสี่ยวหมิงกินองุ่นดำไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไต่ขากางเกงของเขาขึ้นไปบนไหล่ แล้วใช้หางพวงโตของมันปัดไปที่แก้มของเขาอย่างนุ่มนวล เหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน

ฉินสือโอวยืนยิ้มอยู่หน้าประตูเพื่อดูฝน เสี่ยวหมิงมองดูต้นเมเปิล แล้วก็กระโดดลงมาจากไหล่ มันเหมือนกับสายฟ้าแลบสีน้ำตาลแดง ที่วิ่งฝ่าม่านฝนแล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ล้วงเข้าไปในรูหนึ่งคาบเอาลูกสนออกมาลูกหนึ่งแล้ววิ่งกลับมา

เสี่ยวหมิงไม่มีนิสัยที่ต้องจำศีล แต่พวกมันจะทำการสะสมอาหารในฤดูหนาว สำหรับพวกมันแล้ว เวลาที่ผ่านไปยากที่สุดไม่ใช่ฤดูหนาวแต่เป็นฤดูใบไม้ผลิ อาหารพวกนี้ก็คือของที่เตรียมไว้สำหรับฤดูใบไม้ผลิ

ลูกกลมๆ ที่มันคาบไว้ก็คือลูกสน หลังจากวิ่งกลับไปใต้หลังคาแล้ว มันก็ทำเหมือนกับลิงที่ใช้อุ้งมืออุ้มลูกสนไว้ อ้าปากให้ฟันหน้าที่แหลมคมโผล่ออกมา แล้วเริ่มแทะลูกสนให้เป็นแผ่นๆ จากนั้นก็กัดเปลือกของเมล็ดให้ละเอียด หลังจากแทะเมล็ดสนออกมาได้แล้วก็ยื่นไปตรงหน้าฉินสือโอว

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะร่าออกมา เสี่ยวหมิงยังคงมีมารยาทแบบนี้เสมอ ซึ่งดีกว่าพวกหู่เป้าฉงหลัวมากๆ เจ้าพวกนั้นทำเป็นแต่เสนอหน้ามาขอกินขอดื่มเท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นพวกมันเอาของกินอะไรมาให้ตัวเองเลย

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งออกมา คลานขึ้นไปดึงแขนของเขาแล้วก็ยืนขึ้นมา อิงแอบอยู่ข้างเขาซ้ายตัวขวาตัว ใช้อุ้งเท้าโอบแขนของเขาไว้ราวกับเด็กเล็กๆ

วินนี่ออกมา ถามว่า “โอ้ นี่พวกคุณทำอะไรกันอยู่คะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “กำลังชมฝนอยู่ไง เป็นอย่างไรบ้าง ฝนฤดูใบไม้ผลินี่ทำให้รู้สึกไม่เลวเลยใช่ไหม?”

วินนี่ยื่นมือออกไปรองหยดน้ำฝนที่ไหลลงจากหลังคา คุณภาพอากาศของเกาะแฟร์เวลดีมาก น้ำฝนที่ตกลงมาไม่มีฝุ่นปะปนอยู่เลย วินนี่ประสานมือทั้งสองข้างไว้ ไม่นานก็รองน้ำฝนใสสะอาดได้มาจำนวนหนึ่ง และจากนั้นก็มีหยดน้ำฝนหยดลงมาบนนั้นราวกับเม็ดหยก ทั้งสวยและส่งเสียงชัดเจน

ท่ามกลางม่านฝน ทำให้หญ้าในสนามดูสวยสดมากกว่าเดิม หลังจากถูกฝนฤดูใบไม้ผลิชะล้างแล้ว ต้นกล้าของหญ้าสะอาดกว่าเดิมมาก และเมื่อมองออกไปที่ทะเลอันไกลโพ้น เนื่องจากแรงดันอากาศต่ำในวันครึ้มฝน ทำให้มีพวกปลาค็อดและปลากระโทงสีน้ำเงินกระโดดออกมาจากผิวน้ำกันไม่หยุด

เสี่ยวเถียนกวาเดินหาวออกมา บ่งบอกถึงคำสุภาษิตที่ว่าใบไม้ผลิอย่าเพิ่งถอดเสื้อฤดูหนาวก็อย่าเพิ่งใส่เสื้อหนาเกินไป เพราะแม่ของฉินสือโอวห่อเธอไว้แน่นหนามาก ยัยตัวเล็กเหมือนกับเพนกวินอ้วนที่เดินโยกเยกออกมา นี่เป็นฝนแรกที่เธอเห็นหลังจากรู้ความ จึงประหลาดใจอย่างมาก แล้วก็เลียนแบบวินนี่โดยการยื่นมือออกไปรองรับหยดน้ำฝน

ฝนฤดูใบไม้ผลิเย็นเฉียบ เมื่อรู้สึกถึงจุดนี้แล้วเธอก็รีบดึงมือน้อยๆ กลับมา แล้วหัวเราะคิกคักอยู่ตรงนั้น

จากนั้นหมีโลลิก็ออกมาด้วย เสี่ยวเถียนกวาเห็นแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แอบย่องไปข้างหลัง กระโดดขึ้นมากอดไปที่คอของหมีโลลิ แล้วกัดฟันน้ำนมของเธอแล้วลากมันออกไปข้างนอก

หมีโลลิงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันในตอนนี้ได้อ้วนขึ้นไปอีกสองเท่าแล้ว พูดตามจริงถ้าจะสู้กับเถียนกวาจริงๆ เถียนกวาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน แต่หากว่าพูดถึงพละกำลังแล้ว มันกับเถียนกวาก็ไม่ต่างกันเท่าไร ไม่ใช่ว่ามันแรงน้อย แต่ว่าเถียนกวามีแรงมาก

เพราะพลังโพไซดอน ทำให้เถียนกวาเติบโตได้เร็วและแข็งแรง พละกำลังก็มากกว่าคนวัยเดียวกัน บูลน้อยที่แก่กว่าเธอครึ่งปีอ้วนกว่าเธอตั้งเยอะ แต่ก็ยังไม่มีพละกำลังเท่าเธอเลย

ลากหมีโลลิไปใต้หลังคาแล้ว ยัยตัวเล็กก็สะบัดแขนอย่างดีใจเพราะคิดจะผลักให้มันออกไปข้างนอก

ในตอนนี้นี่เองที่หมีโลลิได้แสดงโฉมหน้าของหมีขั้วโลกเหนือออกมา ทั้งความคล่องแคล่วและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

เห็นเพียงว่าหลังหมีน้อยถูกผลักออกไปแล้วหมุนตัวอยู่ครึ่งรอบ แล้วร่างกายก็เหมือนกับกระดาษที่พับแล้วถูกพับกลับมา จากนั้นอุ้งเท้าของมันก็ยันไปที่พื้น แล้วกระโดดกลับมาราวกับม้าดีดกะโหลก ในเวลาเดียวกันมันก็ดีดขาหลังของมัน ไปโดนตัวของเถียนกวา การถีบของมันทำให้เถียนกวาถูกถีบออกไป

ความจริงหลังเถียนกวารู้สึกถึงความเย็นของน้ำฝนแล้ว ก็อยากจะใช้มันไปกระตุ้นหมีโลลิ เพื่อที่จะแกล้งมัน แต่สุดท้ายไม่เพียงแต่แกล้งไม่สำเร็จเท่านั้น ตัวเองยังเสียเปรียบอีก

ขาหลังของหมีขั้วโลกเหนือนั้นมีพละกำลังมาก ยิ่งหมีโลลิที่รับพลังโพไซดอนไปมากมายแล้ว ทำให้เติบโตได้อย่างแข็งแรงมาก เตะทีเดียวก็ทำเอาเถียนกวาถูกถีบไปโดนโคลนในสนามหญ้าเลย

ยัยตัวเล็กใส่เสื้อเยอะเกินไป ทำให้กลายเป็นหมีอ้วนน้อยอีกตัว หลังจากลงพื้นแล้วทำให้ยืนไม่มั่น จึงกลิ้งหลุนๆ ไปหลายรอบ หลังจากลุกขึ้นมาแล้วก็เบะปากอยากจะร้องไห้

วินนี่ร้อนรน เมื่อเห็นลูกสาวเบะปากแล้ว ก็รีบเข้าไปหา ฉินสือโอวดึงเธอไว้แล้วพูดว่า “ต้องฝึกให้ลูกสาวยืนหยัดด้วยตัวเองนะ นี่เป็นคำพูดของคุณไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว วินนี่แทบจะอกแตกตาย พูดว่า “ต้องฝึกค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ฝึกแบบนี้…”

เสี่ยวเถียนกวาเป็นคนพิเศษจริงๆ หลังจากเบะปากแต่ไม่เห็นมีใครมาพยุงตัวเองแล้ว จึงลุกขึ้นมาเอง แล้วพุ่งไปหาหมีโลลิด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยโคลนและน้ำฝน

หมีโลลิเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงหมุนตัววิ่งหนีไป ไม่ใช่ว่ามันกลัวเถียนกวาจะตีมัน แต่กลัวว่าขนสีขาวดุจหิมะของมันจะสกปรกต่างหาก

เถียนกวาวิ่งไปพลางตะโกนให้หู่จือกับเป้าจือไปพลางว่า “หมาๆ ตีมัน!”

ในฟาร์มปลานี้ เถียนกวามีเพียงเพื่อนร่วมรบชั่วคราวกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มเป็นแมวน้ำที่มีหัวหน้าเป็นแมวน้ำน้อยซื่อบื้อสองตัวนั้น เพราะความไร้เดียงสาของเถียนกวา ทำให้ฝูงแมวน้ำใจดีกับเธออย่างมาก เพื่อนร่วมรบที่ว่าก็คือหู่จือกับเป้าจือ แลบราดอร์เห็นแก่หน้าของคนเป็นพ่ออย่างฉินสือโอว ถ้าอารมณ์ดีก็จะฟังคำสั่งของเจ้านายน้อยเช่นกัน

ส่วนเจ้าตัวเล็กตัวอื่นๆ ฉงต้าไม่ต่อกรกับเถียนกวาเพราะเห็นแก่หน้าเมียที่รักอย่างฉงเอ้อ พี่น้องเฟอเรทถูกจัดการอย่างหนัก ทำให้เกลียดเถียนกวาเข้าไส้ หลัวปอกับราชาซิมบ้าก็พอๆ กัน ต่างก็ถูกยัยตัวเล็กแกล้งทั้งคู่ ปอหลัวเป็นพวกไม่เข้าพวกใครทั้งนั้น มันแค่อยากดูแลแปลงผักที่เป็นที่ดินของตัวเองให้ดีเท่านั้น

หู่จือกับเป้าจือทำการขวางหมีโลลิไว้จากทั้งสองด้าน พวกมันสองตัวแข็งแรงมาก แม้ว่าจะเป็นแลบราดอร์ แต่กลับแข็งแรงกว่าสุนัขพันธุ์โมโลสเซอร์เสียอีก หลังจากหมีโลลิถูกประกบทั้งซ้ายขวาแล้ว ถึงจะเป็นหมีขั้วโลกเหนือก็หนีไม่พ้นหรอก

เสี่ยวเถียนกวาวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในมือถือโคลนไว้อยู่ เธอเริ่มจากปามันไปบนตัวของหมีโลลิก่อน จากนั้นก็กอดมันแล้วกระโดดสุดแรง เพื่อสะบัดโคลนบนตัวออกไป

หมีโลลิโกรธจนร้องออกมา ฉงต้าพุ่งออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน อ้าปากแล้วแหกปากร้อง “อาววู้!”

เสี่ยวเถียนกวาเห็นฉงต้าปรากฏตัวแล้ว ก็รีบก้าวขาสั้นๆ นั้นวิ่งไปข้างวินนี่ ร้องว่า “หม่าม๊า หม่าม๊า!”

หลังจากวิ่งไปอยู่หน้าวินนี่แล้ว ยัยตัวเล็กก็ยื่นมือออกไปทำท่าจะกอด แล้วก็กระโดดไปทางเธอทันที

วินนี่มองไปที่โคลนที่เปื้อนเต็มตัวลูกสาวแล้วก็กระโดดหลบอย่างรวดเร็ว จากนั้นยัยตัวเล็กก็บินออกไปราวกับเครื่องร่อน แขนทั้งสองข้างกอดไปที่สนามหญ้าอย่างจัง

ตอนนี้ยัยตัวเล็กรู้สึกน้อยใจจริงๆ เสียแล้ว และไม่ยอมลุกขึ้นมาด้วย แต่เริ่มร้องไห้โวยวายอยู่ตรงนั้นแทน

วินนี่รีบเข้าไปอุ้มเธอเข้ามา แล้วอธิบายอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า “แม่ไม่ทันตั้งตัว”

ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆ อึ้งไปแล้ว นี่เหรอคนเป็นแม่? ใครจะเชื่อ?

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท