ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1721 ซัดพวกมัน

บทที่ 1721 ซัดพวกมัน

ฟันม้าก็คือเพรียงทะเล เป็นชื่อที่คนท้องถิ่นใช้เรียกอาหารทะเลชนิดนี้

เพรียงทะเลในเกาะแฟร์เวล เนื่องจากว่าที่นี่มีน้ำคุณภาพดีไม่มีมลภาวะ ดังนั้นจึงมีรสชาติที่หอมหวานเป็นพิเศษ หากว่านำไปวางขายในตลาดแล้ว สามารถขายได้ในราคาอย่างน้อยปอนด์ละหลายสิบดอลลาร์แคนาดาเลย!

ฉินสือโอวเคยลองกินครั้งหนึ่งรู้สึกค่อนข้างติดใจ จึงทำการเพาะเลี้ยงในฟาร์มปลา แค่นี้ก็ไม่ต้องมาเสี่ยงอันตรายที่หน้าผาพวกนี้แล้ว เป็นเวลากว่าสักพักแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาขุดเพรียงทะเล

ความจริงแล้วจำนวนเพรียงทะเลบนเกาะมีไม่มาก แม้มองไปแล้วจะดูเหมือนอยู่กันเต็มไปหมด แต่ถ้าคิดว่ามีหลายตัวที่ตายแล้วห้อยอยู่ที่นั่น บวกกับพวกมันเพียงแค่เปลือกหนาเท่านั้นความจริงเนื้อน้อยมาก ดังนั้นเพรียงทะเลที่อาศัยอยู่ตรงโขดหินนี้จึงไม่ถือว่าเยอะเลย

ผู้คนบนเกาะระมัดระวังเรื่องการอนุรักษ์เพรียงทะเลมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดกันได้เอง เพราะเคยได้รับบทเรียนเกี่ยวกับการล่าและจับปลาอย่างผิดวิธีจนทำให้ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ล่มสลายมาแล้ว ดังนั้นตอนที่ผู้คนบนเกาะเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์สิ่งมีชีวิตและผลิตภัณฑ์ทะเลนั้น ล้วนทำกันโดยอยู่บนหลักการพอเพียงทั้งนั้น

ตามที่ฉินสือโอวรู้มา หากว่าผู้คนในเมืองพากันมาเก็บเพรียงทะเล จะเก็บกันเพียงครอบครัวละสามสิบสี่สิบตัวก็หยุดแล้ว แถมทุกคนยังทำกันจนเป็นนิสัยด้วย ก็คือล้วนมาทำการเก็บเกี่ยวกันด้วยแรงคนเท่านั้น การทำแบบนี้จะเหนื่อยมาก คนทั่วไปมาเก็บได้แค่สิบกว่าตัวก็เหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว

แต่การมาเก็บเพรียงทะเลนั้นมีเคล็ดลับอยู่ นั่นก็คือให้ใช้เลื่อยไฟฟ้า เจ้าสิ่งนี้ทั้งแหลมคมและรุนแรง การใช้มันสามารถตัดเอาเพรียงทะเลไปหนึ่งจุดได้ง่ายๆ เลย ในสิบนาทีจับสักหนึ่งร้อยกิโลกรัมก็ไม่มีปัญหา

ผู้คนในเมืองรู้ถึงเคล็ดลับนี้ แต่ว่าไม่มีคนลงมือทำจริงๆ เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้แม้ว่าจะมีคนมาเก็บเพรียงทะเลกันทุกปี แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้มันสูญพันธุ์ สามารถรักษาการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้

ครั้งนี้คนเอธิโอเปียทำผิดกฎแล้ว พวกเขาเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำการกวาดล้างเพรียงทะเลพวกนี้ไปได้ทั้งหมดในทีเดียวเลย

หลังจากพี่น้องตระกูลฮิวจ์เห็นภาพนี้แล้ว จึงเข้าไปหยุดคนพวกนี้ แน่นอนว่าด้วยนิสัยของฮิวจ์คนน้อง เขาต้องไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ดีอย่างแน่นอน คิดว่าพูดไปพูดมาพอทั้งสองฝั่งเกิดความขัดแย้งกัน จากนั้นจึงจบที่ฮิวจ์คนน้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป

คนเอธิโอเปียพวกนี้แต่ละคนท่าทางดุดันมาก ตัวใหญ่เอวหนา แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกคนดีอย่างแน่นอน

หลังจากฉินสือโอวเข้าใจเรื่องนี้แล้ว จึงเข้าไปพูดกับคนพวกนี้ ว่า “เมื่อกี้เป็นคนใครเป็นคนลงมือ? ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ไปคุยกันที่โรงพักเถอะ ไปจ่ายค่าปรับขอโทษ รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลกับค่าทำขวัญ แบบนี้โอเคไหม?”

คนพวกนี้ไม่ได้เกรงกลัวพวกของฉินสือโอวอยู่แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะคนน้อยกว่า แต่ในมือมีทั้งเลื่อยไฟฟ้าทั้งสว่านไฟฟ้า แต่ละคนท่าทางไม่ยอมคน ไม่มีคนสนใจคำพูดของฉินสือโอวเลย พากันมองไปที่เขาอย่างไม่สบอารมณ์กันหมด

ฉินสือโอวยักไหล่ พูดว่า “ดูท่าว่าพวกนายจะไม่ยอมรับการยอมความสินะ งั้นฉันยังมีอีกความคิดหนึ่ง พวกฉันจะใช้กำลัง แล้วก็ซัดพวกนายซะจนคลานออกไปจากเกาะเลย ว่าอย่างไร?”

“ขู่พวกเราเหรอ? ฮ่าๆๆ พวกเรากลัวจังเลย” ชายหนุ่มคนเอธิโอเปียที่ใส่ชุดคลุมสีเทาขาวหัวเราะออกมา คนอื่นๆ ก็พากันมองไปที่ฉินสือโอวอย่างเหยียดหยามด้วย มีคนถึงกับเปิดเครื่องสว่านไฟฟ้าแล้วพูดอย่างหาเรื่องว่า “ใครเข้ามาฉันก็จะฆ่าคนนั้น!”

ฉินสือโอวมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาแน่นิ่งทีหนึ่ง หันไปถามโรเบิร์ตว่า “ตามกฎหมายแล้ว เรื่องนี้จะจัดการอย่างไรครับ?”

โรเบิร์ตพูดอย่างจนปัญญาว่า “ผมสามารถจับกุมพวกเขาในข้อหาทำร้ายร่างกายได้ แต่อย่างมากพวกเขาก็จะถูกขังแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากพวกเขาออกมาแล้ว คิดว่าก็คงจะมาทำลายเพรียงทะเลของที่นี่จนหมดอีกเหมือนเดิมครับ”

จุดนี้คือช่องโหว่ของกฎหมาย แคนาดาให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติพวกนี้มาก อย่างเช่นการตกปลา ไม่ว่าจะในน้ำหรือในทะเล จำนวนและขนาดในการตกปลาก็ล้วนถูกจำกัดทางกฎหมายด้วยทั้งหมด

แต่ของอย่างเพรียงทะเลนั้นถือเป็นทรัพยากรของท้องถิ่น กฎหมายการคุ้มครองทรัพยากรของแคนาดาไม่ได้มีบัญญัติการคุ้มครองในด้านนี้ ดังนั้นหากยึดตามต้นเหตุที่ก่อให้เกิดการทะเลาะกันของพวกฮิวจ์ก่อนหน้านี้แล้ว คนเอธิโอเปียไม่ถือว่าทำผิดกฎหมาย ฮิวจ์คนน้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน พวกเขาเพียงแค่ตอบโต้และป้องกันตัวเท่านั้น

ฉินสือโอวมองไปทางฮิวจ์ พูดว่า “นายอยากให้จัดการอย่างไร ให้พวกเขาจ่ายเงินชดเชยพร้อมขอโทษหรืออยากเอาคืนให้ฮิวจ์คนน้องให้สาแก่ใจดี? “

ฮิวจ์พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ฉันไม่เอาเงินของพวกมัน มากแค่ไหนก็ไม่เอา! ฉิน นายไม่ได้เห็นว่าเมื่อกี้พวกมันโหดร้ายขนาดไหน พวกมันมาล้อมน้องชายของฉันไว้แล้วเอาตัวมาชนจนทำให้เกิดเรื่องกันขึ้นมา ตอนนั้นพวกฉันคนน้อย พวกมันสิบกว่าคนพากันรุมกระทืบฮิวจ์คนน้องคนเดียว บัดซบจริงๆ! ฉันไม่มีทางยกโทษให้พวกมันเด็ดขาด!”

เท่านี้ฉินสือโอวก็เข้าใจความหมายของเขาแล้ว เขากวักมือเรียกเหล่าชาวประมง กลุ่มชาวประมงที่ยืนกอดอกมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเยือกเย็นได้พากันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

โรเบิร์ตพูดเสียงอ่อนอยู่ข้างหลังว่า “ฉิน ใจเย็นก่อนครับ เรื่องนี้ควรจะจัดการผ่านกฎหมายจึงจะดีที่สุดนะครับ ทุกคนอย่าลงมือ อย่าลงมือเลย…”

ชายฉกรรจ์สี่สิบกว่าคนล้อมเข้ามา แล้วก็มีสุดยอดชายฉกรรจ์ที่สูงกว่าสองเมตรหนึ่งอีกคนหนึ่งด้วย คนเอธิโอเปียจึงพากันตื่นกลัวขึ้นมา พวกเขาชูเลื่อยและสว่านไฟฟ้าขึ้นมา ขู่พวกของฉินสือโอวว่า “ไสหัวไปไกลๆ ถ้าเข้ามาอีกจะฆ่าพวกนายนะ!” “ฉันเตือนพวกนายไปแล้วนะ ถ้าเข้ามาชนโดนกับเลื่อยไฟฟ้าแล้วล่ะก็ไม่ต้องมาโทษพวกฉันล่ะ!” “ใครอยากตายก็เข้ามา ฉันจะส่งมันไปหาพระอัลเลาะห์เอง!”

ฉินสือโอวลูบจมูกไปมาแล้วก็หันหลังกลับ ชายวัยรุ่นชาวเอธิโอเปียที่อยู่หน้าเขานึกว่าเขาจากไปแล้วก็โล่งใจขึ้นมา แต่ในตอนนี้นี่เอง พอขาซ้ายของฉินสือโอวยืนมั่นแล้วขาขวาก็ถีบออกไปอย่างแรง ถีบจากด้านบนกระแทกลงมาอย่างแรง เกิดเป็นท่าขวานผ่าพิฆาตออกมา!

“ตุบ!” เสียงดังสนั่นออกมาเสียงหนึ่ง ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชายวัยรุ่นที่คุกเข่าลงกับพื้น มือข้างหนึ่งได้กุมไหล่ที่ถูกทำร้ายแล้วร้องโอดครวญออกมาว่า “โอ๊ยๆ ฆ่าพวกมันซะ! โอ๊ยๆ เจ็บจริง…”

พอฉินสือโอวลงมือแล้ว ก็เหมือนกับได้ยินคำสั่งให้ออกรบ อีวิลสันพุ่งเข้าไปก่อนเป็นคนแรก เขาเป็นเหมือนกับเสือที่เข้าไปในฝูงแกะ คนเอธิโอเปียที่สูงหนึ่งเมตรเจ็ด หนึ่งเมตรแปดพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็เป็นเหมือนกับลูกไก่อย่างไรอย่างนั้น เขาฟาดมือออกไปทีเดียวก็ทำให้คนสองสามคนล้มลงไปกับพื้นแล้ว แล้วพอเตะขาออกไปเท่านั้น ก็มีคนอีกคนหนึ่งลอยขึ้นมาก…

“ซัดเจ้าพวกลูกหมาพวกนี้เลย!” ชาร์คกำหมัดแน่นด้วยความแค้น เปียหนวดใต้คางของซีมอนสเตอร์สะบัดไปมา ในมือถือไม้เบสบอลแล้วพุ่งไปหาชายวัยรุ่น ไม้ถูกหวดไปทีหนึ่งฟาดไปโดนหน้าของชายวัยรุ่น เลือดกำเดาไหลพรวดออกมา!

ผู้คนในเมืองคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาด้วยท่าทีเดือดดาล เมืองเล็กๆต่างประเทศจะมีข้อดีตรงนี้ นั่นก็คือสามัคคีกันมาก เพราะว่าพวกเขาอยู่ไกลจากเผ่าพันธุ์และญาติพี่น้องของตัวเองมาก การมาอาศัยอยู่ที่เกาะห่างไกลแบบนี้นานๆ พอถูกรังแกก็พึ่งได้แค่พวกเพื่อนและบ้านใกล้เรือนเคียงบนเกาะมาช่วยเท่านั้น

ดังนั้น ผู้คนบนเกาะจึงมักจะสามัคคีกันมากเป็นพิเศษ ขอแค่อาศัยอยู่ที่เกาะนี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะถูกผู้คนในเมืองยอมรับว่าเป็นพวกเดียวกัน หากว่าไม่เป็นที่ยอมรับก็จะถูกขับไล่ออกไป นี่ก็คือวัฒนธรรมเมืองเล็กในแคนาดา

เมื่อกี้ฮิวจ์คนน้องถูกรุมตี พวกเขาก็อยากจะลงมือรุมตีพวกเอธิโอเปียพวกนี้ด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากขาดผู้นำ แล้วก็กลัวอาวุธในมือของพวกเอธิโอเปียด้วย ฉินสือโอวในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นผู้นำของเมืองอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เมื่อผู้คนในเมืองเห็นเขาลงมือจึงพากันลงมือตาม

เมื่อเห็นคนกว่าสองร้อยคนพากันล้อมพวกของตัวเองไว้ พวกคนเอธิโอเปียจึงได้ลิ้มรสความรู้สึกของฮิวจ์คนน้องที่ถูกพวกเขาล้อมบ้าง คนพวกนี้หวาดกลัวสุดขีด พากันเปิดเลื่อยและสว่านไฟฟ้าในมือ แล้วส่ายไปมาซ้ายขวาอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนว่า “ใครเข้ามาก็จะฆ่าคนนั้น!” “หลีกไป ให้พวกเราออกไป!” “เข้าไปพร้อมกัน ฆ่าไอ้พวกเลวนี่ให้หมดเลย!”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท