ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1577 เทศกาลปลาบรีม

บทที่ 1577 เทศกาลปลาบรีม

อาร์ติโชคอร่อยแต่ว่าขุดไม่ง่ายเลย เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะมันเปราะบางและแตกง่าย และอาร์ติโชคก็เป็นพืชที่สกปรกได้ง่าย พวกมันสามารถดูดซับเครื่องปรุงรสและดึงรสชาติออกมาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มันยังสามารถดูดซับดินได้ง่ายด้วย ซึ่งไม่สามารถทานได้ทั้งแบบนั้น

อีกทั้ง อาร์ติโชคพวกนี้มักจะอาศัยอยู่ตามแนวเนินเขา ที่ด้านล่างมีหินแตกละเอียด ดังนั้นการขุดด้วยพลั่วหรือมีดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางครั้งเวลาที่ขุดลงไปก็จะโดนกรวด ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องเอากรวดออกก่อนถึงจะขุดหัวมันขึ้นมาได้

พวกเขาขุดขึ้นมาได้สิบหัวแต่กลับทำแตกไปแล้วสี่หัว ฉินสือโอวเริ่มจะหมดความอดทน เขาพูดออกมาว่า “ช่างมันเถอะ ไม่ขุดแล้ว”

อีวิลสันค่อนข้างมีความอดทน เขาหัวเราะหึหึออกมาพลางพูดว่า “ผมขุดเอง คุณไปเล่นเถอะ”

ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเป็นคนสอนให้เขามาขุดหัวอาร์ติโชคแล้วบอกกับเขาว่า หัวนี้อร่อยมาก ตราบใดที่งานเกี่ยวกับอาหารการกิน อีวิลสันก็จะฮึกเหิมเป็นพิเศษ

การขุดของเบิร์ดเป็นไปอย่างราบรื่น เขาเป็นปรมาจารย์ด้านการใช้มีด มีดที่อยู่ในมือของเขาสะบัดไปมาราวกับงูที่มีชีวิต หลังจากที่ฝึกฝนมาหลายรอบเขาก็สามารถทำลายหินกรวดที่อยู่รอบๆ อาร์ติโชคได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ตัดหัวมันออกมาก็ใช้ได้แล้ว

ฉินสือโอวยังคงขุดต่อไป เขาจำได้ว่าสองข้างของแม่น้ำที่ฟาร์มปลามีพื้นที่ว่างอยู่ อันที่จริงแล้วเขาสามารถปลูกอาร์ติโชคได้ แบบนี้ต่อไปก็จะทานอาร์ติโชคได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้เครื่องจักรขุดได้ด้วย

อาร์ติโชคเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เหมาะแก่การปลูกในแคนาดาเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า เท่าที่ฉินสือโอวรู้ มันเป็นพืชที่เหมาะให้มนุษย์เพาะปลูกที่สุด

อันดับแรก มันสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลาย หัวของมันอุดมไปด้วยแป้ง สามารถนำมาเป็นอาหารของมนุษย์ได้ ส่วนต้นและใบของมันสามารถนำมาผสมรวมกันแล้วทำอาหารปลาได้

หัวมันอุดมไปด้วยสารอาหาร ไม่ว่าจะนึ่ง ตุ๋น ทอดหรือดองก็มีรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว ที่บ้านเกิดของฉินสือโอว อาร์ติโชคเป็นผักดองที่มีรสชาติอร่อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นอกจากนี้หัวอาร์ติโชคยังสามารถสกัดสารอินนูลินและแอลกอฮอล์ได้ อินนูลินเป็นยาดีที่สามารถรักษาโรคเบาหวานได้ และยังเป็นวัตถุดิบทางอุตสาหกรรมที่มีคุณค่าอีกด้วย

อีกประการหนึ่ง อาร์ติโชคอุดมไปด้วยโฟลีฟรุคโตสอินนูลิน หลังจากที่สกัดสารแยกออกมา และผ่านกระบวนทางเคมีที่ซับซ้อนแล้ว ก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นฟรุกโตลิโกแซ็กคาไรด์ได้ และในสารฟรุกโตลิโกแซ็กคาไรด์ก็มีฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์สูง และเมื่อเพิ่มสารเอสเชอริเชียโคไลเข้าไปและผ่านกระบวนการลิต มันจะถูกเปลี่ยนเป็นไบโอดีเซล

นอกจากนี้ เจ้าสิ่งนี้ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลียไปจนถึงไต้หวันต่างก็ผลิตอาหารที่มีสารอินนูลินและโอลิโกฟรุคโตส อินนูลินที่สกัดจากอาร์ติโชค ถูกนำไปใช้ใยผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม เครื่องดื่มแลคโตบาซิลลัส เครื่องดื่มแบบชง ลูกอม คุกกี้ เยลลี่และเครื่องดื่มอีกมากมายหลายชนิด

ฉินสือโอวต้องการทำอาหารเพื่อสุขภาพมาโดยตลอด อาร์ติโชคถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลัก มันเหมาะที่จะทำอาหารเพื่อสุขภาพและเพื่อผู้สูงวัยเป็นอย่างมาก

พอมาคิดดูแล้ว ฉินสือโอวจึงหันไปปรึกษากับเบิร์ด เบิร์ดก็รู้จักอาร์ติโชค แน่นอนว่าตอนที่อยู่อเมริกาเขาเรียกมันว่าแก่นตะวัน ในตอนที่อยู่ในกองทัพพวกเขาเรียนรู้วิธีการหาอาหารในป่า แก่นตะวันถือเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการเลือกอาหาร

เบิร์ดพูดว่า “แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เพื่อพัฒนาอาหารสำหรับสุขภาพก็ตาม แต่พวกเราก็สามารถหาแก่นตะวันทานเองได้ นอกจากนี้ยังนำมาทำเครื่องดื่มอีกด้วย กิ่งก้านใบของมันจะไม่สูญเปล่า พวกมันนำมาทำอาหารสัตว์ได้ใช่ไหม? ใช่ไหมนะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า แล้วพูดว่า “นายจำไว้หน่อยนะ กลับไปพวกเราจะหาเวลาปลูกเจ้าพวกนี้”

เบิร์ดบอกว่าไม่มีปัญหา ถามพูดขึ้นมาอีกว่า “อันที่จริงแล้วฟาร์มปลาของพวกเราไม่ค่อยเหมาะที่จะปลูกพวกมันเท่าไร ไปที่ฟาร์มปลาต้าฉินแห่งที่สามน่าจะดีกว่า ที่นั่นอากาศอุ่นกว่ามาก และแสงแดดก็มีมากกว่า ใช่แล้ว เรายังมีแม่น้ำสายใหญ่อยู่หนึ่งสายไม่ใช่เหรอ? รากของแก่นตะวันได้รับการพัฒนามาโดยเฉพาะ หัวของแก่นตะวันจะมีรากจำนวนนับร้อยสายที่ยาวหนึ่งถึงสองเมตรฝังลึกลงไปในดิน ทำให้กักเก็บน้ำและดินไว้ได้”

แก่นตะวันมีการแพร่พันธุ์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มันใช้เวลาเพียงสองสามวันก็สามารถสร้างตาข่ายรากจากลำต้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณที่อยู่ ทำให้มันสามารถรักษาคุณภาพน้ำและดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉินสือโอวพยักหน้า ฟาร์มปลาต้าฉินก็เหมาะที่จะปลูกเหมือนกัน แก่นตะวันทนต่อความหนาวเย็นและอากาศที่แห้ง หัวของพวกมันสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในดินภายใต้อากาศที่หนาวเย็นในระดับอุณหภูมิติดลบสามสิบองศาเซลเซียส ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นกล้าของพวกมันจะสามารถทนต่อน้ำค้างแข็งได้ และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง พวกมันก็สามารถทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศาได้ในระยะหนึ่ง นอกจากนี้พวกมันยังทนต่อความแห้งแล้ง ความต้องการดินของมันไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไร นอกจากดินที่เป็นกรดอย่างหนองบึงและพื้นที่ที่มีความเค็มด่างไม่เหมาะสมแล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็สามารถปลูกพวกมันได้

อาร์ติโชคไม่เคยถูกเจอบนเกาะแฟร์เวล แต่ในหลายๆ พื้นที่ในอเมริกาเหนือ สามารถเจออาร์ติโชคได้ง่ายมาก พวกมันโผล่อยู่ตามสองข้างทางของถนน

แม้ว่าในหลายๆ พื้นที่ อาร์ติโชคจะถูกมองว่าเป็นพืชที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติ แต่คนอเมริกาและแคนาดาไม่ได้นำมารับประทานโดยตรง พวกเขานำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร ดังนั้นสำหรับคนธรรมดา พวกมันจึงถือว่าเป็นพืชที่ไร้ประโยชน์

แต่เนื่องจากพวกมันมีความสามารถในการขยายพันธุ์ได้อย่างยอดเยี่ยม การปลูกเพียงครั้งเดียว พวกมันสามารถแพร่กระจายไปได้เรื่อยๆ ขอเพียงแค่มีพื้นที่ที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต พวกมันก็สามารถเจริญพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ โดยที่สภาพอากาศไม่สามารถส่งผลกระทบต่อมันได้

ในสภาวะแห้งแล้ง ที่ขาดน้ำอย่างรุนแรง อากาศแบบนี้อาจทำให้ลำต้นและใบที่อยู่บนพื้นดินตายได้ แต่เมื่อมีน้ำ หัวที่อยู่ใต้ดินก็จะแตกหน่อออกมาอีกครั้ง และถ้าหัวแตกออกมา ทุกๆ ส่วนของหัวที่แตกก็จะสามารถงอกแก่นตะวันใหม่ออกมาได้ ทำให้อัตราการเจริญเติบโตต่อปีสูงถึงยี่สิบเท่า!

และพวกมันก็ไม่กลัวศัตรูพืช และไม่จำเป็นที่จะต้องให้สารอาหารมากนัก ในช่วงที่มันเจริญเติบโต หากหัวและรากของพวกมันติดกันก็ไม่ต้องสนใจ เพราะเป็นเรื่องยากมากที่มนุษย์และสัตว์และทำลายการสืบพันธุ์ของพวกมัน

เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงพวกมันก็จะผลิตเมล็ดแก่นตะวันออกมา ทำให้เกิดอัตราเติบโตในบริเวณนั้นถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และถ้าไม่เก็บเกี่ยวพวกมัน เมล็ดแก่นตะวันพวกนี้ก็จะลอยไปตามลม ตราบใดที่สภาพแวดล้อมไม่รุนแรง พวกมันก็สามารถปักหลักและแตกหน่อออกมาได้

เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการปลูกอาร์ติโชคแล้ว ฉินสือโอวและคนทั้งสามก็ค่อยๆ เก็บแก่นตะวันขึ้นมาใส่ในกระเป๋าเป้

หู่จือและเป้าจือที่อยู่ด้านหลังไม่สนใจการล่าสัตว์อีกต่อไป พวกมันตามฉินสือโอวไปเก็บอาร์ติโชค อุ้งเท้าหน้าขุดดินลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่สิบวินาทีมันก็ขุดอาร์ติโชคออกมาได้หนึ่งหัว แบบนี้ฉินสือโอวแค่ตามไปเก็บขึ้นมาก็ได้แล้ว ประสิทธิภาพในการเก็บเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ตอนเที่ยงฉินสือโอวนำเอาอาร์ติโชคบางส่วนมาย่างกิน เขามัดมันด้วยกิ่งไม้แล้วนำไปแขวนไว้บนกองไฟหรือไม่ก็โยนเข้าไปในกองไฟได้เลย

แก่นตะวันป่ามีน้ำตาลสูงกว่า หลังจากที่ปอกผิวออกก็จะเห็นเนื้อสีทอง เมื่อเอาเข้าปากก็คล้ายกับการทานมันเทศคุณภาพสูง ทั้งหวานและหยาบ เด็กหญิงหยุดทานเนื้อทันทีที่ได้ทานอาร์ติโชคย่าง เถียนกวากินอาร์ติโชคอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากกลับมาในช่วงบ่าย เขาก็เข้าไปในครัวเพื่อทำความสะอาดและหั่นอาร์ติโชคเป็นชิ้นๆ เขาใส่ไข่เค็มเป็ดลงไปในโถ จากนั้นก็ใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงต่างๆ จากนั้นก็นำผ้ามาปิดคลุมที่ฝาก็ใช้ได้แล้ว พรุ่งนี้ก็สามารถทานได้เลย เป็นการหมักที่รวดเร็วมาก

เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็เข้าไปในห้องเก็บเบียร์และรินเบียร์สดแก้วใหญ่ เขานั่งดื่มเบียร์อยู่ที่หน้าประตูและเล่นกับลูกสาว

ชาร์คที่เข้าไปในเมือง เมื่อกลับมาถึงก็พูดว่า “บอส ฮิวจ์คนน้องให้ผมมาบอกคุณว่า พบปลาบรีมฝูงใหญ่ที่ทะเลสาบเฉินเป่า วันมะรืนนี้เราจะมีการจัดการแข่งขันจับปลาบรีม หลังจากนั้นก็จะมีการจัดงานเลี้ยงปลาบรีม เขาเชิญคุณให้ไปร่วมงานน่ะครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาทันที เมื่อเขานึกถึงปลาบรีมที่อยู่ในทะเลสาบเฉินเป่า ในทีแรกเขารู้สึกกังวลว่าคนของพิพิธภัณฑ์ฟอสซิสจะพบพวกมันในระหว่างการพัฒนา เขาตั้งใจส่งพวกมันไปที่ทะเลทางตอนเหนือของทะเลสาบเฉินเป่าโดยเฉพาะ ไม่คิดว่าพวกมันจะถูกพบเจอเช่นนี้

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท