ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1595 มากระโดดด้วยกัน

บทที่ 1595 มากระโดดด้วยกัน

ฉินสือโอวนั่งยองอยู่บนเรือเด็คแล้วใช้ที่คีบหนีบแมงกะพรุนขึ้นมาป้อนให้เต่ามะเฟืองกิน เมื่อสักครู่ยังอยู่ในสภาพที่คุณก็ดี ฉันก็สบาย ทุกคนดีไปหมด แต่แล้วก็มีแมวน้ำกระโดดออกมา จ้องมองไปที่เต่ามะเฟืองอยู่สักพักแล้วก็เริ่มชุลมุนวุ่นวาย

เมื่อแทรกซึมถึงปัญหาด้านถิ่นที่อยู่ ทุกคนต่างก็ไม่ยอมแพ้ ทันใดนั้นน้ำทะเลรอบๆ ก็มีคลื่นถาโถม เสียงกรีดร้องไม่หยุด ทั้งช่างภาพและเหล่าช่างภาพคนอื่นๆ ต่างมีความสุข เพราะนี่เป็นโอกาสในการถ่ายรูปแล้ว

ฉินสือโอวทำได้เพียงเรียกชาวประมงมาแยกทั้งสองฝั่งออกจากกัน ในความเป็นจริงแล้วฉินสือโอวได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสั่งให้เต่ามะเฟืองไปใช้ชีวิตอยู่ในน่านน้ำฝั่งใต้ และให้แมวน้ำไปอยู่ทางทิศเหนือ ไม่มีใครสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้

พวกเต่ามะเฟืองไม่พอใจ นี่เป็นดินแดนที่พวกมันต้องปกป้องนะ เมื่อก่อนพวกมันยินดีที่จะอยู่ที่ไหนก็ได้

พวกแมวน้ำไม่พอใจยิ่งกว่า พวกมันใช้ดวงตากลมเล็กของพวกมันจ้องไปที่ฉินสือโอวด้วยท่าทีไร้เดียงสา พ่อฉินดูพวกเราสิ พวกเราเป็นลูกรักของคุณไง คอยเล่นกับลูกสาวของคุณ คุณจะมาไล่พวกเราไปไม่ได้

ฉินสือโอวแสดงออกว่า แม่งเอ๊ย รีบหนีไป ถ้ายังไม่ไปจะเอาเต่ามะเฟืองมาตุ๋นแกงจืด เอาเนื้อแมวน้ำมากินแล้วนะ!

เมื่อทำเช่นนี้ อีกทั้งมีการขับไล่จากพวกชาวประมง ในที่สุดเต่ามะเฟืองและแมวน้ำก็แยกออกจากกันได้สำเร็จ

แต่ทว่าพวกมันก็ได้ฝังความแค้นไว้ในใจแล้วตอนที่ทั้งสองฝ่ายว่ายผ่านกัน ต่างใช้สายตาเตือนฝ่ายตรงข้าม ถือว่าแกโชคดีไป ครั้งหน้า ครั้งหน้าถ้าเจอพวกแกอีกแล้วไม่ได้ทุบพวกแก พวกฉันก็คงไม่มีวันเป็นสุขแน่!

เหล่าช่างภาพรู้สึกเสียดาย ถามขึ้นว่า “ทำไมพวกมันไม่ต่อสู้กันแล้วล่ะ?”

ฉินสือโอวกลอกตามองบนแล้วตอบว่า “พวกคุณหมายความว่าอย่างไร? อยากหาเรื่องหรือไง?”

เหล่าช่างภาพรีบหัวเราะ “คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณฉิน จริงๆ แล้วนี่ก็เป็นการโปรโมตที่ดีเลยนะครับ”

วินนี่ตอบว่า “ผู้กำกับ ไม่ต้องออกอากาศตอนนี้นะ เป็นแค่พิธีการพบปะกันของเจ้าสัตว์น้อยในฟาร์มปลาเฉยๆ พวกมันชอบสร้างความวุ่นวาย”

เทียบไม่ได้กับร่างกายกำยำของฉินสือโอว วินนี่เล่นในน้ำได้ชั่วโมงกว่าก็เหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว แต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร เขาลากเอาหู่จือและเป้าจือไปในทะเลเพื่อถ่ายทำต่อ

โต้คลื่นครั้งนี้ยิ่งน่าสนุกกว่าเดิม หู่จือกอดขาซ้ายเขา ส่วนเป้าจือกอดขาขวาเขาไว้ จึงทำให้ดูเหมือนว่าฉินสือโอวใส่รองเท้าบูตขนสัตว์สไตล์รัสเซีย

ด้านหลังเขาอุ้มเจ้าลิงซ์ตัวน้อยไว้ ราชาซิมบ้ากลัวจนฉี่ราด ทุกครั้งที่มีคลื่นซัดเข้ามา มันจะหดตัว อ้าปากค้างทำตาโต แต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา กลัวจนร้องไม่ออก

ฉินสือโอวลองพาฉงต้าลงไปในทะเลบ้าง ฉงต้าไม่กลัวคลื่นทะเล สามารถดำน้ำได้ แต่กระดานโต้คลื่นอันนี้รับน้ำหนักของมันไม่ไหว เมื่อมันขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น กระดานกลับจมลงไปในน้ำทะเล

ช่วยไม่ได้ ชาร์คและซีมอนสเตอร์จึงได้ทำการดัดแปลงกระดานโต้คลื่นอย่างง่ายๆ โดยติดตั้งห่วงชูชีพไว้อย่างละอันตรงหัวทั้งสองฝั่งของกระดาน เมื่อเป็นแบบนี้พอฉงต้าปีนขึ้นไป มันจึงไม่จมลงไปในน้ำ

ขณะที่ปีนอยู่บนกระดานโต้คลื่น ฉงต้าเงยหน้าขึ้นมองผู้คนกลุ่มหนึ่งด้วยสายตาว่างเปล่า ฉินสือโอวที่ถ่ายทำอยู่บนเรือเล็กโบกมือให้กับมัน ฉงต้าเลยโบกอุ้งมือของมันด้วยท่าทางทึ่มๆ ตาม

เหล่าช่างภาพรวมตัวกันเนืองแน่น ร้องตะโกน เดี๋ยวอัดเทป เดี๋ยวถ่ายภาพนิ่ง จนฉงต้าตกใจกระโดดลงไปในน้ำ ดำน้ำไปจับปลาค็อดแล้ว

หลังจากรับประทานอาหารเย็น ฉินสือโอวและวินนี่ใช้ประโยชน์จากอุณหภูมิที่สูงของน้ำจากดวงอาทิตย์ในตอนเที่ยงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปดำน้ำ ครั้งนี้เป็นการดำน้ำลงไปที่ตำแหน่งบริเวณใกล้ๆ กับแนวปะการัง

เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือในการถ่ายทำโปรโมต และเก็บความทรงจำที่ดีไว้ พวกเขาจึงไม่ได้สวมชุดดำน้ำ แต่สวมชุดที่ดูทางการหน่อย

ฉินสือโอวสวมชุดสูท และวินนี่สวมชุดกระโปรงยาวสไตล์ชุดแต่งงานสีแดงสด เสื้อผ้าเหล่านี้ทำขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ใช่ผ้าฝ้าย แต่เป็นพลาสติก ดังนั้นจะไม่ดูดซับน้ำและยึดติดกับร่างกายของพวกเขาหลังจากลงไปในน้ำ

อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าประเภทนี้ใส่แล้วไม่รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว แต่ได้รับการจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับการถ่ายภาพใต้น้ำ

ทั้งสองคนจูงมือกันและกันดำดิ่งลงไปในน้ำทะเล เบิร์ดและนีลเซ็นก็ตามลงไปด้วย หนึ่งในนั้นได้ถือถังก๊าซออกซิเจนไปด้วย เพราะถ้ารู้สึกว่าหายใจไม่ออกแล้ว ฉินสือโอวและวินนี่ก็สามารถไปสูดออกซิเจน แล้วค่อยถ่ายทำต่อได้

พวกเขาดำน้ำด้วยกันทั้งหมดสองรอบ รอบหนึ่งใช้เวลา 20 นาที รอบแรกเป็นการถ่ายรูป ให้ตั้งท่าโพสต่างๆ เป็นการถ่ายภาพแบบศิลปะ ส่วนครั้งที่สองเป็นการอัดวิดีโอ โดยทำตามความต้องการของผู้กำกับ นั่นก็คือการเต้นแลมบาดา

ฉินสือโอวผ่อนคลายสบายๆ เมื่ออยู่ในน้ำเหมือนกับตอนอยู่บนบก เขาจับมือวินนี่นำท่าเต้นในน้ำ วินนี่แค่ทำตามเขาก็พอแล้ว เพลงวอลซ์ชุดหนึ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ฉินสือโอวเคยดูพวกนี้บ่อยๆ ดังนั้นทุกอย่างจึงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

หลังจากที่พวกเขาขึ้นฝั่ง ฉินสือโอวก็ถอดชุดพลาสติกออกแล้วเช็ดตัวเองให้แห้ง ผู้กำกับด้านหนึ่งก็ดูวิดีโอที่ถ่ายทำ อีกด้านหนึ่งก็พูดออกมาอย่างมีความสุขว่า “เพื่อนผอง ผมต้องบอกจริงๆ เลยว่า เมื่อกี้ที่พวกคุณอยู่ในน้ำสวยงามสุดยอดไปเลย! รอดูคลิปที่ผมตัดต่อนะ พอตัดต่อเสร็จ ผมกล้าพนันเลยว่า คลิปนี้ต้องเป็นคลิปดีที่สุดแห่งปีในยูทูบอย่างแน่นอน!”

“ก็หวังว่านะครับ” ฉินสือโอวยิ้มตามระเบียบ เขาเดินเข้าไปดู

ตอนนี้ยังมองภาพไม่ออก เพราะว่าการเต้นในน้ำของพวกเขาแยกกันถ่ายทำ เพราะระหว่างนั้นต้องคอยสูดออกซิเจน ทุกๆ 20-30 วินาทีก็ต้องตัดเป็นหนึ่งเทค แต่ถ้าตัดต่อออกมาก็คงไม่เหมือนกันแล้ว

หลังจากขึ้นฝั่งเขาก็พักผ่อนสักพัก หลังจากนั้นก็ทำการกระโดดน้ำเป็นสิ่งสุดท้าย

ตอนเริ่มแรกง่ายดายมาก เขากระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร หลังจากที่เขาเช็กความสูงแล้ว เขาจึงพาหู่จือและเป้าจือขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ด้วย หัวเราะแล้วพูดว่า “เดี๋ยวสักพักโดดด้วยกันนะ”

เจ้างี่เง่าไร้เดียงสาพวกนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรกำลังรอพวกมันอยู่ ดังนั้นเมื่อขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์จึงดีใจกันมาก หู่จือและเป้าจือแสยะยิ้มแล้วแลบลิ้นออกมา พวกมันนึกว่าจะได้บินขึ้นท้องฟ้าไปโต้ลม

แต่เมื่อประตูห้องโดยสารเปิดออก พวกมันก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่ละตัวจึงถอยหนีหดตัวไปหลบอยู่ในมุม

ฉินสือโอวลากหู่จือออกมา พอหู่จือยื่นหน้าออกไปมองที่ด้านนอกมันก็ฉี่ราดทันที อ้าปาก ร้องว่า “บูวว เอ๋งๆๆ!”

ลมที่เกิดจากการหมุนปีกของเฮลิคอปเตอร์นั้นแรงมาก แค่หู่จืออ้าปาก ลมก็เข้ามาเต็มปาก จะร้องอย่างไรก็ไม่มีเสียง

ฉินสือโอวจับอุ้งมือของหู่จือไว้ทักทายกับช่างภาพที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ หน้าของหู่จือสลดอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงร้องได้ มันจึงทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมา

“กระโดดละนะ!” ฉินสือโอวตะโกนร้องอย่างมีความสุข กอดหู่จือแล้วกระโดดจากห้องผู้โดยสาร

บนท้องฟ้ามีน้ำกระเซ็นสายหนึ่ง ในเวลานี้เองหู่จือทนต่อไปไม่ได้ จึงฉี่ราดออกมา…

ใต้น้ำก็มีกล้องถ่ายรูปเช่นกัน พอฉินสือโอวตกลงไปในน้ำก็ปล่อยหู่จือออก ก่อนอื่นเลยหู่จือทำท่าทางถลึงตาโตเหมือนจะตายแบบนั้น แต่พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงขยับขาทั้งสี่ข้างดำน้ำไปตามกระแสน้ำ แล้วจึงค่อยว่ายผุบขึ้นมา

เมื่อเฮลิคอปเตอร์ร่อนลง ทั้งเป้าจือ หัวไชเท้าน้อย และราชาซิมบ้าต่างอยากจะออกไปวิ่งข้างนอก แต่ฉินสือโอวกั้นเอาไว้ บินขึ้นไปต่อแล้วเริ่มดำเนินการในลำดับถัดไป

ตัวถัดมาก็คือเป้าจือ เป้าจือยังดีหน่อย ดูทึ่มๆ ไม่ได้หวาดกลัวอะไร แค่กระโดดลงไปก็จบ

หัวไชเท้าน้อยกับราชาซิมบ้ากลัวน้ำ ตอนที่ฉินสือโอวกอดพวกมันไว้ พวกมันดิ้นไปดิ้นมาเต็มที่ หัวไชเท้าน้อยใช้เล็บอันแหลมคมที่อุ้งเท้าของมันฉีกหนังแท้ที่หุ้มเบาะนั่งบนเฮลิคอปเตอร์ขาดเป็นชิ้นๆ ทำอย่างไรก็จะเกาะไว้ไม่ยอมกระโดดลงไป

วินนี่พูดว่า “ช่างเถอะค่ะ ที่รัก อย่าทำให้พวกมันลำบากเลยนะ พวกเรามาโดดกันดีกว่า”

แม่ที่รัก หัวไชเท้าน้อยและราชาซิมบ้ารู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ตัวหนึ่งพยายามใช้หัวถูๆ ไปที่วินนี่

คนสองคนจับมือกันกระโดดลงไปในน้ำ หลังจากลงไปในน้ำแล้ว ฉินสือโอวก็โอบกอดวินนี่ไว้แล้วจูบอย่างดูดดื่มกับเธอ เหมือนกับให้ออกซิเจนเธอไปด้วย

หลังจากกระโดดน้ำ วินนี่ยังคงรู้สึกติดใจอยู่ เธอจึงขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์อีกครั้ง แล้วให้ฉินสือโอวรอรับเธอข้างล่าง หลังจากนั้นเธอก็มองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ไปที่หัวไชเท้าน้อยและราชาซิมบ้า…

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน