ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1604 คดีที่แปลกประหลาด

บทที่ 1604 คดีที่แปลกประหลาด

หลังจากนั้นอีกหลายวัน ฉินสือโอวได้ทำการค้นหาเรือซานโฮเซต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะอย่างไรเสียหากเทียบกับเรือที่ไม่รู้มูลค่าที่แน่ชัดอย่างเรือโจรสลัดแล้ว เรือซานโฮเซมีมูลค่ามากกว่ามาก ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดกับเบลคว่ามีมูลค่ากว่าหมื่นล้านเหรียญนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย

น่าเสียดาย เขาลงแรงไปไม่น้อยก็จริง แต่กลับได้อะไรกลับมาไม่ค่อยมาก สุดท้ายก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาของเรือซานโฮเซเลย แต่ทว่าตรงบริเวณรอบนอกของร่องลึกเคย์แมน เขากลับได้เจอเข้ากับเหตุการณ์ประหลาดใต้ทะเล เริ่มจากมีของเหลวสีขาวปรากฏออกมาให้เห็นเป็นพักๆ จากนั้นให้ของเหลวนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง ก้นทะเลที่มีพื้นผิวขรุขระรอบๆ นั้นก็เต็มไปด้วยกองหิมะ มองดูแล้วราวกับเป็นภาพทิวทัศน์ของหิมะปกคลุมที่สวยงาม ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์!

โลกใต้ทะเลของทะเลแถบนี้ไม่ใหญ่ มีพื้นที่เพียงแค่สี่ห้าร้อยตารางกิโลเมตรเท่านั้น ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเนินเขาหรือร่องลึกใต้ทะเล ก็ล้วนขาวโพลนไปหมด เหมือนกับภาพเมืองบ้านเกิดของเขาที่ถูกหิมะปกคลุมอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ฉินสือโอวมองเห็นแวบแรกแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าใต้ทะเลไม่มีหิมะแน่นอน แต่ว่าภาพทิวทัศน์ของที่นี่นั้นช่างเหมือนกับภาพที่หิมะปกคลุมไปทั่วผืนดินจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่านี่ไม่ใช่หิมะ ใต้ทะเลที่ปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลนนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยแบคทีเรีย!

ด้วยความแปลกใจเขาเข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแล้วจึงได้รู้ว่า ของเหลวร้อนได้ปล่อยแร่ธาตุจำนวนหนึ่งออกมา แร่ธาตุในของเหลวพอไหลเข้าไปสู่น้ำทะเลรอบๆ เจอเข้ากับความเย็นแล้วก็จะร่วงตกลงไปสู่ก้นทะเล แบคทีเรียสีขาวที่มีความสามารถในการขยายพันธุ์ได้ดีสามารถใช้แร่ธาตุนี้เป็นอาหาร แล้วทำขยายพันธุ์ออกมาเป็นจำนวนมาก จึงก่อเกิดเป็นชั้นแบคทีเรียสีขาวโพลนเช่นนี้ออกมา

หลังจากค้นหามาหลายวันก็ยังไม่พบอะไร ความกระตือรือร้นของฉินสือโอวก็ค่อยๆ หมดไปด้วย อย่างไรเสียงานแบบนี้ก็เร่งรัดไม่ได้อยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะหาเรือซานโฮเซเจอตอนนี้เลย ก็ไม่สามารถงมขึ้นมาได้ทันทีอยู่ดี ทะเลแคริบเบียนไม่ใช่ทะเลหลวง อยู่ไกลจากทั้งอเมริกาและแคนาดาเป็นอย่างมาก หากจะทำการงมจะต้องลงแรงอย่างมาก จำเป็นต้องใช้เส้นสายหลายทาง ผ่านกระบวนการต่างๆ อีกมากมาย

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม มีคนโผล่มาหาฉินสือโอวโดยไม่ได้นัด พอเขาไปรับแขกแล้วจึงรู้ว่า เป็นพี่น้องมินสกี้ที่ขายฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์ให้เขานั่นเอง

คนที่เป็นคนน้องพอเห็นฉินสือโอวแล้วก็ยิ้มและพูดว่า “สวัสดีครับ ฉิน ไม่เจอกันสักพักแล้วนะครับ การมาหาในครั้งนี้ค่อนข้างเสียมารยาท หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะครับ”

ฉินสือโอวเชิญให้พวกเขานั่ง พูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ทั้งสองคน ไม่ทราบว่ามาหาผมมีธุระอะไรครับ?”

มินสกี้คนน้องพูดว่า “พวกผมไม่อยากพูดอ้อมๆ คุณฉินครับ ก่อนหน้านี้พวกเราได้ทิ้งของไว้ที่ฟาร์มปลาจำนวนหนึ่ง ตามหนังสือสัญญาแล้ว ของพวกนั้นยังถือว่าเป็นของพวกผมอยู่ ใช่ไหมครับ?”

“ของอะไรครับ?” ฉินสือโอวถามกลับไปพลัน แต่แล้วก็เข้าใจความหมายของเจ้าหมอนี่ทันที สิ่งที่เขาพูดน่าจะเป็นไม้พาโลซานโต จากนิสัยถ้าไม่ได้ผลประโยชน์จะไม่ตื่นเช้ามาฉี่ของสองพี่น้องนี้แล้ว หากว่าไม่ใช่เพราะมีของที่ทำให้พวกเขารู้สึกใจเต้นรัวอยู่แล้วล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่ยอมเสียเงินค่าตั๋วเครื่องบินมาหาเขาถึงที่นี่หรอก

จริงตามนั้น มินสกี้คนน้องถูฝ่ามือไปมา ยิ้มฮี่ๆ แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราได้ทิ้งไม้ท่อนหนึ่งไว้ในโกดัง นั่นเป็นไม้ที่มีมูลค่ามากเลย ตอนนั้นไม่ได้เอาไปด้วย ตอนนี้อยากจะเอากลับไปแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ?”

ฟังมาถึงตรงนี้แล้ว ในใจของฉินสือโอวก็รู้สึกแย่อย่างมากกับสองคนนี้ทันที นี่เป็นผีดูดเลือดที่หมดคำจะบรรยายแล้วจริงๆ สองคนนี้ไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้ พูดได้แค่เพียงว่าโลกนี้มีคนหน้าไม่อายเยี่ยงนี้อยู่ด้วยเหรอนี่

เก็บความรู้สึกสะอิดสะเอียนไว้ ฉินสือโอวพูดเสียงเรียบว่า “ไม้อะไร? ตามหนังสือสัญญาแล้วพวกคุณสามารถไปเอากลับได้ ดังนั้นพวกคุณไปลากเอาเองได้เลย ไปดีไม่ส่งครับ”

การทำงานของสองพี่น้องมินสกี้สามารถพูดได้ว่าไม่ขาดตกบกพร่อง ตอนที่พวกเขาขายฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์นั้น ก็ได้บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ให้ทะเลบางส่วนของฟาร์มปลากับสิ่งก่อสร้างบนผืนดินกับฉินสือโอวเท่านั้น เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน และเครื่องจักรต่างๆ ยังคงเป็นของพวกเขาอยู่

มินสกี้คนน้องไม่ได้รู้สึกอับอายกับการกระทำของพวกเขาสองพี่น้องเลย พวกเขารู้สึกเพียงแต่เสียดาย ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ได้เห็นไม้พาโลซานโตที่อยู่ในโกดัง?

พวกเขาเพิ่งได้รู้ข่าวเกี่ยวกับไม้พาโลซานโตเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากตระกูลไลบ์นิทซ์ครอบครองไม้พาโลซานโตนี้แล้ว ก็บริจาคให้กับโบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ ตอนที่นักข่าวถามไถ่ถึงที่มาของไม้พาโลซานโต โลแกน ไลบ์นิทซ์ก็ใช้คำพูดของฉินสือโอว ที่ว่าได้มาจากเจ้าของฟาร์มปลาแห่งหนึ่ง เพราะเจ้าของฟาร์มปลาคนก่อนได้ทิ้งไม้พาโลซานโตไว้ที่ฟาร์มปลา

การพูดแบบนี้ที่จริงฟังไม่ขึ้นอย่างมาก แม้แต่ตัวฉินสือโอวเองก็ไม่เชื่อ โลแกนไม่ได้โง่ เขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ดันมีคนเชื่อจนได้ นั่นก็คือพี่น้องมินสกี้นี่เอง แน่นอนว่าบางทีพวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อเหมือนกัน มีอะไรอยู่ในฟาร์มปลาบ้างพวกเขาจะไม่รู้เลยเหรอ? แต่ในเมื่อข่าวลงไปแบบนี้ พวกเขาจึงคิดว่ามีช่องให้หาผลประโยชน์อยู่ จึงรีบมาหาฉินสือโอวเผื่อจะได้รับส่วนแบ่งบ้าง

ฉินสือโอวแบ่งให้พวกเขาสิแปลก มินสกี้คนน้องได้พูดต่ออีกว่า ไม้พาโลซานโตท่อนนั้นเป็นของที่พวกเขาทิ้งไว้ที่ฟาร์มปลา หวังว่าฉินสือโอวจะมอบรายได้จากการขายไม้พาโลซานโตให้กับพวกเขา หรืออย่างน้อยก็ให้พวกเขาส่วนหนึ่ง

เมื่อได้ยินคำพูดราวกับปล้นของพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ท่านชายฉินก็หัวเราะขึ้นมา ถามพวกเขาด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วพวกคุณคิดว่าผมต้องแบ่งให้พวกคุณเท่าไรจึงจะเหมาะสมล่ะ?”

มินสกี้คนน้องวางมาดอย่างคนมีความยุติธรรม พูดว่า “แม้ว่าไม้ท่อนนี้จะเป็นของพวกผม และตอนแรกพวกผมก็ไม่คิดที่จะขาย แต่ไม่เมื่อคุณขายมันไปแล้ว พวกผมจะถือว่าคุณมีส่วนในการออกแรงช่วย จึงยินดีที่จะแบ่งเงินให้หนึ่งส่วนครับ”

“หนึ่งส่วน? พวกคุณไม่รู้สึกว่ามากไปหน่อยเหรอครับ?” ฉินสือโอวหัวเราะความเสียดสีออกมา

หน้าของมินสกี้แดงขึ้นมา เขาฟังออกถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น จึงกระแอมทีหนึ่ง พูดว่า “งั้นก็แบ่งให้คุณสองส่วน นี่ก็ถือว่ามากพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉินสือโอวเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาแล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา พี่น้องคู่นี้ไม่เพียงแต่เป็นกร็องเด้ด์ (เออเฌนี กร็องเด้ด์ ตัวละครในนิยายที่ขึ้นชื่อเรื่องละโมบโลภมากเป็นที่สุด) เท่านั้น ยังอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งอุดมคติยูโทเปียอีกด้วย พอรวมกันแล้วได้เป็นว่านี่น่ะเป็นคนบื้อที่โลภมากคู่หนึ่ง

เขาไม่มีอารมณ์มายืดเยื้อกับสองคนนี้ จึงปัดมือแล้วพูดว่า “เงินสักแดงหนึ่งก็ไม่ให้ เชิญพวกคุณกลับไปเถอะ”

เมื่อได้ยินคำนี้ มินสกี้คนพี่ก็ยืนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เขาหยิบหนังสือสัญญาออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่พกติดตัวไว้ พูดว่า “คุณฉิน ไม่ว่าอะไรพวกเราก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามสัญญาถึงจะถูก รู้ไว้ด้วยนะครับ หนังสือสัญญาของพวกเราน่ะถูกคุ้มครองโดยกฎหมายนะ ใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวยักไหล่ พูดว่า “งั้นพวกคุณก็ไปฟ้องผมเลย พอละ พวกคุณออกไปเถอะ ผมยังมีธุระ ไม่ไปส่งแล้วกัน”

ที่ว่าให้ทั้งสองไปฟ้องตัวเองเขาพูดออกไปอย่างนั้นเอง นึกไม่ถึงว่าวันต่อไปจะมีเอกสารเรียกตัวจากศาลส่งมาจริงๆ เห็นได้ชัดว่าพี่น้องมินสกี้ได้จ้างทนายเพื่อฟ้องเขาข้อหาผิดสัญญา โดยทำการขายไม้ที่มีค่าของพวกเขาไป

ฉินสือโอวทั้งโกรธทั้งน่าขัน พี่น้องคู่นี้คือบื้อไปแล้วจริงๆ เหรอ? แต่ทว่าเขาก็รู้สึกไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน นี่เป็นหมายฟ้องใบแรกที่เขาได้รับหลังจากที่มาเกาะแฟร์เวลแล้ว จึงรีบไปหาเออร์บัก เล่าเรื่องให้เขาฟังรอบหนึ่ง

เออร์บักคาบซิการ์พ่นควันออกมาวงหนึ่ง พูดว่า “เรื่องนี้ง่ายมากเลย เอาล่ะ ฉิน นายไม่ต้องมาสนใจแล้ว ไปยุ่งงานของนายต่อเถอะ ฉันจะช่วยนายจัดการเรื่องนี้เอง”

ฉินสือโอวถามว่า “จะจัดการอย่างไร?”

เออร์บักหัวเราะแล้วพูดว่า “มันง่ายมากเลยนี่ ตามสัญญาแล้ว ไม้ในฟาร์มปลาเป็นของพี่น้องมินสกี้จริง แต่ว่ามีใครสามารถยืนยันได้ล่ะว่าไม้พาโลซานโตนี้นายเอามาจากในฟาร์มปลานั้นน่ะ?”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท