ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1587 การปลูกสาหร่ายครั้งที่สอง

บทที่ 1587 การปลูกสาหร่ายครั้งที่สอง

เคอร์ทานอาหารที่ทำโดยพ่อครัวฉินสือโอว เขายกนิ้วให้ฉินสือโอว แล้วบอกว่าอาหารอร่อยมาก

อันที่จริงแล้วปลาตัวนี้เสียไปแล้วเมื่ออยู่ในมือของฉินสือโอว เขาไม่รู้วิธีปรุงปลาทูน่าครีบน้ำเงิน เขาจึงทำอาหารแบบธรรมดา ทักษะการใช้มีดของเขาก็ไม่ดีเช่นกัน แล่เนื้อปลาไม่บางพอ ทำให้ส่งผลต่อรสชาติ

แต่ว่าเป็นเพราะพลังโพไซดอนที่ทำให้รสชาติของเนื้อปลานั้นอร่อย เนื้อของมันรสชาติดีกว่าปลาทูน่าธรรมดา เมื่อรวมเข้าด้วยกับที่ว่าเคอร์เป็นคนจับปลาตัวนี้ด้วยตัวเองแล้ว ในทางจิตวิทยาแล้วสิ่งที่เราทำเองมักจะส่งผลออกมาดีกว่าปกติ ดังนั้นเขาจึงชมว่าอาหารอร่อยไม่ขาดปาก

พวกเขาอยู่กลางทะเลจนพระอาทิตย์ตกดิน เรือนกนางนวลจึงกลับเข้าฝั่ง

หู่จือและเป้าจือวิ่งออกมารับฉินสือโอว ส่วนสุนัขตัวเมียสุดแสนน่ารักทั้งสี่ตัวก็เดินตามพวกมันมาเช่นกัน พวกมันมองไปยังแลบราดอร์ทั้งสองตัวอย่างกระตือรือร้น แต่ว่าหู่จือและเป้าจือไม่ได้สนใจ

“พวกนายนี่มันโหดร้ายจริงๆ” ท่านชายฉินอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

หลังจากที่แลบราดอร์ผสมพันธุ์กันแล้ว ตัวเมียก็จะปฏิเสธการเชิญตัวผู้เข้ามาใกล้ ไม่ว่าพวกมันจะท้องหรือไม่ก็ตามแต่พวกมันจะไม่ยอมให้ใครมาทำตัวรุ่มร่ามอีก หลังจากที่พวกมันได้ปลอดปล่อยความต้องการไปสองสามรอบ พวกมันก็จะหมดความต้องการไปสักระยะหนึ่ง

สุดท้ายแล้ว สำหรับสัตว์แล้ว การผสมพันธุ์ก็มีไว้เพื่อสืบพันธุ์เท่านั้น

ตอนนี้หู่จือและเป้าจือเล่นจนพอแล้ว สาวสวยทั้งสี่ตัวหมดความน่าสนใจไปทันที พวกมันชอบที่จะเล่นกับฉินสือโอวมากกว่า อย่างไรก็ไม่ยอมไปเล่นกับสาวๆ

แต่สาวๆ พวกนั้นก็ยังคงโดนพวกมันดึงดูดอยู่ สาวงามทั้งสี่ตัวเดินตามพวกมันทั้งสองตัวไปติดๆ สายตาที่มองมายังพวกมันทั้งสองตัวเต็มไปด้วยความคับข้องใจ เมื่อพวกเธอมองเห็นท่านชายฉินพวกเธอก็ใจสลาย

หู่จือและเป้าจือเป็นสามีที่ไร้ความปรานี อีกทั้งเมื่อพวกมันเล่นกันจนพอใจแล้ว พวกมันก็ไม่มีความรู้สึกอายอีกต่อไป หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ ตัวเมียสีดำตัวหนึ่งก็เข้าไปยั่วหู่จือ หู่จืออดกลั้นหลีกเลี่ยงไปอยู่หลายครั้ง ต่อมาเมื่อมันขี้เกียจจะหนีแล้ว มันจึงพาตัวเมียตัวนั้นไปยังห้องนั่งเล่น

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ไวส์ก็รีบปิดตาทันที เขาพูดออกมาอย่างเขินอายว่า “หู่จือกำลังทำไม่ดี ฉิน รีบมาดูเร็วเข้า หู่จือกำลังทำสิ่งไม่ดีอยู่!”

ฉินสือโอวรีบให้เด็กๆ กลับเข้าไปในห้อง เชอร์ลี่ย์ไม่ยอม เธอมองภาพตรงหน้าด้วยความเพลิดเพลิน แถมยังส่งเสียงให้กำลังใจหู่จืออีกต่างหาก “สุดยอด หู่จือ เร่งความเร็วเร็วเข้า แกช้าไปแล้วนะ รีบๆ มีลูกเสียที”

ฉินสือโอวลมแทบจับ เขาใช้มือปิดตาโลลิต้า แล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “เธอพูดอะไรออกมาน่ะ? รีบเข้าไปในห้องเร็วเข้า!”

โลลิต้าดึงมือของเขาออก แล้วพูดว่า “อะไรกัน พวกเราเรียนวิชาสรีรวิทยาไม่ใช่เหรอ คุณคงไม่ได้คิดว่าหนูเป็นเด็กอยู่ใช่ไหม? เรื่องพวกนี้หนูเพิ่งจะมาเข้าใจก็ตอนที่อยู่ที่ฟาร์มปลาเนี่ยแหละ”

เมื่อวินนี่ได้ยิน เธอก็มองไปยังฉินสือโอวด้วยความสงสัย “หมายความว่ายังไงกัน? ทำไมเธอถึงมาเข้าใจเรื่องพวกนี้ที่ฟาร์มปลาได้ล่ะ? ใครเป็นคนสอนเธองั้นเหรอ?”

เชอร์ลี่ย์ยักไหล่ “ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ฉินหรอกค่ะ เป็นเชอริล แฮรี่ต่างหาก เธอกังวลว่าฉินจะทำอะไรที่ไม่ดีกับหนู จึงสอนเรื่องพวกนี้ให้หนูรู้”

วินนี่ยกไหล่เช่นกัน เธอพึมพำออกมาว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ฉันสามารถแก้ไขได้”

ฉินสือโอวโบกมือออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาพูดออกมาว่า “อย่ามาพูดว่ามันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ รีบกลับเข้าห้องไปเร็ว!”

กอร์ดอนกะพริบตาปริบๆ แล้วเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า “มิน่าพี่วินนี่เลยบอกว่าวันนี้ต้องบำรุงหู่จือและเป้าจือ ผมเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

แล้วมิเชลก็เข้าใจขึ้นมาเช่นกัน เขาหัวเราะออกมาอย่างพอใจแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจแล้ว แต่ทำไมลุงเคอร์ถึงบอกว่าต้องรอให้เราชอบฤดูร้อนก่อนถึงจะเข้าใจล่ะ? พวกเราเรียนเรื่องนี้ในวิชาสรีรวิทยาหมดแล้ว!”

ฉินสือโอวใกล้จะหมดความอดทน เขาตะโกนออกมาว่า “เร็วเข้า กลับไป ไปนอนได้แล้ว!”

เสียงที่เขาตะโกนออกมาค่อนข้างดัง หู่จือตกใจจนวิ่งหนีไป สุนัขตัวเมียสีดำที่นอนอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นมาวิ่งหนีไป หลังจากนั้นก็วิ่งไปหาวินนี่อย่างรวดเร็ว พวกมันซ่อนตัวอยู่แถวนั้น ปกติแล้วเวลาที่ฉินสือโอวตะโกนออกมาแบบนี้ พวกมันก็ทำแบบนี้ตลอด

แบบนี้ คนที่หมดความอดทนกลับเป็นวินนี่แทน เธอดันหู่จือออกมาแล้วพูดว่า “อย่ามาอยู่ตรงนี้กับฉัน รีบกลับไปเร็ว รีบกลับไปทำลูกกับลูกสะใภ้ของฉันซะ”

หู่จือใช้อุ้งเท้ากอดขาของวินนี่ไว้ มันซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังวินนี่แล้วมองไปยังฉินสือโอวด้วยความเขินอาย อย่างไรก็ไม่ยอมออกไปเสียที

หลังจากนั้นสองสามวันภาพนี้ก็เกิดขึ้นอีก หู่จือและเป้าจือก็กลับมามีเสน่ห์อีกครั้ง แลบราดอร์เพศเมียทั้งสี่ตัวกลับมาชื่นชอบพวกมันอีกครั้ง จากนั้นเมื่อทำภารกิจจนพอใจแล้วก็ปล่อยพวกมันไปเหมือนเดิม แลบราดอร์สองพี่น้องไม่หลีกเลี่ยงผู้คนและเพื่อนๆ อีกต่อไป เรื่องแบบนี้มีโอกาสที่จะสร้างความสับสนได้ เป็นเรื่องปกติมากที่จะมีการนอกใจกัน

เคอร์อยู่ที่ฟาร์มปลาอยู่สิบวัน หลังจากนั้นเขาก็พาแลบราดอร์ทั้งสี่ตัวกลับ

เมื่อถึงวันสุดท้าย แลบราดอร์ทั้งสี่ตัวนั้นก็รู้สึกอกหักขึ้นมา มีตัวหนึ่งไม่ยอมกลับไป มันร้องครวญครางออกมาทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเศร้าและน้ำตาไหลออกมา

หู่จือและเป้าจือใจแข็งมาก สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความร้อนรน พวกมันเดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจ สองสามวันมานี้พวกเธอตามติดพวกเรามาโดยตลอด แต่วันนี้เพื่อนของเราไม่อนุญาตให้พวกเธอเล่นกับเราแล้ว…

วินนี่ลูบหัวหู่จือและเป้าจือพลางพูดว่า “ดูสิ พวกมันเป็นเด็กนะ ไม่รู้จักความรับผิดชอบในเรื่องครอบครัว และไม่รู้ว่าพวกมันเป็นพ่อแล้ว และไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกมันจะโต”

หู่จือยังเข้าใจว่าวินนี่นั้นชมมัน มันจึงเงยหน้าขึ้นเลียมือของวินนี่ มันส่ายหางไปมาอย่างมีความสุข

เมื่อเสียงเครื่องบินบินขึ้นดังไปทั่ว หู่จือและเป้าจือก็รีบวิ่งออกไปหาฉงต้าทันที

ฉินสือโอวชี้ไปที่เครื่องบินแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าสะใภ้ทั้งสี่จะยังมองลงมาจากหน้าต่างนะ ส่วนพวกมันนี่ดีจริงๆ พอลับหลังสาวก็วิ่งหนีไปทันที”

วินนี่พูดออกมาว่า “ถ้าไม่ใช่ฉันบังคับให้พวกมันมาส่งสาวๆ คุณคิดว่าพวกมันจะวิ่งไปส่งภรรยาของตัวเองเหรอคะ? ฉันว่า หากพวกมันอยู่ต่ออีกสองสามวัน หู่จือและเป้าจือต้องทะเลาะกับพวกมันแน่ๆ”

พวกเขาจึงพาพวกมันกลับไปกับเคอร์ ฉินสือโอวยังต้องทำงานต่อ วันนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น เป็นเวลาที่เหมาะที่จะปลูกสาหร่าย วันนี้เขาจึงนั่งเรือออกไปยังฟาร์มปลาแห่งที่สอง สาหร่ายทะเลที่เขาจะปลูกถูกส่งมายังที่นี่แล้ว เขาสามารถเริ่มการปลูกได้เลย

วิธีการเลี้ยงสาหร่ายทะเลนั้นไม่เหมือนกับการเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาล สาหร่ายสีน้ำตาลจำเป็นที่จะต้องอยู่กับแพ เพราะว่าในช่วงแรกของการเจริญเติบโต พวกมันไม่มีถุงลมของตัวเอง พวกมันไม่สามารถลอยตัวบนน้ำได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถดูดซับแสงอาทิตย์ได้

การปลูกสาหร่ายทะเลธรรมดานั้นง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพืชหรือว่าสปอร์ พวกมันก็สามารถลอยตัวได้ หลังจากที่โปรยพวกมันลงน้ำ พวกมันจะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นก็จะผลิตใบและก้านออกมา แล้วจึงละลอยตัวไปมาได้

สาหร่ายหิมะและสาหร่ายคลอโรฟิลล์ขนาดเล็กสามารถดูดซับอาหารจากน้ำทะเลที่อยู่รอบๆ เพียงโปรยเมล็ดพืชจากเครื่องบินลงมาก็ใช้ได้แล้ว

นอกจากนี้ หลังจากที่สาหร่ายสีน้ำตาลทำให้น้ำทะเลสะอาดแล้ว คุณภาพน้ำทะเลของฟาร์มปลาก็ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องใส่ผงปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้ออีก

ฉินสือโอววางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ ว่าน่านน้ำตรงไหนปลูกสาหร่ายหิมะ ตรงไหนเหมาะที่จะปลูกสาหร่ายคลอโรฟิลล์ขนาดเล็ก และน่านน้ำตรงไหนที่เหมาะจะปลูกไดอะตอมและตะไคร่น้ำสีน้ำตาล เขาวางแผนมาอย่างรอบคอบชัดเจนแล้ว

การโปรยเมล็ดทำได้โดยการใช้เฮลิคอปเตอร์ในการโปรยเมล็ด เรือประมงทำหน้าที่โปรยสปอร์ สปอร์ของสาหร่ายทะเลไม่สามารถทนต่อแรงอะไรได้มาก หากปล่อยลงมาจากท้องฟ้า มันอาจจะปลิวไปที่อื่นได้

เมื่อปล่อยเมล็ดสาหร่ายลงทะเลไป ปลาบางสายพันธุ์ก็เริ่มมาหากินจากเมล็ดพวกนี้ เมล็ดของสาหร่ายทะเลอุดมไปด้วยโปรตีน และเป็นอาหารโปรดของปลาต่างๆ

ฉินสือโอวปล่อยให้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในน้ำ เมื่อพลังโพไซดอนไปตามน่านน้ำต่างๆ พลังของมันก็ระเบิดออกมา!

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน