ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1579 ปิศาจโลลิต้า

บทที่ 1579 ปิศาจโลลิต้า

ใบอนุญาตตกปลาในแคนาดามีสองรูปแบบ ประเภทหนึ่งคือใบอนุญาตตกปลาธรรมดา ใบอนุญาตไม่ได้มีการจำกัดจำนวน แต่สายพันธุ์ของปลาบางชนิดถูกจำกัดจึงไม่สามารถจับได้ ประเภทที่สองคือใบอนุญาตทำการประมงพิเศษ ใบอนุญาตนี้ไม่จำกัดประเภทของปลา แต่จำกัดจำนวน

นอกจากนี้ใบอนุญาตตกปลายังสามารถแบ่งออกได้อีกสองประเภทคือ หนึ่งใบอนุญาตทำประมงชั่วคราว ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องของวันและเวลาหรือไม่ก็มีระยะเวลาสั้นกว่าหนึ่งสัปดาห์ อีกประเภทหนึ่งก็คือใบอนุญาตรายปีที่เรียกกันทั่วไปว่าใบรายปี ฉินสือโอวมีใบอนุญาตทำประมงรายปี ราคาในการซื้อใบอนุญาตอยู่ที่ยี่สิบห้าดอลลาร์ในปีแรก และหลังจากปีที่สองจะลดลงเหลือสิบห้าดอลลาร์ต่อปี

แต่ว่า ในช่วงวันหยุด รัฐจะจัดกิจกรรมบางอย่าง เช่นการตกปลาโดยไม่ต้องใช้ใบอนุญาตสองสัปดาห์ในช่วงวันชาติ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ออกไปตกปลาและพักผ่อน นอกจากนี้ ประชาชนของประเทศที่อายุเกินหกสิบห้าปีไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตในการตกปลา นี่เป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของประชาชน นั่นก็เพื่อเพิ่มกิจกรรมให้แก่ผู้สูงอายุ

เรือเด็คลอยอยู่กลางทะเลสาบ ฉินสือโอวส่งลูกสาวของตัวเองให้ฉงต้า ฉงต้าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ช่วยของเขา เขาจึงให้มันนั่งดูแลเด็กหญิงที่ริมทะเลสาบ ที่หน้าอกของฉงต้ามีเป้อุ้มเด็กขนาดใหญ่ห้อยอยู่ เถียนกวากัดจุกนมพลางหันไปมองรอบๆ เธอเริ่มชินกับการที่เธอถูกดูแลแบบนี้แล้ว

นักท่องเที่ยวมองไปยังฉงต้าด้วยความสนใจ และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป ฉินสือโอวและวินนี่มักจะสอนฉงต้าอยู่เสมอว่าเวลาที่ดูแลเถียนกวาจะต้องทำตัวเป็นเด็กดี พยายามไม่เข้าไปในฝูงชน และอย่าให้ใครมาเข้าใกล้

ดังนั้น เมื่อเห็นว่ามีคนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปตัวเอง มันจึงทำได้เพียงนั่งอยู่เฉยๆ และโบกอุ้งเท้าหน้าพลางแยกเขี้ยวให้ผู้คนเหล่านั้นตกใจ หมีโลลิตามติดฉงต้าอยู่ที่ด้านหลัง นี่เป็นครั้งแรกที่มันมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคนมากมายขนาดนี้ มันรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ก็ปฏิบัติตามพี่ฉงต้าอย่างเคร่งครัด

ฉินสือโอวพาหู่จือและเป้าจือ หลัวปอและลิงซ์ที่กลัวน้ำ พวกมันเลยติดตามฉงต้า เจ้าพวกนี้เลยช่วยกันดูแลเด็กหญิงเถียนกวา ซึ่งพวกมันทำหน้าที่อย่างเต็มที่

เหยื่อที่ใช้ในการตกปลาคือหนอนถั่วลิสงที่นำมาจากฟาร์มปลา ฉินสือโอวเตรียมคันเบ็ดมาสองคัน เชอร์ลี่ย์เกี่ยวเหยื่อตกปลาที่เบ็ดให้แล้วเรียบร้อย ตอนนั้นเองมิเชลก็เดินเข้ามา แล้วหยิบเบ็ดขึ้นมาหนึ่งคันพร้อมออกไปตกปลา

เชอร์ลี่ย์หยุดเขาไว้ แล้วถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจว่า “มิเชล นายจะทำอะไรน่ะ?”

มิเชลทำหน้าไร้เดียงสาตอบกลับไปว่า “ไปตกปลาไง ไม่ตกปลาแล้วจะให้ทำอะไร? ฉันคงไม่สามารถมาจีบเธอได้หรอกใช่ไหมล่ะ?”

“นายอยากตายหรือยังไง? กล้าพูดจาลวนลามฉันน่ะฮะ?” เชอร์ลี่ย์มองไปยังมิเชลด้วยสายตาดุดัน หลังจากนั้นเธอก็กวักมือเรียกกอร์ดอนให้มาหา

กอร์ดอนพายเรือฟักทองประจัญบานของตัวเองมา จากนั้นเขาก็ถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เรียกฉันทำไม…โว้ว ชิท!”

เชอร์ลี่ย์รอจนเรือฟักทองของเขาเข้ามาใกล้เรือเด็ค จากนั้นก็ผลักมิเชลเข้าไปในเรือประจัญบาน กอร์ดอนเกือบจะถูกมิเชลพุ่งเข้าชน เรือฟักทองหมุนไปมา เขาจึงร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ไปไกลๆ เลย!” เชอร์ลี่ย์โบกมือพร้อมพูดเบาๆ

มิเชลร้องออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “เธอหมายความว่ายังไง?”

โลลิต้าไม่ได้พูดอะไร เขาโยนเบ็ดไปเกี่ยวกับเรือฟักทอง จากนั้นก็ดันเรือออกไป

ฉินสือโอวมองไปยังเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เมื่อทุกอย่างสงบลง เขาก็หยิบเบ็ดตกปลาและถามเชอร์ลี่ย์ว่า “เธออยากไปตกปลาไหม?”

โลลิต้ามองไปยังฉินสือโอวด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ เดี๋ยวหนูจะใส่เหยื่อให้คุณเอง คุณจะได้ต้องที่หนึ่งแน่นอน ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องมีคนช่วยใส่เหยื่อให้คุณ”

ฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจเพราะสายตาอันอ่อนโยนที่มองมายังเขา เขาหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ฉันไม่ได้ตกปลาอะไรจริงจังหรอก”

โลลิต้าตอบกลับด้วยความมั่นใจว่า “ไม่ค่ะ ฉิน คุณจะต้องได้ที่หนึ่ง คุณเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเมืองนี้”

ฉินสือโอวพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก เหนือฟ้ายังมีฟ้า อาจจะมีคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าฉันก็เป็นได้ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหาเงินได้มากเท่าไร…”

“ใช่แล้ว หนูเข้าใจแล้ว แต่ว่าก็มีอีกคำพูดหนึ่งไม่ใช่เหรอคะ? ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จทุกคน มักจะมีสตรีผู้ยิ่งใหญ่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง คุณคิดว่าที่นี่ยังจะมีผู้หญิงคนไหนที่ยิ่งใหญ่เท่าฉันอีกเหรอ?” โลลิต้าทำท่าอกผายไหล่ผึ่งด้วยความภาคภูมิใจ

เมื่อได้ยินคำตอบ ฉินสือโอวแทบจะพ่นหมากฝรั่งออกมาจากปาก ยังจะมีใครหลงตัวเองขนาดนี้อีก? แต่ว่าเมื่อเขาเหลือบไปเห็นหน้าอกของโลลิต้า มันค่อนข้างยอดเยี่ยมจริงๆ หากมองด้วยสายตา เชอร์ลี่ย์ที่อายุน้อยเท่านี้ เธอไม่ได้มีขนาดเล็กไปกว่าวินนี่เลย…เฮ้ย นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย

วันนี้โลลิต้าใส่เสื้อเชิ้ตลายทางตัวหลวม แม้ว่าเสื้อจะมีขนาดใหญ่ แต่เพราะว่าเนื้อผ้าเป็นแบบชีฟอง ทำให้รูปร่างดูผอมเพรียว ทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ทั้งหน้าอกและเอวได้อย่างชัดเจน เธอสวมกางเกงยีนขาสั้นตัวหนา เผยให้เห็นขาขาวเนียนราวกับหยก ทำให้ดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก

พอเห็นแบบนี้ท่านชายฉินก็พบว่า เชอร์ลี่ย์ได้กลายเป็นสาวโลลิต้าวัยรุ่นแล้ว เธอไม่ได้เป็นเด็กหญิงอีกต่อไป!

เขาถอนหายใจยาวออกมา เชอร์ลี่ย์ทำท่าทางเขินอาย เธอดึงชายเสื้อลงเล็กน้อย พลางใช้หางตามองฉินสือโอวแล้วพูดว่า “คุณมองอะไรน่ะ ฉิน ทำไมดูท่าทางเพลิดเพลินขนาดนั้น?”

โลลิต้าเป็นเหมือนกับมะนาวที่แขวนอยู่บนยอดต้น เธอยังคงมีความอ่อนโยน และห่างไกลจากความเป็นผู้ใหญ่มากนัก แต่ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เมื่อเธอโตเต็มวัยแล้ว เกรงว่าเธอจะยิ่งมีความน่าดึงดูดมากกว่านี้แน่

ท่านชายฉินส่ายหัวไปมาและไม่ได้พูดต่อ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังเป็นผู้ชายน่ารังเกียจที่โดนสิ่งพวกนี้ยั่วยวนอยู่ดี ความคิดของโลลิต้าเขาจะมองไม่ออกเลยเหรอ?

เขาไม่เพียงแต่จะรู้ความคิดของเธอเท่านั้น แต่กอร์ดอนที่ไม่ได้ไปไหนไกลก็ยังเห็นท่าทีของโลลิต้าเช่นกัน เขาตะโกนออกมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เฮ้ เจ้าขาหมู เธอคิดจะอายบ้างไหม?”

ทันใดนั้นสีหน้าของเชอร์ลี่ย์ก็เปลี่ยนมาเป็นน่าเกลียดทันที ใบหน้าสวยเย็นชาเป็นอย่างมาก เธอหน้าบึ้งและเย็นชาราวกับลูกเห็บ เธอหาของในเรือเด็ค เพื่อที่จะหาธนูยิงปลาของฉินสือโอว เธอหยิบคันธนูขึ้นมา จากนั้นก็ดึงสายและยิงธนูออกไป

“ฟ้าว” ลูกศรอันแหลมคมพุ่งตรงเข้าไปที่เรือฟักทอง โชคดีที่เรือฟักทองนั้นมีผิวที่หนาพอสมควร เชอร์ลี่ย์แรงน้อยไปหน่อย ทำให้ลูกศรไม่ทะลุเข้าไปข้างใน เพียงแค่ปักเข้าไปเท่านั้น

แต่แบบนี้มันก็ทำให้กอร์ดอนและมิเชลกลัวขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งสองคนร้องออกมาเสียงดังว่า “เชอร์ลี่ย์ ยัยผู้หญิงบ้า! เธออยากฆ่าพวกเราหรือยังไง?” “เธอเล็งดีๆ หน่อยได้ไหมล่ะ? ฉันไม่ได้ไปยั่วโมโหอะไรเลยนะ เมื่อกี้เกือบจะยิงโดนฉันแล้วไม่ใช่หรือไง? กอร์ดอน ฉันไม่นั่งเรือกับนายแล้ว นายจะทำให้ฉันตาย!”

พูดจบ มิเชลก็กระโดดลงน้ำไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ว่ายน้ำไปยังเรือฟักทองของไวส์

เชอร์ลี่ย์ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เธอหยิบลูกธนูออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็เล็งไปที่กอร์ดอน

กอร์ดอนตกใจเป็นอย่างมาก เขาพายเรือเป็นบ้าเป็นหลัง พาตัวเองหนีไปกับเรือฟักทองอย่างรวดเร็ว

จากนั้นโลลิต้าก็ตะโกนออกมาด้วยความพอใจว่า “ถือว่านายยังฉลาดอยู่นะ!”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในอนาคตใครที่ได้แต่งงานกับโลลิต้าคงจะโชคดีน่าดู เด็กสาวคนนี้เหมือนเป็นปิศาจดีๆ นี่เอง

หู่จือและเป้าจือซ่อนตัวอยู่ในมุมดาดฟ้าของเรือ พวกมันขมวดคิ้วและพยายามไม่ยั่วโมโหเชอร์ลี่ย์ พวกมันไม่กล้าที่จะเข้ามายุ่งกับการตกปลาเลย สิ่งที่พวกมันกลัวที่สุดบนโลกใบนี้คือวินนี่และเชอร์ลี่ย์ แต่มะม๊าวินนี่น่ากลัวกว่า

ในตอนนั้นเองก็มีคนจับปลาขึ้นมาได้ ปลาบรีมขนาดใหญ่เนื้อแน่นถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ คนคนนั้นตะโกนร้องออกมาด้วยความดีใจว่า “ปลาตัวใหญ่มากเลย สวยมาก รีบมาถ่ายรูปเร็ว!”

เชอร์ลี่ย์ยังคงแสดงท่าทีอ่อนโยนออกมา “ฉิน คุณรีบตกปลาเร็วเข้า”

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท