ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1593 เป็นคลื่นอันตรายที่สุด

บทที่ 1593 เป็นคลื่นอันตรายที่สุด

คลื่นลมไหวแรง คลื่นทะเลซัดสาดอย่างหนักหน่วง

คลื่นทะเลที่ม้วนตัวมีความเด่นชัดและใสมาก เมื่อมีแสงแดดมากระทบบนผิวน้ำก็เกิดเป็นประกายสีเขียวอ่อน ราวกับมรกตชั้นดี เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินลดระดับความสูงเพื่อถ่ายทำจากด้านข้าง เรือเด็คเออร์บักตามถ่ายวิดีโออยู่ด้านหลัง

ฉินสือโอวตะโกนร้องเสียงดัง เจ็ทสกีถูกเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น พุ่งเข้าใส่คลื่นทะเลราวกับลูกศรที่แหลมคม บินลอยโผล่พ้นออกมาจากคลื่นทะเล วินนี่กอดเขาแน่นอยู่ด้านหลัง เธอรู้สึกเพียงพริบตาเดียวก็ราวกับทะลุกำแพงด้านหนึ่งออกมาจนต้องส่งเสียงกรีดร้อง

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยา ฉินสือโอวก็ยิ้มเบิกบาน

การถ่ายวิดีโอครั้งนี้เป็นเหมือนโอกาส เขาและวินนี่ยังไม่เคยอัดวิดีโอกีฬาผาดโผนด้วยกันในทะเลเลย ช่างน่าเสียดายไม่น้อย ก็พอดีกับที่ตอนนี้คว้าโอกาสนี้ไว้เป็นเซอร์ไพรส์ให้วินนี่ และเป็นดั่งของขวัญให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเมือง

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแปดสายแล่นออกไปพร้อมกัน สายหนึ่งออกไปหาวาฬที่อยู่รอบๆ เพื่อให้พวกมันว่ายมาหา อีกสายหนึ่งก็ไปหาเจ้าสามตัวบอลหิมะ เมื่อมีการถ่ายทำในทะเล แน่นอนว่าพวกมันก็ควรอยู่ในกล้องด้วย เพราะอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของพวกมัน

ส่วนหกสายที่เหลือ แบ่งสองสายคอยดูแลความปลอดภัยอยู่รอบๆ ส่วนอีกสี่สายคอยก่อคลื่นทะเล ก่อคลื่นยักษ์ที่อันตรายแต่ก็สามารถมองเห็นได้ชัด

เจ็ทสกีแล่นไปอย่างรวดเร็ว คลื่นทะเลเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ซัดเข้ามาแล้วก็ผ่านไปทีละระลอก ฉินสือโอวควบคุมเจ็ทสกีเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย วิ่งตัดผ่านคลื่นไปพร้อมๆ กับมัน

ช่างภาพที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์และดาดฟ้าบนเรือต่างอุทานอยู่ตลอด “เชี่ย” “พระเจ้า!” “นี่มันเทคนิคพิเศษชัดๆ!” “ไม่อยากจะเชื่อเลย!”

โลดแล่นอยู่ในทะเลเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงกว่า คลื่นลมเริ่มเบาบาง ฉินสือโอวจึงโยนกระดานโต้คลื่นออกไป เขาขับเรือเข้าไปใกล้แล้วเปลี่ยนให้วินนี่เป็นคนขับ ส่วนเขาปีนขึ้นไปยืนอยู่บนกระดานโต้คลื่น แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

ขนาดของกระดานโต้คลื่นไฟฟ้านี้ใหญ่กว่าทั่วไป ยาวสองเมตรกว่า กว้างครึ่งเมตร ควบคุมโดยใช้รีโมตที่รัดไว้กับแขน แต่ก็สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังของคลื่นได้ สามารถรองรับได้ 2 คน

คลื่นทะเลลูกหนึ่งซัดสาดเข้ามา ฉินสือโอวงอขาสองขาอย่างชำนาญและลองปล่อยแรงออกมา กระดานโต้คลื่นเคลื่อนตัวไปตามกระแสคลื่น เมื่อหลบคลื่นลูกนี้ไป เขาก็ยื่นมืออุ้มวินนี่ขึ้นมา แล้วขยับตัวเขาเองไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง เพื่อเหลือพื้นที่ที่เพียงพอให้กับวินนี่

วินนี่ไม่เคยเล่นกระดานโต้คลื่นไฟฟ้ามาก่อน เธอยืนขึ้นแล้วยื่นมือไปรวบผมสีดำที่ตกลงมาให้เรียบร้อย ยิ้มด้วยความยินดีว่า “แบบนี้ได้ไหม?”

“ได้แน่นอน” ฉินสือโอวพูดอย่างมั่นใจ

เครื่องขับเคลื่อนแบบพ่นเริ่มทำงาน ฉินสือโอวจับวินนี่ไว้เพื่อให้เธอทรงตัวได้ หลังจากนั้นกระดานโต้คลื่นก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นและลอยไปด้านหน้า

เมื่อกระดานเริ่มขยับ ฉินสือโอวก็ยืนหันข้าง ขาซ้ายเหยียบไปทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างโอบวินนี่ไว้ในอ้อมกอด ขาด้านขวาออกแรงเต็มที่ เปลี่ยนทิศทางของกระดานโต้คลื่นให้หันพุ่งไปทางคลื่นยักษ์

กระแสคลื่นหมุนเกลียว เมื่อกระเพื่อมจนมาถึงด้านหน้าของพวกเขาก็เริ่มอ่อนแรง ซึ่งคลื่นแบบนี้ง่ายต่อการเล่น เขาไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เพราะแรงขับเคลื่อนของกระดานจะมาจากตัวมันเอง เขาจึงใช้แรงของเขาในการปรับเปลี่ยนทิศทางก็พอ

อาศัยโอกาสที่คลื่นกำลังอ่อนแรงแต่ยังมีแรงอยู่ในจังหวะนี้ ฉินสือโอวบังคับกระดานให้ไถลขึ้นไป กลายเป็นเวฟในคลื่นทะเลใสที่เห็นเด่นชัด

ไถลลงมาตามคลื่นทะเล ฉินสือโอวถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

วินนี่ยิ้มแล้วตอบว่า “คุณเล่นอย่างสบายใจได้เลย ถึงแม้ว่าทักษะการโต้คลื่นของฉันจะทั่วๆ ไป แต่ฉันก็เคยเรียนมาก่อนนะ”

ฉินสือโอวพยักหน้า เขาใช้แขนขวาโอบวินนี่ไว้ ให้วินนี่เป็นคนปรับความเร็วบนรีโมตบังคับที่อยู่บนแขนเอง คนหนึ่งควบคุมทิศทาง คนหนึ่งควบคุมความเร็ว ทั้งคู่ล่องลอยไปด้วยกัน

คลื่นลูกใหญ่อีกลูกซัดถาโถมเข้ามาอีกครั้ง เขาบังคับทิศทางให้พุ่งเข้าหาตามสัญชาตญาณ

แต่ปรากฏว่าคลื่นลูกนี้ยิ่งหมุนเกลียวเข้าหายิ่งแข็งแกร่ง ก่อตัวใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนมาอยู่ตรงหน้ากลายเป็นคลื่นลูกมหึมา!

“บ้าเอ๊ย!” ฉินสือโอวอุทานด้วยความตกใจ รีบกอดวินนี่แล้วกระโดดลงน้ำ หลบอยู่ข้างๆ กระดานโต้คลื่น

“ตูม!” เสียงดังสนั่น คลื่นทะเลกระทบถูกกระดานเสียงดังลั่นจนกระดานดำดิ่งลงไปใต้ทะเลราว 4-5 เมตร

รอจนคลื่นผ่านไป ฉินสือโอวและวินนี่ถึงค่อยว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ เรือเออร์บักแล่นเข้ามา ช่างภาพบนเรือถามขึ้นว่า “เป็นไงบ้าง เพื่อน ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ฉินสือโอวทำท่ามือว่าโอเค ปีนขึ้นไปบนกระดานโต้คลื่นแล้วนั่งยองอยู่บนนั้น แล้วจึงดึงวินนี่ขึ้นไป

ช่างภาพคนหนึ่งที่ดูเป็นคนเล่นกีฬาประเภทเดียวกัน อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “เพื่อน ทักษะและแรงของคุณมันเหนือคำบรรยายจริงๆ คนที่จะสามารถพาคนอื่นโต้คลื่นไปด้วยกันแบบคุณได้มีอยู่น้อยมาก อีกอย่างคุณยังสามารถพาใครขึ้นไปบนกระดานด้วยกันก็ได้ ผมไม่เคยเห็นคนเก่งสุดยอดแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ!”

สิ่งนี้ไม่ได้โอ้อวดจนเกินจริงเลย เพราะการโต้คลื่นสองคนก็นับว่าเก่งแล้ว แต่การที่จะเหมือนฉินสือโอวลากใครสักคนขึ้นไปเล่นบนกระดานด้วยกันเป็นเรื่องยากมากๆ เพราะกระดานไม่สามารถรับแรงดันในน้ำได้ และยากที่จะรักษาสมดุล

แต่สำหรับเขาเป็นเรื่องง่ายดาย แค่ใช้จิตใต้สำนึกแห่งโพไซดอนช่วยทำให้คลื่นสงบก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอไง?

และในเวลานี้เอง เงาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นใต้ผิวน้ำ จากเงารางๆ ก็เริ่มกลายเป็นเห็นเด่นชัดขึ้น น้ำรูปตัว v ถูกพ่นขึ้นมาด้วยความรุนแรง มีแรงมหาศาล แนวน้ำตรงดิ่ง พ่นขึ้นมาสูงถึง 5-6 เมตรได้

“รีบถ่ายเร็ว!” ผู้กำกับที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์เมื่อเห็นฉากนี้ก็รีบร้องด้วยความตกใจ “วาฬ วาฬปรากฏตัวแล้ว!”

ฉินสือโอวยิ้มบางๆ เขาสัมผัสได้ตั้งนานแล้ว แต่เซอร์ไพรส์มันคือต่อจากนี้ต่างหาก นี่แค่วาฬหัวคันศรตัวโตที่นำทีมมา วาฬไรท์ตัวอื่นๆ ค่อยๆ ว่ายตามมาด้านหลังแล้ว

เขาโอบกอดวินนี่ ขาทั้งสองข้างคุมกระดานให้ลอยข้ามยอดน้ำที่พ่นออกมาจากหัววาฬไรท์ หลังจากนั้นน้ำก็พ่นขึ้นมาต่อ หากมองจากท้องฟ้า จะเห็นได้ว่าผิวน้ำเริ่มมีเงาปรากฏทีละตัวๆ เงาที่เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายสุดกลายเป็นวาฬหลายตัว

“โอ้ พระเจ้า นี่มันโลกในนิยายชัดๆ!” ช่างภาพคนหนึ่งพึมพำออกมา

ผู้กำกับถามว่า “ถ่ายไว้หรือยัง? รีบถ่ายไว้เร็ว! ต้องถ่ายเก็บไว้ให้ได้!”

ช่างภาพคนนั้นตอบกลับว่า “แน่นอน เพื่อน ผมถ่ายเก็บไว้แน่นอน! เพราะผมจะไปชิงถ้วยรางวัลทองคำภาพถ่ายระดับโลก “National Geographic”! ผมกล้าพนันเลยว่า ผมต้องได้ถ้วยรางวัลทองคำแน่ๆ!”

ฉินสือโอวเล่นสกีน้ำอยู่ด้านหน้าพร้อมกับโอบกอดวินนี่ไว้ วาฬไรท์ 7 ตัวว่ายตามอยู่ด้านหลังเป็นพรวนๆ เมื่อเป็นแบบนี้คลื่นก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องพูดถึงคลื่นที่ก่อตัวจากลมทะเลเลย แค่วาฬไรท์ 7 ตัวว่ายขยับไปมาบนผิวน้ำก็ทำให้ก่อคลื่นลูกใหญ่ได้เพียงพอแล้ว

ผ่านไปหลายนาที บอลหิมะและตัวอื่นๆ ก็ว่ายตามมา ตัวของบอลหิมะและไอซ์สเกตมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงไม่ยอมว่ายโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ต่างจากบีนที่มีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ มันเริ่มจากโผล่หัวออกมาก่อนแล้วว่ายวนอยู่ 2 รอบอย่างมีความสุข หลังจากนั้นจึงกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

เมื่อพวกบีนปรากฏตัว ฉินสือโอวจึงเปลี่ยนวิธีการ เขากลับไปที่เจ็ทสกีเทพเจ้าสายฟ้ามืด ให้วินนี่จับเชือกไว้ให้ดีแล้วยืนอยู่บนกระดานโต้คลื่น เคลื่อนตัวไปด้านหน้าตามเจ็ทสกี ลากเธอให้บินล่องอยู่ด้านหลัง

บีนเริ่มแสดงความสามารถบ้าง ความเร็วในการว่ายน้ำของมันเหนือกว่าสิ่งใด และในเวลานี้เองที่ความว่องไวและรวดเร็วของเจ้าโลมาปากขวดแสดงให้เห็นบนหน้ากล้อง มันไล่ตามวินนี่ที่อยู่บนกระดานโต้คลื่นอยู่ตลอด และคอยกระโดดโผล่เหนือผิวน้ำอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นปลาคาร์ฟที่จะข้ามประตูมังกร เกิดเป็นแรงกระเพื่อมตามเจ็ทสกีไป

ขณะที่บีนว่ายอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว มันก็ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นตลอด ซึ่งนี่ถือเป็นคลื่นอัลตร้าโซนิคชนิดหนึ่งที่มนุษย์จะไม่ได้ยินเสียง แต่โลมาด้วยกันจะได้ยิน ดังนั้นจึงมีโลมาหลายตัวปรากฏตัวขึ้น กระโดดขึ้นลงเหนือผิวน้ำตามบีน

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน