ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1596 สู่ขอ

บทที่ 1596 สู่ขอ

เรื่องที่เกี่ยวกับการถ่ายทำวิดีโอโปรโมตทำให้วินนี่จมอยู่กับความตื่นเต้นได้ตลอดทั้งวัน

ฉินสือโอวก็มีความสุขเช่นกัน เพราะพวกเขาได้ถ่ายรูปภาพหรือฉากดีๆ ที่มีความหมายเก็บไว้ อย่างที่วินนี่พูด รอพวกเขาแก่แล้วค่อยเอาออกมาดู คงดีไม่น้อยทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินสือโอวก็เกิดความคิดหนึ่งเกี่ยวกับกีฬาผาดโผนขึ้นมา เขาค้นพบว่าการมีความสุขกับชีวิตไม่ใช่แค่ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ใต้ร่มไม้ในฤดูร้อน และการดื่มชาข้างเตาผิงในฤดูหนาว แต่เป็นการอาศัยจังหวะที่เรายังมีแรงและอายุยังน้อย ไปเล่นกีฬาผาดโผนสักหน่อยก็ไม่เลว

เมื่อมีความคิดนี้ เขาจึงไปถามเบิร์ด นีลเซ็นคนกลุ่มนั้นว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับกีฬาผาดโผน

เบิร์ดส่ายศีรษะอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “บอส ผมไม่ได้ตายในสนามรบ นั่นหมายความว่าพระเจ้ายังรักผมอยู่ ตอนที่ผมอยู่ที่อัฟกานิสถานผมเคยสาบานว่า จะต้องดูแลชีวิตตัวเองให้ดีๆ หวงแหนชีวิต และห่างไกลจากกีฬาผาดโผน คำพูดนี้คุณเคยได้ยินไหม?”

ฉินสือโอวตอบว่า “เพื่อน นายพูดเรื่อยเปื่อยอะไรเนี่ย? ก็แค่กีฬาผาดโผน นั่นก็เป็นกีฬา อย่างกระโดดน้ำ กระโดดร่ม ตอนที่นายเป็นทหารนายก็น่าจะเล่นพวกนี้จนเบื่อแล้วมั้ง?”

มุมปากของเบิร์ดกระตุก แล้วพูดอย่างเศร้าโศกว่า “เล่นเบื่อบ้าอะไรล่ะครับ พวกเราตอนนั้นถูกบังคับต่างหาก ใครจะเต็มใจไปเป็นพลร่มตอนว่างๆ กัน? ผมมีเพื่อนอยู่สองคนที่ตายก็เพราะกระโดดร่มนี่แหละ!”

นีลเซ็นกลับดึงมือเขาไว้แน่น แล้วพูดขึ้นว่า “บอส ก่อนที่คุณจะเล่นกีฬาผาดโผน คุณช่วยไปบ้านแพรีสพูดเรื่องขอแต่งงานก่อนเถอะนะครับ คุณไปเป็นญาติผู้ใหญ่สู่ขอเสร็จแล้วค่อยไปตาย ได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวทนไม่ได้ และพูดด้วยความโมโหว่า “กีฬาผาดโผนไม่ได้ไปตายสักหน่อย พวกคนผิวขาวไม่ได้ชอบเล่นของพวกนี้หรอกเหรอ”

เบิร์ดยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ใครบอก คนที่ชอบของพวกนี้ก็เป็นพวกวัยรุ่นชอบหาเรื่องทั้งนั้น แต่ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่หน่อยก็จะไม่เล่นพวกนี้กัน คุณลองไปดูอัตราการบาดเจ็บและตายเอาก็ได้จะได้รู้ว่าพวกนี้มันเสี่ยงขนาดไหน”

ตอนรับประทานอาหารเย็น ไม่รู้ใครกระจายข่าวเรื่องนี้จนมาถึงหูวินนี่ ตอนที่เธอเก็บโต๊ะ เธอถามขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “คุณอยากจะไปเล่นกีฬาผาดโผนเหรอคะ?”

ฉินสือโอวยิ้มตอบ “เปล่าหรอก ผมแค่มีความคิดเฉยๆ คุณก็คิดเหมือนกันไหมว่ากีฬาแบบนี้สนุก?”

วินนี่ก็ยิ้มเช่นกันแล้วตอบว่า “ใช่ สนุกมาก”

คำพูดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ฉินสือโอวนายใหญ่ เขาคิดว่า ภรรยาของเขาหมายความว่าอย่างไร? สนับสนุนเขาใช่ไหม?

แต่หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ เขาพลันเห็นว่าลูกสาวเขาอยู่บนราวบันไดเตรียมจะไถลลงมา ซึ่งทำให้เขาตกใจมาก รีบพุ่งเข้าไปหา กระโดดขึ้นไปตรงบันไดคว้าตัวเด็กน้อยเอาไว้

ปรากฏว่าเขาเพิ่งรู้ว่า ข้างหลังเด็กน้อยยังมีมืออีกมือหนึ่ง กำลังจับตัวเด็กน้อยไว้อยู่ แต่เมื่อกี้เธอนั่งอยู่ตรงทางเลี้ยวของบันได เขาจึงไม่เห็น

“คุณทำอะไรน่ะ?” ฉินสือโอวนายใหญ่ตกใจไปหมด “แกล้งลูกสาวเหรอ?”

วินนี่แสดงท่าทีไม่รู้สึกผิดอะไร “ไม่ใช่สักหน่อย คุณอยากจะไปเล่นกีฬาผาดโผนไม่ใช่เหรอ? ฉันก็เลยจะฝึกลูกสาวก่อน วันหลังจะได้ไปเล่นกับคุณได้”

ดังนั้น ฉินสือโอวจึงเข้าใจความหมายของวินนี่

ก็เป็นแบบนี้แหละ ความฝันในกีฬาผาดโผนของของนักกีฬาคนหนึ่งแตกสลายไปเรียบร้อย…

วันรุ่งขึ้น นีลเซ็นเชิญแพรีสมาที่ฟาร์มปลา แล้วดำเนินการตามแผนที่ฉินสือโอวกับวินนี่วางไว้คร่าวๆ หนึ่งรอบ แต่เขาไม่กล้าขี่เจ็ทสกีเร็วมาก เล่นกระดานโต้คลื่นก็ไม่กล้าใช้แบบที่ยืนสองคน ยิ่งไม่กล้าให้แพรีสกระโดดลงจากที่สูง เพราะว่าเธอท้องแล้ว

เดิมทีนีลเซ็นคิดที่จะอุ้มเป้าจือและหู่จือมากระโดดน้ำด้วยกัน แต่พวกมันเรียนรู้ไว เพียงเห็นเฮลิคอปเตอร์แล่นมา ก็รีบวิ่งมุดหนีเข้าไปในป่า

ส่วนหัวไชเท้าน้อยกับราชาซิมบ้ากลับแสดงท่าทีว่าถ้าคุณกล้าพาฉันขึ้นเครื่อง ฉันก็กล้าสู้ตายกับคุณเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้นีลเซ็นรู้สึกเสียดาย เพราะเขาก็อยากจะลองทำเหมือนฉินสือโอวสนุกให้เต็มที่

ตอนที่แพรีสเล่นสกีน้ำ ฉินสือโอวก็ลอบมองดู หน้าท้องของสาวน้อยยังแบนราบ มองไม่ออก จึงทำให้ฉินสือโอวลอบถอนใจด้วยความสบายใจ แฮมเล็ตและคนในครอบครัวน่าจะยังไม่ได้รับรู้ถึงปัญหานี้

ก่อนที่จะแสดงสัญญาณใดๆ ฉินสือโอวจึงนัดเจอกับแฮมเล็ตวันจันทร์นี้

เขาสวมเสื้อคอจีน ฉินสือโอวออกไปข้างนอกกับนีลเซ็นที่ใส่สูทหลังตรง

เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกจึงกล่าวขึ้นว่า “ฉันคิดว่า ทำไมนายต้องพาฉันไปสู่ขอด้วย? นายเป็นคนไปสู่ขอแพรีสก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

นีลเซ็นยิ่งทำอะไรไม่ถูก พูดขึ้นว่า “ไม่ได้ บอส ผมเคยทำ แต่แพรีสบอกว่าในครอบครัวของเธอ เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเองเรื่องแต่งงาน ต้องได้รับความเห็นชอบจากพี่ชายของเธอก่อน ราชวงศ์อังกฤษที่ล่มสลายบ้าเอ๊ย ทำไมถึงกฎเกณฑ์เยอะแบบนี้นะ?”

ฉินสือโอวตบไปที่บ่าของเขา ที่แท้ยังมีเหตุผลนี้ด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ

เนื่องจากวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันที่งานถูกพักเอาไว้ ดังนั้นราชการจึงงานยุ่งในวันจันทร์มากที่สุด แฮมเล็ตจึงทำได้เพียงใช้เวลาอาหารกลางวันเจอกับเขา แต่ทว่าหากพูดให้น่าฟังก็คือ เขาเลี้ยงข้าวฉินสือโอว

ตอนเที่ยง ฉินสือโอวและนีลเซ็นนั่งอยู่ในห้องรับรองของการปกครองส่วนท้องถิ่นเมืองเซนต์จอห์น จากนั้นก็มีอาหารกล่องอยู่ตรงหน้า เขามองไปที่แฮมเล็ตด้วยความมึนงง “นี่เป็นอาหารที่คุณจะเลี้ยงผมเหรอ?”

แฮมเล็ตเปิดกล่องอาหารด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาถูมือไปมา ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้วล่ะ ผมตั้งใจสั่งอาหารจีนที่นายชอบกินให้เลยนะ นายลองชิมดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่าตอนบ่ายฉันยังต้องกลับไปทำงาน ดังนั้นต้องขอโทษด้วยนะที่พวกเราดื่มเหล้าไม่ได้”

ฉินสือโอวชี้ไปที่กล่องข้าว “อย่าหาว่าผมถือตัวเลยนะ แต่เพื่อน ผมต้องบอกคุณจริงๆ ว่า ตั้งแต่ผมมาที่แฟร์เวล ผมก็ไม่เคยกินอะไรแบบนี้อีกเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แฮมเล็ตก็แสดงสีหน้าทำอะไรไม่ถูก “ฉิน นายคิดว่าฉันอยากทานสิ่งนี้เหรอ? ช่วยไม่ได้จริงๆ เศรษฐกิจมันแย่จริงๆ งบประมาณของการปกครองส่วนท้องถิ่นก็ถูกตัดไปเยอะ ฉันทานข้าวกล่องอาหารจีนแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว! นายแค่ทานมื้อหนึ่ง ก็ถือเสียว่าทานอะไรแปลกใหม่ ได้ไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวอยากจะตอบว่าไม่ได้ แต่นีลเซ็นทางนี้มีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ ดังนั้นจึงรีบแสดงสีหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ได้แน่นอนสิ ฮ่าๆ เป็นเกียรติของผมอย่างมากที่ได้ทานอาหารแบบเดียวกับนายกเทศมนตรี แต่ว่าท่านนายกเทศมนตรีที่รัก คุณต้องรักษาสุขภาพด้วยนะ เพราะว่าร่างกายของคุณไม่ได้เป็นแค่ของคุณ แต่เป็นของทั้งเมืองเซนต์จอห์น คุณจึงต้องรักษาสุขภาพด้วย”

แฮมเล็ตตัวสั่นแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ครั้งนี้นายมาทำอะไร? คำพูดแบบนี้ก็พูดออกมาได้เหรอ? เรื่องที่จะให้ฉันทำต้องร้ายแรงไม่ธรรมดาแน่ๆ!”

ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “คุณพูดอะไรแบบนั้น ก็แค่ไม่ได้เจอกันนานแล้วคิดถึง เห้อ เพื่อน คุณมองเห็นชายหนุ่มข้างกายของผมเป็นอย่างไรบ้าง?”

นีลเซ็นรีบนั่งตัวตรงทันที พยายามเผยรอยยิ้มที่โดดเด่นที่สุดให้

แฮมเล็ตเหลือบมองเขาอย่างเงียบๆ ยกแก้วน้ำขึ้นมาแล้วจิบไปหนึ่งอึก “นายหมายถึงนีลเซ็น? เขาเป็นคนดีแน่นอน ตอนนั้นที่เขาทำงานอยู่ที่ร้านขายปืน ฉันก็ไปยิงปืนกับเขาบ่อยๆ”

ฉินสือโอวรู้ว่าแฮมเล็ตจะต้องรู้เหตุผลในการมาของเขาแน่ แต่เขาอาจจะไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาท้องแล้ว แต่รู้แน่ๆ ว่าน้องสาวกำลังคบอยู่กับนีลเซ็น

แต่ตอนนี้ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ดูท่าไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับงานแต่งของนีลเซ็นและแพรีส

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ฉินสือโอวก็จำเป็นต้องพูดออกไปตรงๆ “ท่านนายกเทศมนตรีแฮมเล็ต คือแบบนี้นะครับ วันนี้ผมรับหน้าที่แสนสำคัญมา ซึ่งก็คือเป็นตัวแทนของพระเจ้า มาถามความเห็นจากคุณว่าเห็นด้วยกับงานแต่งของคู่หนุ่มสาวไหม”

“โอ้ อาหารกลางวันมื้อนี้ไม่เลวจริงๆ” แฮมเล็ตยกกล่องข้าวขึ้นมา

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท