ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1726 การแข่งขันเดอะไนกี้ฮูปซัมมิท

บทที่ 1726 การแข่งขันเดอะไนกี้ฮูปซัมมิท

ในงานเลี้ยง เมื่อผู้คนพูดถึงอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินก็จะพูดถึงตระกูลมอร์รี่ด้วย ก็คือตระกูลมอร์รี่ที่ถูกฉินสือโอวกับบัตเลอร์ร่วมมือกันบีบจนเกือบจะถอนตัวออกไปจากตลาดอาหารทะเลระดับสูงนั่นแหละ

แม้ต่อหน้าจะบอกว่าคุณดีฉันดีทุกคนดี แต่ฉินสือโอวฟังออกว่าตอนที่คนพวกนี้พูดถึงตระกูลมอร์รี่ด้วยความเสียดายปะปนออกมาด้วย พวกคนขาวพวกนี้เหมือนจะไม่อยากให้แบรนด์อาหารทะเลของคนผิวเหลืองคนหนึ่งมาครองตลาดในประเทศของพวกเขานัก

น่าเสียดาย เรื่องนี้ไม่ขึ้นกับพวกเขา อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินไม่ว่าจะในด้านรสชาติหรือสารอาหารก็ล้วนโดดเด่นกว่าเจ้าอื่นทั้งนั้น การถอนตัวของตระกูลมอร์รี่เป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลแล้ว ฉินสือโอวไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมาก ได้ยินว่าบัตเลอร์แค่ทำการโปรโมตไม่กี่อย่างเท่านั้น ก็สามารถยึดตัวแทนจำหน่ายของตระกูลมอร์รี่มาได้แล้ว

แต่ว่าตอนนี้ตระกูลมอร์รี่เองก็ใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลย พวกเขาได้ลงแรงไปทำตลาดมวลชนของอาหารทะเลแทน ทำกำไรได้ดีกว่ามากด้วย น่าเสียดายที่ชีวิตดีๆ ของพวกเขาแบบนี้มีไม่มากแล้ว อาหารทะเลของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ที่พุ่งเป้าไปยังตลาดมวลชนกำลังจะเข้าไปในตลาดแล้ว ถึงตอนนั้นจะต้องสร้างแรงกดดันให้กับตระกูลมอร์รี่ได้มากแน่นอน

งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงช่วงเช้ามืดจึงจะจบลง ฉินสือโอวได้รับนามบัตรและเบอร์โทรศัพท์มามากมาย คนพวกนี้ดูออกถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมของเขากับคู่สามีภรรยาบรูซ ท่าทีที่มีให้กับเขาก็เป็นมิตรอย่างมาก พากันบอกให้เขาเข้าร่วมงานนี้กิจกรรมนั้นให้ได้

การมาชิคาโก้ของฉินสือโอวในครั้งนี้ไม่ได้มาเที่ยวเล่น เขามาเพื่อนมิเชลที่เข้าร่วมงานแข่งขันบาสเกตบอล วันที่สองเป็นวันเริ่มลงทะเบียน วิเวียนตั้งใจหาเวลาเพื่อไปส่งฉินสือโอวกับมิเชลลงทะเบียนด้วย

เสร็จจากลงทะเบียนแล้วก็คือการฝึกซ้อมภายใน ฉินสือโอวเข้าไปดู มิเชลเป็นคนที่เตี้ยที่สุดในนั้น ส่วนสูงเพิ่งจะเกินหนึ่งเมตรแปด แต่พอคิดว่าเขาเพิ่งอายุ 15 ปียังมีเวลาให้เติบโตได้อีก ดังนั้นการหากินกับบาสเกตบอลจึงไม่มีปัญหาอะไรหรอก

กีฬาบาสเกตบอลถูกมองว่าเป็นการแข่งขันของคนยักษ์ แม้ว่าจะมีพวกไอเวอร์สัน กับพอลพอยต์การ์ดที่แม้จะตัวเตี้ยแต่กลับเต็มไปด้วยความสามารถตั้งแต่กำเนิด แต่ก็ยังคงไม่ส่งผลต่อความรู้สึกที่ผู้คนมีให้กับกีฬาชนิดนี้อยู่ดี

ในสนามฝึกซ้อมได้มีคนเริ่มวอร์มร่างกายและฝึกชู้ตลูกแล้ว กัวซงวอร์มร่างกายพร้อมกับมิเชล ทั้งสองคนเดินไปยังจุดที่ว่างอยู่

ฉินสือโอวยืนอยู่ข้างสนามสำรวจดูเหล่าอัจฉริยะในกลุ่มนักกีฬาบาสเกตบอลระดับโลกรุ่นเยาว์พวกนี้ เขามองไปพลางรู้สึกโชคดีไปพลาง ดีที่เขาจ้างกัวซงที่เป็นกึ่งมืออาชีพคนนี้มาฝึกซ้อมให้มิเชล วัยรุ่นคนอื่นๆ ล้วนมีทีมมืออาชีพมาฝึกซ้อมให้กันทั้งนั้น เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้มิเชลพอดูเหมือนนักกีฬาน้องใหม่ขึ้นมาบ้าง

งานการแข่งขันเดอะไนกี้ฮูปซัมมิทจัดขึ้นครั้งแรกในปี 1995 จัดขึ้นต้นเดือนกรกฎาคมของทุกปี จุดเด่นที่สุดของงานนี้ก็คือการแข่งขัน เป็นการแข่งขันระหว่างการรวมกลุ่มของนักกีฬาที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายทั่วอเมริกากับทีมนักกีฬานานาชาติอายุระหว่าง 15-17 ปีที่ไม่ใช่สัญชาติอเมริกา

ทุกปีการแข่งขันแบบนี้จะดึงดูดแมวมองจาก NBA และตัวแทนทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยได้เป็นจำนวนมาก โดยทั่วไปหลังจากเข้าร่วมการแข่งขันนี้แล้วก็มักจะถูกโรงเรียนบาสเกตบอลชื่อดังของอเมริกาคัดตัวไปด้วย

อเมริกาเป็นประเทศที่มีโรงเรียนบาสเกตบอลที่มืออาชีพและมากที่สุดในโลก พวกเขายินดีที่จะมอบทุนการศึกษาจำนวนมากให้แก่เหล่านักบาสเกตบอลอัจฉริยะ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งดาวบาสอัจฉริยะพวกนี้พวกเขาทุ่มไม่อั้นเลย

น่าเสียดาย พื้นฐานการเรียนของมิเชลแย่มาก แม้ว่าจะทำการข้ามชั้นมาตลอด แต่นี่ก็เพิ่งขึ้นเกรดแปดเท่านั้น ยังคงห่างกับชั้นมัธยมปลายอีกก้าวหนึ่งแหนะ ยิ่งมหาวิทยาลัยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ฉินสือโอวดูรายชื่อนักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขัน มิเชลเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดด้วย แน่นอนว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุดด้วย เขาเดาว่าที่มิเชลได้รับคำเชิญนั้น น่าจะเป็นฝีมือของคู่สามีภรรยาบรูซ ไม่อย่างนั้นหากดูจากชื่อเสียงและฝีมือแล้ว ไนกี้ไม่มีทางเชิญมิเชลที่เป็นนักเรียนมัธยมต้นมาร่วมแข่งด้วยหรอก

คนที่มาลงทะเบียนก่อนเป็นนักกีฬานานาชาติ พวกเขาแม้จะดูตัวสูงใหญ่ แต่หน้าตายังมีกลิ่นอายของเด็กอยู่ แต่ละคนก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย

ฉินสือโอวสำรวจดูนักกีฬาทีมนานาชาติทีละคน ยิ่งดูยิ่งหดหู่ใจ ให้ตายสิทำไมตัวสูงใหญ่ขนาดนี้? แม้แต่พอยต์การ์ดก็ยังสูงกว่าหนึ่งเมตรเก้าสิบห้าเลย ในกลุ่มพวกเขามิเชลดูเป็นเด็กไปเลยจริงๆ

ตามด้วย การเข้ามาในสนามของเหล่าอัจฉริยะชาวอเมริกันระดับมัธยมปลาย ตอนนี้นี่เองที่ในใจของฉินสือโอวเพิ่งจะรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย ความสูงของนักกีฬาชาวอเมริกันค่อนข้างหลากหลาย มีพอยต์การ์ดที่สูงหนึ่งเมตรแปด และก็มีเซนเตอร์ที่สูงสองเมตรหนึ่งด้วย

มิเชลมีนิสัยค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว หลังจากเข้าไปในสนามแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาวอร์มร่างกายอย่างเดียว หลังจากวอร์มร่างกายเสร็จแล้วก็เริ่มทำท่าจู่โจมโดยมือถือบอลทั้งสองข้างเพื่อฝึกทักษะการใช้มือทั้งสองข้างเลี้ยงบอล

ฉินสือโอวอยากให้มิเชลไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทีมของเขา แต่เมื่อเห็นว่าพวกวัยรุ่นของทีมนานาชาติก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน ความคิดนี้จึงตกไป

แต่พอมองดูทีมของชาวอเมริกันท้องถิ่นแล้ว เหล่าวัยรุ่นพวกนั้นวางตัวสบายมาก พวกเขาเจอหน้ากันแล้วก็ทักทายกันเลย แม้ว่าจะไม่รู้จักแต่เพราะการแนะนำจากเพื่อนก็ทำให้รู้จักกันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขารวมกลุ่มพูดคุยหัวเราะกัน ท่าทางมีความสุขมาก ต่างกับทางทีมนานาชาติที่เคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย

นี่เป็นเรื่องปกติ คนทุกคนในทีมนานาชาติล้วนไม่รู้จักกัน แม้กระทั่งภาษาที่ใช้ในการสนทนาระหว่างพวกเขาก็ยังเป็นปัญหาเลย แต่ทางทีมอัจฉริยะอเมริกันนั้นล้วนเคยประมือกันมาก่อนแล้ว และถึงแม้จะไม่เคยประมือกันมาก่อน พวกเขาก็รู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันจากสื่อข่าวอยู่ดี จึงคุ้นเคยกันและกันอย่างมาก

งานการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นหนึ่งสัปดาห์ เหล่าวัยรุ่นมีเวลาทำความรู้จักกันห้าวัน หลังจากจบการแข่งขันแล้วก็จะมีเวลาอีกสองวันที่จะได้รับคำแนะนำจากดาวบาสเกตบอลและโค้ชมืออาชีพที่ทางไนกี้เชิญมาด้วย เป็นโอกาสที่ดีมากอันหนึ่งเลย

สองวันหลังจากนั้น ฉินสือโอวได้มาฝึกซ้อมเป็นเพื่อนกับมิเชล เหล่าอัจฉริยะทีมนานาชาติเป็นพวกสุขุมอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาน่าจะเป็นคนดังในประเทศของตัวเองในระดับหนึ่ง ในใจจึงมีความหยิ่งทระนงพอสมควร แทบจะไม่มีใครไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทีมก่อนเลย ล้วนพากันรอให้คนอื่นมาทักทายตัวเองก่อนทั้งนั้น

มิเชลเองก็เงียบไม่พูดคุยเหมือนกัน วันๆ เอาแต่ฝึกร่างกาย ฝึกบังคับบอล ฝึกส่งบอลและชู้ตบอล ถ้าฉินสือโอวกับกัวซงไม่พูดกับเขาแล้ว เขาก็จะปิดปากเงียบตลอดวันเลย

เมื่อเป็นแบบนี้จึงต้องเป็นโค้ชและพ่อแม่ที่เป็นฝ่ายมาพูดคุยกันเอง พอรู้จักกันแล้วค่อยแนะนำเด็กๆ อีกที ซึ่งก็ใช้เวลาไปอีกสองวัน ในที่สุดก่อนงานแข่งขัน เหล่าวัยรุ่นก็รู้จักกันหมดเสียที

คืนวันที่ 14 เดือนกรกฎาคม การแข่งขันได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ มิเชลผู้เงียบขรึมได้ถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นหลักในทีมนานาชาติ เขาเข้าสนามในตำแหน่งพอยต์การ์ด เรื่องนี้ทำให้วัยรุ่นคนอื่นๆ รู้สึกไม่พอใจกันอย่างมาก พวกเขารู้สึกว่ามิเชลไม่มีทั้งชื่อเสียงและฝีมือ ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้เล่นหลักเลย

ฉินสือโอวรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ที่มิเชลสามารถเป็นผู้เล่นหลักได้ แน่นอนว่าต้องขอบคุณคู่สามีภรรยาบรูซนั่นแหละ ตอนที่พวกเขาเป็นสปอนเซอร์ให้ไนกี้พวกเขาได้แจ้งแล้วว่าต้องให้มิเชลเป็นผู้เล่นหลัก แต่ว่าก็ไม่ใช่เป็นการใช้เส้นสายทั้งหมดเสียทีเดียว ทีมโค้ชที่ทางไนกี้ส่งมาให้ทีมนานาชาติได้ยอมรับในฝีมือของมิเชลด้วย ผู้เล่นหลักที่หัวหน้าโค้ชประกาศคนแรกก็คือมิเชล

บัตรเข้าชมการแข่งขันในครั้งนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ในชิคาโก้มีการถ่ายทอดสด ส่วนประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศก็ทำการซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดไปแล้ว ดังนั้นผู้ที่ชมการแข่งขันจึงมีไม่น้อยเลย

ฉินสือโอวพาพวกเด็กๆ ไปนั่งกันที่แถวแรก พวกกอร์ดอนถือป้ายอยู่ในมือ บนนั้นเขียนคำจำพวก ‘ปีศาจสาวมาเยือนอเมริกา’ และ ‘ราชันย์ปีศาจผู้ครองความหวาดกลัว’ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้มิเชล

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท