ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1581 ย่างปลาริมทะเลสาบ

บทที่ 1581 ย่างปลาริมทะเลสาบ

ปลาบรีมสองสามตัวติดเหยื่อ เชอร์ลี่ย์ดึงพวกมันขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เธอรีบเข้าไปหาฉินสือโอว ตัวเธอนั้นถือคันเบ็ดรอด้วยความตื่นเต้นให้มีปลามากินเหยื่อ

ฉินสือโอวยิ้มออกมา เขาเอนตัวนั่งอยู่ที่ด้านข้างบนดาดฟ้าเรือเพื่อเป็นผู้ช่วยของเธอ

ปลาบรีมไม่ได้เป็นปลาที่โง่ โดยเฉพาะเมื่อพวกมันอยู่รวมกันเป็นฝูง พวกของมันตัวก่อนหน้าอาจจะกินหนอนถั่วลิสงและถูกจับขึ้นมาได้ แต่พวกมันจะไม่ยอมถูกหลอกให้กินหนอนถั่วลิสงและถูกจับอีกแล้ว

เพราะเหตุนี้ เมื่อไม่มีฉินสือโอวคอยช่วย เชอร์ลี่ย์ก็ตกปลาขึ้นมาไม่ได้อีกเลย เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เธอยกตะขอเกี่ยวปลาขึ้นมาดูหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ พลางบ่นพึมพำออกมา “เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด ทำไมเหยื่อยังอยู่ที่ตะขอล่ะ? ทำไมเหยื่อไม่ถูกปลากินไปนะ? เหยื่อล่ะ? เหยื่อถูกกินไปแล้ว แต่ทำไมถึงตกปลาขึ้นมาไม่ได้ล่ะ?”

แม้ว่าหู่จือและเป้าจือจะฟังภาษาคนไม่เข้าใจ แต่เมื่อพวกมันมองไปยังเชอร์ลี่ย์พวกมันก็เข้าใจสถานการณ์และความคิดของเธอ พวกมันแลบลิ้นออกมา ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเธอ

ฉินสือโอวไม่มีอะไรทำ เขาจึงหลบเข้าฝั่งและอุ้มลูกสาวมาขึ้นเรือ ตามกฎของการแข่งขันแล้ว เด็กที่มีอายุต่ำกว่าสิบปีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในทะเลสาบ แม้ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัวก็ตาม แต่เขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎ เขาจึงทำได้เพียงตกปลาที่ริมทะเลสาบเท่านั้น

เมื่อปราศจากการไล่ล่าโดยจิตสำนึกโพไซดอน จำนวนของปลาคาร์พเอเชียก็เพิ่มขึ้น

หลังจากที่เชอร์ลี่ย์คว้างเบ็ดตกปลาออกไปอีกครั้ง จากนั้นเบ็ดตกปลาก็เกิดการสั่นไหวขึ้น เธอตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอร้องออกมาเสียงดังและวิ่งกลับไปที่รอตกปลา

สายเบ็ดถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่จากนั้น สักพักหนึ่งเธอก็ดึงเบ็ดขึ้นมาไม่ไหว สายเบ็ดเหยียดตรง คันเบ็ดโค้งราวกับรูปพระจันทร์เสี้ยว เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็ร้องออกมาด้วยความดีใจว่า “ฉิน รีบมาช่วยหนูเร็วเข้า มันจะต้องเป็นปลาตัวใหญ่แน่ๆ!”

โดยที่ไม่ต้องใช้จิตสำนึกโพไซดอน ฉินสือโอวก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือปลาคาร์พเอเชีย ที่ทะเลสาบเฉินเป่าแห่งนี้ยังมีปลาสายพันธุ์ไหนอีกที่มีแรงมากมายมหาศาลแบบนี้?

ทักษะการตกปลาของเชอร์ลี่ย์นั้นแย่มาก การตกปลาขนาดกลางและเล็ก มือและสายตาจะต้องสัมพันธ์กัน เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาหนีหายไป จึงจำเป็นที่จะต้องดึงมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับปลาขนาดใหญ่แล้ว จำเป็นจะต้องมีทั้งความแข็งแกร่งและอ่อนโยน การต่อสู้กับมันถือเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน ไม่สามารถใช้กำลังที่รุนแรงได้

เธอดึงเบ็ดขึ้นมาอย่างแรง ทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ดีมากนัก ‘ผึ่งๆ’ เกิดเสียงสายเบ็ดดังขึ้นมาทันที!

ฉินสือโอวรีบตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้นทันที เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นเมื่อตอนที่สายเบ็ดขาด เขาก็รีบกระโดดขึ้นไปแล้วใช้มือบังหน้าของเชอร์ลี่ย์ไว้ทันที

สายเบ็ดที่ตึงแน่นขาดสะบั้นลง มันเด้งกลับมาเหมือนกับสปริงเข้ามาอยู่ในมือของฉินสือโอว เขาไม่ได้เจ็บมาก แต่ถ้าหากโดนหน้าล่ะก็ โดยเฉพาะใบหน้าบอบบางของเชอร์ลี่ย์แล้ว แบบนั้นจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

โลลิต้าร้องออกมาด้วยความตกใจ ไม่นานเธอก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าสายเบ็ดดีดเข้าที่หลังมือของฉินสือโอว เธอรีบโยนคันเบ็ดทิ้งและรีบดูที่หลังมือของฉินสือโอวทันที เมื่อเห็นรอยแดงที่หลังมือ ดวงตากลมโตของโลลิต้าเริ่มแดงก่ำ น้ำตาไหลเธอไหลออกมากระทบหลังมือ

ฉินสือโอวทำตัวไม่ถูก เขาทำได้เพียงปลอบใจเธอวา “ไม่ต้องร้อง ไม่เป็นไร ฉันไม่เจ็บเลย”

เถียนกวาที่อยู่ในกระเป๋าเป้อุ้มเด็กที่หันหลังชนกับอกของเขามองไปยังเชอร์ลี่ย์ที่กำลังร้องไห้แล้วยิ้มออกมา เด็กหญิงยิ้มและพูดออกมาเบาๆ ว่า “น่าเกลียด น่าเกลียด กวากวาไม่ร้อง! พี่สาวร้อง น่าเกลียด…”

โลลิต้าใช่หลังมือเช็ดน้ำตา จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังเด็กหญิงตัวเล็ก เธอจิ้มเข้าที่แก้มของเด็กหญิงและพูดออกมาอย่างขมขื่น “รอเธอโตก่อนเถอะ แล้วดูสิว่าพี่จะจัดการกับเธอยังไง!”

เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าการแก้แค้นของผู้หญิงนั้นน่ากลัวเพียงใด เธอยังคงยิ้มออกมา เมื่อโลลิต้าหยุดร้องไห้แล้ว เถียนกวาก็ทำสีหน้าผิดหวังออกมา

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา หลังจากนี้บ้านของเขาคงจะครึกครื้นเป็นอย่างมาก รอให้เถียนกวาโตขึ้นมากกว่านี้หน่อย วินนี่และเชอร์ลี่ย์ ผู้หญิงทั้งสามคนนี้จะต้องสร้างสงครามกันสักยกแน่ๆ!

เพื่อที่จะปลอบใจโลลิต้า เขาส่งจิตสำนึกโพไซดอนไปยังใต้ทะเลสาบและหาฝูงปลาบรีมให้เธอ ปรากฏว่าเมื่อลงไปน้ำเขาก็เจอเข้ากับฝูงปลาพระอาทิตย์ขนาดใหญ่ ปลาชนิดนี้เป็นปลาน้ำจืดที่พบเจอได้บ่อยในแคนาดา ลวดลายของพวกมันฉูดฉาดเหมือนกับปลาคาร์พ พวกไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าปลาคาร์พ แต่เนื้อแน่นมาก และมีรสชาติที่ไม่เลวเลยทีเดียว

เพราะแบบนี้เขาจึงเรียกให้ฝูงปลาพระอาทิตย์พวกนี้เข้ามาหา หลังจากที่เชอร์ลี่ย์หย่อนเบ็ดลงไป เธอก็จับปลาพวกนี้ได้สองสามครั้ง และนั่นทำให้เธอระเบิดเสียงหัวเราะออก และมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนนี้บรรยากาศการตกปลานั้นครึกครื้นเป็นอย่างมาก มีคนตกปลาได้เรื่อยๆ และก็มีคนทำปลาหลุดลอยไปเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีคนที่ทำเบ็ดขาดเหมือนกับเชอร์ลี่ย์ด้วย ผู้คนที่มาตกปลาต่างส่งเสียงร้องออกมากันเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นเวลาดีใจ เวลาที่ตัวเองตกปลาตัวใหญ่ได้แล้วต้องตะโกนเรียกเพื่อนให้มาช่วย หรือว่าเสียงคนร้องออกมาอย่างผิดหวังเมื่อจับปลาไม่ได้ เรียกได้ว่ามีหลากหลายอารมณ์ทีเดียว

โดยเฉพาะริมทะเลสาบ เสียงร้องนั้นคึกคักมาก คนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ในน้ำ เพื่อที่จะโยนเบ็ดออกไปได้ไกลขึ้น

ตอนนี้การเซลฟี่กำลังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยว เมื่อพวกเขาตกปลาขึ้นมาได้ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่ มีบางคนที่ถ่ายรูปเซลฟี่กับปลาคาร์พที่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ…

ที่แคนาดา การตกปลาไม่ได้ตกเพื่อกินเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเป็นกิจกรรมที่ความสนุกสนาน หากใช้คำพูดที่กำลังนิยมในอินเทอร์เน็ตมาอธิบาย ก็คงจะบอกว่าการที่พวกเขามีความสุขไม่ใช่เพราะปลา แต่เพราะความรู้สึกของการตกปลา

ความรู้สึกการจับเบ็ดตกปลาด้วยสองมือ ความรู้สึกที่มีปลามากินเหยื่อ ความรู้สึกถึงสายเบ็ดที่ตึงหลังจากที่มีปลามากินเหยื่อ และความรู้สึกในการดึงปลาขนาดใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกหลังจากที่จับพวกมันขึ้นมาได้แล้ว เมื่อความรู้สึกเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้กิจกรรมการตกปลาเป็นกิจกรรมที่มีเสน่ห์กิจกรรมหนึ่ง

การตกปลาในทะเลสาบเฉินเป่านั้นต่างจากที่อื่น เนื่องจากปลาที่นี่มีพลังงานโพไซดอนอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย เนื้อของพวกมันจึงอร่อยกว่าปลาที่อื่น ดังนั้นความรู้สึกในการทานเนื้อปลาก็สำคัญเช่นกัน

พวกเขาตกปลากันจนถึงตอนกลางวัน จากนั้นทุกคนก็เริ่มทานอาหารกลางวัน ฉินสือโอวนำเตาย่างมาเอง เขาและเหล่าชาวประมงช่วยกันทำอาหารตามปกติ โดยเริ่มจากนำมาปลาบรีมมาผ่าท้องออก แล้วนำไปย่างบนเตา

วิธีการย่างของนครเซนต์จอห์นนั้นเหมือนกับการย่างเนื้อ ฉินสือโอวชอบการย่างปลาแบบเสฉวนมากกว่า เขาจึงนำเตาย่าเล็กๆ ของตัวเองมา จากนั้นก็นำปลาไปหมักกับเกลือ ไวน์และเครื่องปรุงรสทั้งห้าชนิด แล้วค่อยนำไปย่างบนเตา

การย่างปลาจะอร่อยหรือไม่อร่อย สำคัญที่กระบวนการย่าง ตามปกติแล้ว พวกเขาจะใส่เข้าไปในเตาอบ แต่ว่าการใช้เตาอบที่ริมทะเลสาบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เลยต้องใช้เตาย่างแทน ซึ่งแบบนี้ก็ทำให้รสชาติไม่เลวเหมือนกัน

ในระหว่างการย่างควรทาน้ำมัน น้ำผึ้งและโรยเครื่องปรุงทั้งห้าชนิดลงไปบนตัวปลาเรื่อยๆ แบบนี้จะทำให้เนื้อปลามีรสชาติที่อร่อยที่สุด

บนเตาย่างต้องมีขิงและกระเทียมสับวางไว้ด้านบน จากนั้นก็ตามด้วยเห็ด ไข่ไก่ มันฝรั่งแผ่นและอื่นๆ เมื่อย่างปลาได้ที่แล้วก็นำปลาใส่เข้าในหม้อเคี่ยว จากนั้นฉินสือโอวก็โรยต้นหอมผักชีลงไปที่ด้านบน

นักท่องเที่ยวที่อยู่รอบๆ ต่ามองการย่างปลาของเขา มีคนถามว่ามีเตาย่างแบบนี้อีกไหม เขาตอบอย่างไม่ต้องคิดว่าไม่มี นี่เป็นเตาที่เขาทำขึ้นค้นมาเอง ที่เกาะแฟร์เวลไม่มีวิธีการทำอาหารแบบนี้

โหวจื่อเซวียนและหวงเฮ่าเจียเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับเขาด้วย ฉินสือโอวถามพวกเขาว่าตกปลาได้กี่ตัว พวกเขาตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาว่าได้เพียงสองตัวเท่านั้น และพูดต่อว่าตกมาเพื่อย่างกินเฉยๆ

ฉินสือโอวเข้าใจในทันที เดาว่าปลาสองตัวที่ตกขึ้นมาได้จะไม่ใช่ปลาบรีม แม้ว่าที่ทะเลสาบเฉินเป่าจะมีปลาบรีมจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับขนาดของทะเลสาบที่กว้างใหญ่ขนาดนี้แล้วก็ไม่ถือว่ามีจำนวนที่มากมายอะไร ปลาที่ตกได้ส่วนใหญ่จึงเป็นปลาคาร์พเอเชียหรือไม่ก็ปลาพระอาทิตย์เป็นหลัก

หลังจากนั้น พวกเขาทั้งสองคนก็เข้าไปช่วยชาร์คย่างปลาที่เตาย่างอีกเตา ฉินสือโอวเปิดกล่องเก็บความอุณหภูมิออกมา ในนั้นมีเนื้อไก่และเนื้อห่านย่าง พวกมันถูกย่างได้ที่จนเป็นสีน้ำตาลสวยแล้ว เพียงแค่นำมาอุ่นบนเตาย่างก็พอแล้ว เมื่อเขานำเนื้อย่างขึ้นมากลิ่นหอมของพวกมันก็กระจายไปทั่ว

นอกจากนี้ยังมีพายฟักทองและขนมผักที่ชาวประมงช่วยกันทำอีกด้วย ฉินสือโอวนำมาทานด้วยจำนวนหนึ่ง อาหารกลางวันมื้อนี้จึงถือว่าสมบูรณ์เป็นอย่างมาก

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท