ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1582 คุณนายหู่เป้า

บทที่ 1582 คุณนายหู่เป้า

เมื่อย่างพายให้ร้อนแล้ว ฉินสือโอวก็ส่งให้เถียนกวาหนึ่งชิ้น ให้เชอร์ลี่ย์หนึ่งชิ้น เด็กหญิงทั้งสองคนนั่งหันหลังชนกันแล้วทานพายฟักทองด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากย่างเนื้อเป็ดจนอุ่น ไวส์ กอร์ดอนก็รีบขึ้นฝั่งมาทันที พวกเขาแย่งเนื้อกัน คนหนึ่งฉีกคนหนึ่งกัด เนื้อไก่ย่างถูกทำลายไม่เหลือสภาพเนื้ออีกต่อไป กอร์ดอนคว้าน่องไก่มาหนึ่งน่อง ส่วนขาไก่อีกข้างก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ในมือไวส์มีเพียงตีนไก่อยู่หนึ่งชิ้น เขายืนถือไก่ในมือนิ่งงัน…

พาวลิสมองไปยังเขาอย่างหมดความอดทน แล้วพูดออกมาว่า “หรือว่านายอยากเปลี่ยนกับฉัน?”

“เหมาะที่จะเป็นพี่ใหญ่จริงๆ” เหล่าชาวประมงตะโกนชมพาวลิส

ไวส์มองไปยังพาวลิสแล้วพูดว่า “ตีนไก่ของฉันยังมีเนื้อหนังให้กินได้บ้าง แล้วหัวไก่ของนายล่ะมีอะไร?”

พาวลิสพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ในมือของฉันยังมีก้นไก่อยู่นะ…”

พวกเด็กวัยรุ่นแย่งไก่กันไปมา ฉินสือโอวย่างห่านเสร็จแล้วก็ย้ายมันไว้ในจาน เนื้อชิ้นนี้ค่อนข้างใหญ่ หนักประมาณเจ็ดแปดกิโลกรัม ขนาดวางในจานใบใหญ่แล้วขนาดของมันก็ยังใหญ่อยู่ดี

เขายังนำอาร์ติโชคมาด้วย เขานำมันมาย่างเป็นอย่างสุดท้ายหลังจากย่างได้สักพักก็นำอาร์ติโชคออกมาจากเตา เมื่อปอกเปลือกออกมาแล้วกลิ่นของมันก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว

ฉินสือโอวรีบส่งให้วินนี่ทันที พลางพูดว่า “ที่รักรีบทานเร็วเข้า อย่าให้ลูกเห็นเชียว”

จนท้ายที่สุดเมื่อปลาถูกย่างจนสุกแล้ว พวกเขาก็เริ่มนั่งรวมกันทางอาหาร ชาร์คหยิบกล่องขึ้นมากล่องหนึ่ง ข้างในนั้นเต็มไปด้วยเบียร์ที่หมักด้วยตัวเอง แล้วเทแบ่งแยกเป็นขวดๆ ตอนแรกรสชาติของมันค่อนข้างขม แต่เมื่อชินกับรสชาตินี้แล้ว พอดื่มเบียร์นอกแล้วกลับไม่ได้กลิ่นหอมของมันเลย

เมื่อก่อนฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าทำไมคนต่างชาติถึงชอบดื่มเบียร์กับอาหาร เขาไม่ค่อยถนัดดื่มเบียร์สักเท่าไร เมื่อเขามาถึงเกาะแฟร์เวลและมีเงินแล้วเขาถึงรู้ว่า เบียร์บางชนิดสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มได้ เพราะกลิ่นหอมของมอลต์ ทำให้ดื่มเบียร์ได้ง่ายมาก

เบิร์ดหยิบขวดเบียร์ขึ้นมา เขาใช้มีดเปิดฝาทีละขวดอย่างเรียบง่าย มีดนี้ใช้เปิดขวดได้ง่ายกว่าเครื่องเปิดขวดเสียอีก

เมื่อฉินสือโอวดื่มไปหนึ่งอึก พร้อมกับรับลมเย็นที่พัดมา การดื่มเบียร์ท่ามกลางอากาศช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนั้นทำให้รู้สึกเย็นขึ้นมานิดหน่อย แต่ว่าเมื่อชินแล้วเขาก็รู้สึกดี อย่างไรก็ตามชาวประมงทั้งหลายก็ยังคงต้องการดื่มเบียร์เย็นๆ ในช่วงอากาศหนาว มิน่าล่ะชาวแคนาดาถึงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร

บริเวณริมทะเลสาบยังคงมีคนตกปลาอยู่ บางคนจับปลาบรีมขึ้นมาได้แล้วร้องออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นคนที่อยู่รอบๆ ก็ไปตามเสียงนั้น จากนั้นแสงแฟลชก็เกิดขึ้นไปทั่วในเวลากลางวัน ทำให้เห็นได้ชัดว่ามีคนมาถ่ายรูปมากน้อยแค่ไหน

เนื้อปลาของปลาบรีมมีความละเอียดอ่อนและแน่นเป็นอย่างมาก และค่อนข้างเหนียว รสชาติเนื้อไม่ได้อร่อยมาก นี่คือเหตุผลที่คนยุโรปชอบทานเนื้อของมัน พวกเขาชอบทานรสชาติอร่อยดั้งเดิมจากเนื้อของมัน ไม่ได้ชอบที่การปรุงรสชาติ

เหล่าชาวประมงมีความอยากอาหารเป็นอย่างมาก พวกเขาพากันมาแย่งอาหาร ปลาบรีมและปลาพระอาทิตย์ถูกแย่งกันจนหมด ฉินสือโอวหั่นเนื้อปลาคาร์ฟเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนจานใบใหญ่ ดูน่าทานเป็นอย่างมาก

ปลาคาร์ฟที่อยู่ในทะเลสาบเฉินเป่านั้นมีกลิ่นที่ค่อนข้างแรง ดังนั้นเวลาทำอาหารควรใช้ขิงและกระเทียมมาดับกลิ่นคาว การรินไวน์ไปยังเนื้อปลาไม่ได้ช่วยอะไร ต้องเปลี่ยนเป็นใช้เบียร์เทลงไปแทน ปริมาณของแอลกอฮอล์ที่สูงจะช่วยกำจัดกลิ่นคาวออกไปได้

ขอเพียงกำจัดกลิ่นคาวออกไปได้ เนื้อปลาย่างก็จะมีรสชาติที่ดีขึ้น แต่เหล่าชาวประมงไม่คุ้นชินกับรสชาติแบบนี้ พวกเขารู้สึกว่ารสชาติของเครื่องปรุงนั้นเข้มข้นเกินไป ทำให้พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับรสชาติเนื้อปลาที่แท้จริง

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ตอนบ่ายฉินสือโอวก็เล่นกับหู่เป้าฉงหลัวและเด็กหญิงที่ริมทะเลสาบ แอนนี่พาบลูน้อยเข้ามาสมทบ ทารกร่างอ้วนท้วมสามารถเดินได้แล้ว เขาเดินโงนเงนไปมาด้วยขาของตัวเอง

เมื่อฉินสือโอวเห็นท่าทางการเดินของเด็กทารกอ้วน เขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เด็กคนนี้ทั้งร่างเต็มไปด้วยเนื้อจริงๆ หากนำไปต้มคงจะทานได้สักสองวัน เขามีขนาดใหญ่กว่าเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสองเท่า เขามีใบหน้าที่กลมสมบูรณ์ ท้องก็กลม ขาก็แน่น เวลาเดินแล้วเนื้อที่ขาสั่นไปมา

หลังจากที่เสี่ยวเถียนกวาเห็นเด็กชายเดินมาสายตาของเธอก็เปล่งประกายออกมา หลังจากนั้นเธอก็เดินไปหาพร้อมกับรอยยิ้ม และเดินไปพร้อมกับเขาช้าๆ

เมื่อเห็นเถียนกวา จิตสำนึกของบลูน้อยก็คิดที่จะวิ่งหนีทันที ปรากฏว่าไม่รู้ว่าเพราะรีบร้อนหรือว่าเกรงกลัวกันแน่ ทำให้ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงและล้มลงกับพื้น ต่อมาเขาพยายามที่จะลุกขึ้นมาจากพื้นเพื่อที่จะเดินหนี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น เพราะว่าเขาอ้วนเกินไป!

เถียนกวาเดินเข้าไปหาพลางยื่นมือให้ จากนั้นก็ดึงเด็กทารกตัวอ้วนขึ้นมา

ภาพนี้ดึงดูดสายตาของฉินสือโอวและคนอื่นๆ พวกเขาต่างพากันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูป วินนี่พูดออกมาอย่างซาบซึ้งว่า “ในที่สุดลูกสาวของเราก็โตแล้ว เธอรู้วิธีที่จะช่วยเพื่อน…”

ยังไม่ทันที่จะพูดจบ เมื่อเด็กชายลุกขึ้นมา เสี่ยวเถียนกวาก็ใช้มือเล็กๆ ผลักเขาล้มลงไปอีก จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข

ทารกอ้วนร้องไห้ออกมาด้วยความทุกข์ใจ เถียนกวานั่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วลูบหัวของบลูน้อยเพื่อเป็นการปลอบใจเขา จากนั้นบลูน้อยก็หยุดร้องไห้ เถียนกวาดึงให้เขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็ทำบลูน้อยล้มลงอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ…

ทารกอ้วนอดทนไม่ไหวอีกต่อไป สุดท้ายเขาก็ร้องไห้ออกมา

ฉินสือโอวเดินเข้าพาเถียนกวาออกมา และอุ้มทารกน้อยให้ลุกขึ้น เขาพูดกับลูกสาวว่า “เขาเป็นพี่ชายลูกนะ!”

เถียนกวามองไปยังฉินสือโอวและบลูน้อยสลับกันด้วยสายตาไร้เดียงสา แล้วถามย้อนว่า “พี่ชาย?”

ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ใช่ นี่คือพี่ชาย แกล้งพี่ชายไม่ได้นะ รู้ไหม?”

เถียนกวาพยักหน้าแต่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แต่อย่างไรเด็กทารกอ้วนก็ไม่ยอมเล่นกับปีศาจตนนี้อยู่ดี เมื่อฉินสือโอวปล่อยเขา บลูน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของแอนนี่ทันที เขาฝังหัวเข้าไปในอกของแม่ไม่ยอมหันมามองเถียนกวาเลย

กลัวโดนรังแกจริงๆ นะ!

ฉินสือไม่ได้ออกไปตกปลาช่วงบ่าย เขานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบเล่นกับเด็กทั้งสองคนและเหล่าสัตว์เลี้ยง ต่อมาฮิวจ์คนน้องก็เชิญให้เขาขึ้นมาเป็นสักขีพยาน มาร่วมกันนับจำนวนคนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันตกปลาในวันนี้ จากนั้นก็มีการมอบรางวัลต่างๆ

ฮิวจ์คนน้องเตรียมตัวมาอย่างดี เขาเตรียมถ้วยรางวัลและใบประกาศสำหรับรางวัลที่หนึ่ง สองและสาม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นของที่มีค่า แต่เขาก็จัดกิจกรรมได้สุดยอดมากแล้ว

เมื่อการประกาศรางวัลจบลง ทุกคนก็เริ่มทำการเก็บกวาดสถานที่ ทุกคนทำความสะอาดบริเวณที่ตัวเองอยู่ สุดท้ายคนงานสุขาภิบาลก็เข้ามาใช้อวนลากทำความสะอาด เมื่อผู้คนออกจากทะเลสาบไปหมด ทะเลสาบเฉินเป่าก็กลับสู่ความเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นมา

หลังจากที่การแข่งขันจบลงไปแล้วสองวัน เคอร์ สเตราส์ก็มาหาฉินสือโอ เขานำสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่สวยงามมาด้วยกันทั้งหมดสี่ตัว สองตัวเป็นสีดำ และอีกสองตัวเป็นสีเหลืองทอง ขนของพวกมันเงางาม ดวงดาใสเปล่งประกายไปด้วยความฉลาด มองแวบเดียวก็สามารถรู้ได้เลยว่าพวกมันเป็นสุนัขสายพันธุ์บริสุทธิ์

ฉินสือโอวกอดต้อนรับเขาและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เคอร์ นายมาเร็วจริงๆ”

เคอร์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกน่าเพื่อน หลังจากที่คุยกับนายเสร็จวันนั้นฉันก็เตรียมตัวทันทีเลย แต่ว่าการพาพวกมันมาก็เกือบจะไม่สำเร็จ การพาสัตว์ข้ามพรมแดนมาทำได้ยากมากเลย ฉันต้องเสียเวลาหนึ่งวันในการยื่นขอเอกสารต่างๆ เพื่อที่จะมาที่นี่”

ฉินสือโอวถามเขาว่าสุนัขพวกนี้เป็นสุนัขพันธุ์ดีใช่ไหม เคอร์ตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจว่า “แน่นอน นี่เป็นสาวที่ตัวใหญ่ที่สุดชื่อมาริลีน เธอเป็นนางงามแห่งวอเตอร์ สแปเนียล ส่วนสาวน้อยน่ารักคนนี้ชื่ออเทนน่า เธอคือแชมป์การแข่งขันสุนัขพันธุ์ซิงโครไนซ์ระดับประเทศ…”

ในขณะที่เขากำลังแนะนำ สุนัขทั้งสี่ตัวก็เปิดเผยตัวออกมา ตามที่ฉินสือโอวคาดการณ์ไว้ พวกมันทุกตัวมีที่มาที่ไป พวกมันมีรางวัลติดท้ายชื่อกลับมา เหมือนเป็นการสืบเชื้อสาย พ่อแม่ของพวกมันก็ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน ต่างเป็นสุนัขมีชื่อทั้งนั้น

แต่ว่าในเรื่องของความโด่งดัง พวกมันยังห่างกับหู่จือและเป้าจือมากนัก

หู่จือและเป้าจือตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นสาวงามทั้งสี่ แต่ว่าพวกมันรู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังประตูพลางมองออกมา ฉินสือโอวกวักมือเรียกให้พวกมันออกมา แต่พวกมันกลับเอาแต่ทำท่าเยี่ยมๆ มองๆ ด้วยท่าทีมึนงง ราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท