ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1611 ดังอีกแล้ว

บทที่ 1611 ดังอีกแล้ว

มีลูกน้องมากมายช่วยงานแบบนี้ งานทางฝั่งของฉินสือโอวจึงเร็วขึ้นอย่างมาก

งานเก็บเกี่ยวปลิงทะเลเป็นงานสองขั้นตอนที่เหนื่อยมาก ขั้นแรกคือต้องก้มตัวไปเก็บปลิงทะเล อีกขั้นคือลอยขึ้นไปบนผิวน้ำ สำหรับเขาแล้วงานทั้งสองขั้นตอนนี้ไม่ใช่ปัญหา งานเก็บปลิงทะเลรับผิดชอบโดยกั้ง ส่วนการลอยขึ้นไปบนน้ำ ก็มีวาฬเบลูก้าช่วยพาเขาขึ้นไป ประสิทธิภาพจึงสูงขึ้นอย่างมาก

ฉินสือโอวอยู่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าสามตัวเล็กครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปเก็บปลิงทะเลเข้ามาในอวน แล้วก็ขี่วาฬเบลูก้าขึ้นไปข้างบนก็ได้แล้ว

บูลใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้ลอยขึ้นไปด้านบนทีหนึ่ง ส่วนทางฝั่งฉินสือโอวใช้เวลาแค่ครึ่งของครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แถมจำนวนปลิงทะเลที่เขาเอาขึ้นไปทุกครั้งก็มากที่สุดอีกด้วย เกิงจุนเจี๋ยมองดูอยู่ไม่กี่ครั้งก็ยอมใจให้เขา พอฉินสือโอวลอยขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้ง เขาจึงถามไปว่ามีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า

ฉินสือโอวยักไหล่พูดว่า “เคล็ดลับหนึ่งเดียวของฉันก็คือวาฬเบลูก้าไปช่วยฉันหาปลิงทะเล แล้วมันยังพาฉันขี่หลังขึ้นมาบนน้ำอีกด้วย นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ฉันทำงานเร็วกว่าบูลนั่นแหละ”

ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร บูลก็เห็นด้วยแถมยังนับถือเขาด้วย ความจริงแล้วไม่ว่าฟาร์มปลาจะทำการเก็บเกี่ยวอะไร ก็ไม่มีใครสู้ฉินสือโอวได้ ในด้านการหากินบนท้องทะเลนั้น เหล่าชาวประมงล้วนยอมรับกันว่าท่านชายฉินเป็นที่หนึ่ง ไม่มีใครกล้ามาแหย็มกับอำนาจของเขาได้

มองดูบูลพยักหน้าอยู่ตรงนั้นแล้ว ฉินสือโอวก็พลันนึกถึงเรื่องปลิงทะเลสีขาวตัวนั้นขึ้นมา จึงถามว่า “เฮ้ บูล เมื่อกี้ทำไมนายไม่ให้ฉันไปจับปลิงสีขาวตัวนั้นล่ะ? มันมีพิษเหรอ? หรือว่ามันเป็นสัตว์ดุร้ายเหรอ?”

บูลหายใจหอบพร้อมกับพูดว่า “แฮกๆ บอส นั่นน่ะเป็นปลิงทะเลสีขาว พวกเราต้องมีความเคารพให้กับมันนะครับ มันเป็นภูติปลิงทะเล คุณไม่เห็นเหรอครับว่ารอบๆ ตัวมันมีปลิงทะเลอาศัยอยู่มากเป็นพิเศษน่ะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่แท้ในนี้ยังมีเรื่องเล่าด้วยนี่เอง งั้นเขาจะไม่จับมันแล้ว เพราะชาวประมงและกะลาสีต้องพึ่งท้องทะเลในการหากิน จึงมีกฎค่อนข้างมาก ฟังจากคำพูดของบูลแล้ว ปลิงทะเลสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีอย่างหนึ่ง ไม่สามารถจับได้ เพราะหากปลิงทะเลสีขาวตายไป งั้นต่อไปน่านน้ำแห่งนี้ก็จะไม่มีปลิงทะเลมาอาศัยอยู่อีก เพราะกลิ่นอายความตายของปลิงสีขาวจะปกคลุมไปทั่วน่านน้ำแห่งนี้ แถมจะนำพาความโชคร้ายมาให้กับฟาร์มเพาะเลี้ยงอีกด้วย

ทำงานวันแรกเสร็จแล้ว พวกชาร์คและซีมอนสเตอร์ที่เป็นชาวประมงมืออาชีพได้ลากเอาร่างกายที่เหนื่อยล้าขึ้นฝั่ง แต่ละคนแค่ลากขาเดินก็เหนื่อยแล้ว แต่ว่าทางฝั่งฉินสือโอวยังคงเดินเหินสบายตัว แถมยังสามารถสั่งการเกิงจุนเจี๋ยและพวกให้นำปลิงทะเลแบ่งใส่ไว้ในกล่องเพื่อขนไปเก็บที่ห้องแช่เย็นอีกด้วย

เกิงจุนเจี๋ยพาพวกมาชั่งน้ำหนักทีละกล่อง คนที่จับปลิงทะเลได้มากที่สุดคือฉินสือโอว เขาจับปลิงทะเลได้ทั้งหมดสี่พันกว่าปอนด์ หรือก็คือสองพันกิโลกรัม

เหล่าชาวประมงแทบจะคลั่ง ทุกคนต่างพากันมาถามว่าฉินสือโอวทำได้อย่างไร พวกเขาลงน้ำไปก็แค่สิบชั่วโมงเท่านั้น แต่ฉินสือโอวกลับสามารถจับปลิงทะเลได้สองร้อยกิโลกรัมในหนึ่งชั่วโมง นี่เป็นสิ่งที่เหล่าชาวประมงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

ชาร์คที่เป็นถึงพี่ใหญ่นำทีม จำนวนปลิงทะเลที่เขาจับได้อยู่อันดับสอง แต่ก็แตกต่างกับของฉินสือโอวมาก คืออยู่ที่ประมาณหนึ่งพันหกร้อยกว่าปอนด์ การที่สามารถจับปลิงทะเลขึ้นมาได้เยอะขนาดนี้ เป็นเพราะฟาร์มปลามีปริมาณปลิงทะเลเยอะ แถมฉินสือโอวยังใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนในการเก็บพวกมันอีก

อ้างอิงจากเงินโบนัสที่ฉินสือโอวตั้งไว้ เท่ากับว่าวันหนึ่งชาร์คสามารถมีรายได้ที่สามพันกว่าเหรียญ ส่วนชาวประมงคนอื่นที่เก็บได้มากบ้างน้อยบ้างนั้น ก็ล้วนได้กันอยู่ที่ประมาณหนึ่งพันปอนด์ ถือว่าได้ผลตอบแทนที่ไม่เลว

หลังจากฉินสือโอวเห็นสรุปตัวเลขแล้วก็พูดว่า “การจับปลิงทะเลก็แบบนี้แหละ หากว่าฟาร์มปลาของเรารายได้ไม่ดี ต่อไปฉันจะพาพวกนายไปจับปลิงทะเลแล้วกัน แม้ว่าจะได้มาแค่หนึ่งพันปอนด์ แต่วันหนึ่งก็ได้สองพันเหรียญแล้วนะ”

เหล่าชาวประมงพากันส่ายหัวอย่างจำใจ ชาร์คถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไรครับ บอส คุณคิดง่ายเกินไปแล้วครับ ปริมาณปลิงทะเลของฟาร์มปลาเรามีมาก อีกอย่างพูดจริงนะครับ พวกมันอยู่กันชุกชุมมากด้วย ผมไม่เคยคิดเลยว่าปลิงทะเลจะสามารถอยู่กันชุกชุมขนาดนี้ได้ด้วย ฟาร์มเพาะเลี้ยงที่อื่นไม่มีทางที่จะมีปลิงชุกชุมได้อย่างนี้แน่นอน!”

“ใช่ครับ ปลิงทะเลของพวกเราชุกชุมมากจริงๆ พระเจ้า ตอนที่ผมลงไปในน้ำแล้วเปิดไฟบนหัวออกก็ถึงกับตะลึงไปเลยครับ! ผมมองไปข้างหน้า เห็นปลิงทะเล มองไปข้างหลัง ก็ยังเห็นแต่ปลิงทะเล มองไปทางซ้าย ก็ยังคงเป็นปลิงทะเล มองไปทางขวา ให้ตายสิ เป็นหน้าแก่ๆ ของแซ็ก ตอนนั้นผมตกใจจนแทบจะร้องไห้เลยครับ!” ซีมอนสเตอร์พูดพร้อมหัวเราะฮ่าๆ

แซ็กเป็นชาวประมงที่อายุมากที่สุดในนี้ อายุของเขามีสี่สิบสี่สี่สิบห้าปีแล้ว ตามหลักอายุของชาวประมงแล้ว นี่ถือว่าเป็นอายุที่สูงมากเลย เขาในตอนนี้คือมาหาเงินเพื่อใช้ยามเกษียณ ไม่มีทางเลือก เหล่าชาวประมงถูกลมพัดแดดเผาและใช้แรงงานตั้งแต่อายุยังน้อย พอแก่แล้วร่างกายจึงไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นพอพวกเขาอายุห้าสิบปีแล้วก็ต้องเกษียณเพื่อดูแลรักษาร่างกาย

พอเป็นแบบนี้ เท่ากับว่าจากที่อายุมากอยู่แล้ว บวกกับอาชีพชาวประมงที่ทำให้ดูแก่กว่าปกติ จึงทำให้แซ็กมีใบหน้าที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนักจริงๆ พอได้ฟังคำของซีมอนสเตอร์แล้ว เขาก็กลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “เพื่อน อย่าได้ใจไปหน่อยเลย อีกไม่กี่ปีนายจะแย่ยิ่งกว่าฉันอีก ถึงตอนนั้นฉันจะรอดูว่านายจะล้อเลียนฉันอย่างไรอีก”

เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลางคืนฉินสือโอวจำต้องตกรางวัลเหล่าชาวประมงสักหน่อย เบียร์ที่เขาหมักเองไม่พอชายฉกรรจ์เหล่านี้ดื่ม จะต้องสั่งเหล้ามาจากร้านเหล้าดวงดาวเปล่งประกายจากในเมืองมาด้วย แถมต้องสั่งแต่เหล้าขาวที่ดีกรีสูงทั้งหมดอีกด้วย จากนั้นเขาก็ขี้เกียจทำอาหารอีก จึงให้วินนี่แวะซื้อกับข้าวจากในเมืองมาด้วยจำนวนหนึ่ง

การเก็บเกี่ยวปลิงทะเลมีเคล็ดให้ถือมากมาย ก่อนหน้านี้บูลได้พูดเกี่ยวกับข้อห้ามในการจับปลิงทะเลสีขาวแล้ว ยังมีข้อห้ามอื่นอีกอย่างเช่นก่อนจับปลิงทะเลห้ามกินอาหารทะเล อย่างเช่นก่อนลงน้ำไม่สามารถดื่มเหล้า แต่หลังจากออกเรือกลับมาแล้วต้องดื่มเหล้าขาวนิดหน่อย

พูดถึงเรื่องถือเคล็ดแล้ว เหล่าชาวประมงก็มีท่าทางแปลกประหลาด แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องแปลกลี้ลับของท้องถิ่นให้ฉินสือโอวฟัง

ฉินสือโอวไม่ถือเคล็ดพวกนี้หรอก เขาเป็นเทพของท้องทะเล หากว่าจะมีกฎอะไรในนั้นล่ะก็ ก็ต้องเป็นเขาที่เป็นคนกำหนด!

แต่ทว่าการถือเคล็ดนี้ก็มีการอธิบายในแง่วิทยาศาสตร์อยู่ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการดื่มเหล้าขาวหลังออกทะเลมา ก็เพื่อใช้ความแรงของเหล้าขาวมาต้านความหนาวเย็นของลมทะเล เพื่อรักษาร่างกาย จุดนี้สามารถนำแนวคิดในด้านแพทย์แผนจีนมาใช้ได้ง่ายมาก แต่ว่าที่แคนาดาไม่มีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีน จึงใช้เรื่องการถือเคล็ดมาอธิบายแทน

แต่ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องทำตาม ดังนั้นเขาจึงยังคงดื่มเบียร์ต่อ เหล้าขาวดีกรีสูงสำหรับเขาแล้วรสชาติไม่ดีเลย เขาดื่มเบียร์ที่หมักเองจนชิน รู้สึกว่านี่เป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดในโลกแล้ว

นอกจากกับข้าวที่ซื้อมาจากในเมืองแล้ว ฉินสือโอวยังตุ๋นซุปซี่โครงหมูไว้ด้วยหม้อหนึ่ง กับเนื้อหมูแพะวัวย่างอีกเตาหนึ่ง เหล่าชาวประมงลำบาก เขากับพวกแบล็คไนฟ์จึงเป็นคนย่าง เพราะอย่างไรเสียก็แค่นำเนื้อไปวางไว้บนเตาย่างก็ได้แล้ว พอได้เวลาก็แค่ทาน้ำมันโรยเครื่องเทศก็เป็นอันเสร็จ

หลังจากจับปลิงทะเลมาทั้งวันแล้ว วันต่อมาเหล่าชาวประมงก็ไม่สามารถลงน้ำได้อีก อย่างน้อยก็ต้องพักอีกหนึ่งวัน หากว่าทำงานเป็นเวลานานไป ก็จะทำให้เกิดโรคลดความกดได้เช่นกัน

พอดีกับที่ของเล่นสันทนาการพวกสไลเดอร์กับรถบัมพ์ที่ฟาร์มปลาสั่งไว้ได้มาถึงแล้ว ฉินสือโอวจึงพาเหล่าชาวประมงนำของเล่นพวกนี้ไปวางไว้บนชายหาดที่สะอาดสะอ้าน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงทั้งสามฤดูนี้บนชายหาดจะทั้งอบอุ่นและชุ่มชื้น เหมาะแก่การให้เด็กๆ มาเล่นที่นี่มาก

การต่อสไลเดอร์นั้นง่ายมาก มีคู่มือสอนใช้งานอยู่ เหมือนกับการต่อเลโก้นั่นแหละ การต่อชิงช้าจะค่อนข้างยุ่งยากนิดหนึ่ง เพราะจะต้องขุดหลุมลึกเพื่อให้เสาชิงช้ามั่นคง แถมสุดท้ายยังต้องใช้พื้นทรายในการกดให้มั่นคงอีกด้วย พื้นชายหาดมีความอ่อนยวบอยู่แล้ว จึงมีบางครั้งที่ทำให้ตั้งเสาไม่อยู่

ฉินสือโอวกำลังยุ่งอยู่ที่นี่ ฉับพลันวิลก็มาหาเขาอีก พร้อมหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “เพื่อน นายดังแล้ว นายดังอีกแล้วนะ!”

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท