ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1616 เสริมความแข็งแรงให้กับเล้า

บทที่ 1616 เสริมความแข็งแรงให้กับเล้า

มีวิธีหาเงินค่าขนมอีกแล้ว เหล่าวัยรุ่นดีใจกันจนไม่รู้จะดีใจอย่างไร พากันกระโดดโลดเต้นรอให้ฉินสือโอวออกคำสั่ง

งานที่ต้องทำครั้งนี้ชัดเจนมาก นั่นก็คือตรวจเช็กและเสริมความแข็งแรงให้กับเล้า เกาะแฟร์เวลฝนเยอะลมแรง เพราะว่าทั้งสี่ทิศถูกล้อมไปด้วยทะเล ทำให้อากาศบนเกาะชื้นอย่างมาก ส่วนที่อยู่ใต้พื้นดินของไม้พวกนี้จึงแทบจะผุไปหมดแล้ว

ฉินสือโอวยื่นมือออกไปจับรั้วไม้แท่งหนึ่งแล้วเขย่าไปมา มองดูแล้วถือว่าค่อนข้างแข็งแรงอยู่ แต่ว่าพอเขาออกแรงอีกนิด แท่งไม้ก็ดังเสียง ‘แกร๊ก’ ขึ้นมา ไม้ถูกเขาหักไปเสียแล้ว

เมื่อเห็นช่องว่างปรากฏออกมา เหล่าไก่เป็ดห่านหมูก็รีบรุมกันเข้ามาทันที พากันยื้อแย่งกันเพื่อที่อยากจะมุดออกไปจากช่องนี้ให้ได้

ตอนนี้ฉงต้าวิ่งเข้ามา เอาหัวอุดไว้ตรงช่องโหว่นั้น แล้วมองไปที่สัตว์พวกนั้นด้วยหน้าตาถมึงทึง ความน่าเกรงขามของหมีสีน้ำตาลแรงกล้าไม่มีใครเทียบได้ แค่ฉงต้าปรากฏตัวเท่านั้น เจ้าตัวเล็กที่ตอนแรกคิดจะหนีออกไปก็พากันกลัวจนแย่งกันถอยหลังไปหมด

ฉินสือโอวส่ายหัวอยู่ข้างๆ พูดว่า “เจ้าพวกนี้นี่อยากเป็นอิสระกันมากจริงๆ นะเนี่ย”

แบล็คไนฟ์ไปขนแท่งไม้จำนวนมากมาจากในโกดัง ส่วนบีบีซวงก็ขับรถไปในเมืองเพื่อซื้อของจำพวกลวดเหล็กกับลวดสลิง อีกสักพักหากเอาทุกอย่างมารวมกันก็จะได้เป็นตาข่ายที่แข็งแรงทนทานออกมาแล้ว

กินข้าวเช้าเสร็จเริ่มทำงาน ฉินสือโอวอุ้มท่อนไม้กองหนึ่งไปวางไว้ข้างเล้า ตอนนี้บูลได้ขับแลนด์โรเวอร์ของเขาเข้ามา หลังจากลงรถแบกเถียนกวาไว้บนไหล่ พอเจอฉินสือโอวแล้วก็พูดว่า “บอส ผมมาส่งเจ้าหญิงของบ้านคุณให้แล้วครับ”

ฉินสือโอวทำงานไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ไม่เป็นไร ไม่รีบ นายให้เธอไปเล่นกับลูกชายนายอีกหน่อยแล้วกัน”

พอได้ยินคำนี้แล้ว บูลก็แทบจะร้องไห้ออกมา พูดว่า “อย่าเลยครับ บอส คุณปล่อยลูกชายผมไปเถอะ กว่าผมจะเลี้ยงเขามาได้โตขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ เจ้าหญิงของบ้านคุณมาอยู่กับผมเนี่ย เกรงว่าลูกชายผมคงต้องถูกทำให้ตกใจจนตายแน่!”

ไม่ต้องบอกก็รู้ เถียนกวาไปแกล้งเด็กอ้วนอีกแล้ว ฉินสือโอวไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ ทำไมยัยคนนี้ถึงนิสัยนักเลงขนาดนี้นะ เขากับวินนี่ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา ตอนแรกเขายังคิดว่าการที่ยัยตัวเล็กกับเด็กอ้วนเติบโตด้วยกันเป็นเรื่องดี แม้ว่าต่อไปจะไม่ได้แต่งงานกัน แต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนหวานใจวัยเด็กได้

แต่พอดูจากตอนนี้แล้ว เด็กอ้วนไม่มีทางเป็นเพื่อนสนิทกับยัยตัวเล็กเด็ดขาด แน่นอนว่ายัยตัวเล็กก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ในสายตาของเธอเด็กอ้วนเป็นแค่ของเล่นที่น่าเล่นเท่านั้น ทุกครั้งที่เจอกันก็จะกลั่นแกล้งเด็กอ้วนตลอด เหมือนกับที่เธอกลั่นแกล้งหมีโลลินั่นแหละ

บูลมาได้ถูกเวลาพอดีเลยจะได้มาทำงานแทนเขา ส่วนเขาก็จะไปดูแลเถียนกวา วินนี่กำลังหลับพักผ่อนอยู่นี่ งานนี้จึงต้องยกให้เขาแล้ว

เขาไม่มีอะไรจะมาเล่นกับเถียนกวา จึงพาเธอไปเล่นชิงช้ากับสไลเดอร์ที่ชายหาด

เถียนกวาเล่นคนเดียวสักพักก็เริ่มเบื่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สองแมวน้ำตัวอ้วนได้ลุกขึ้นมาด้วยท่าทีต้วมเตี้ยม พวกมันน่าจะเป็นแค่สองตัวในฟาร์มปลาที่ชอบเถียนกวาแล้วล่ะ พูดถึงแล้วก็แปลก เถียนกวาแกล้งเจ้าตัวเล็กทุกตัว แต่กลับไม่แกล้งแมวน้ำสองตัวนี้เลย

เมื่อเห็นแมวน้ำ เถียนกวาก็ไถลลงมาจากสไลเดอร์ อุ้มแมวน้ำตัวหนึ่งแล้วลากไปทางสไลเดอร์ หลังจากลากมาแล้วก็ใช้มือดันแมวน้ำเพื่ออยากจะให้มันขึ้นไปบนสไลเดอร์ พูดว่า “ปีน ปีน เด็กดีปีน”

ฉินสือโอวมองดูแล้วก็ส่ายหัวพร้อมหัวเราะ ยัยตัวเล็กถึงขั้นคิดจะดันแมวน้ำขึ้นไปบนสไลเดอร์เลยเหรอ นั่นแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้หรอก สไลเดอร์ลื่นออกขนาดนั้น ไม่ว่าแมวน้ำจะพยายามปีนป่ายแค่ไหนก็ปีนไม่ขึ้นหรอก

เขาเห็นแมวน้ำอีกตัวกำลังรออยู่ด้านข้างอย่างร้อนใจเพราะอยากจะปีนขึ้นไปด้วย จึงพามันมาอยู่หน้าบันไดของสไลเดอร์ แล้วสอนมันปีนบันได

แมวน้ำสองตัวนี้ได้ถูกเขาถ่ายเทพลังโพไซดอนให้เป็นพิเศษ จึงทั้งฉลาดและหลักแหลม ฉินสือโอวทำท่าทางสาธิตให้ดูไม่กี่ทีพวกมันก็ทำเป็นแล้ว ร่างกายที่อ้วนท้วมได้ถอยไปด้านหลัง แล้วก็กระโดดพุ่งไปข้างหน้าเหมือนงูที่พุ่งจู่โจม พอกระโดดขึ้นไปบนบันไดแล้วก็ใช้มือจับไว้แน่น ทำแบบนี้อยู่หลายทีสุดท้ายก็สามารถกระโดดขึ้นไปบนยอดของสไลเดอร์ได้สำเร็จ

หลังจากกระโดดขึ้นไปแล้ว แมวน้ำก็ชะโงกหัวไปมามองไปด้านล่าง ปากล

ส่งเสียงร้อง ‘อุ๋งๆ’ ออกมา แล้วก็ใช้หัวพุ่งลงไปบนกระดานสไลเดอร์แล้วก็ไถลลงไป

ทีนี้ด้านล่างยังมีแมวน้ำตัวหนึ่งที่กำลังนั่งบื้ออยู่ตรงนั้นเพราะคิดจะปีนผ่านกระดานสไลเดอร์ขึ้นไป แมวน้ำด้านบนสไลด์ลงมา ทำให้ไปทับลงบนตัวมันพอดี พอมีพี่น้องช่วยเอาตัวเป็นเบาะให้แบบนี้ ทำให้แมวน้ำตัวนั้นสนุกสุดเหวี่ยง หลังจากลงมาแล้วก็กระโดดโลดเต้นไปหาบันไดเพื่อกระโดดขึ้นไปอีก

เมื่อเห็นว่ามีเพื่อนที่สามารถเล่นกับตัวเองได้แล้ว เถียนกวาดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ เธอขยับขาสั้นๆ ของเธอวิ่งไปทางบันได ปีนขึ้นไปตึงๆๆ แล้วก็ ‘วิ้ว’ สไลด์ลงไป ก้นน้อยๆ ลงไปนั่งลงบนตัวของแมวน้ำที่เมื่อกี้โดนชนคว่ำแล้วยังไม่ทันลุกขึ้นมาพอดี

เมื่อพบว่าการสไลด์ลงไปบนตัวของแมวน้ำรู้สึกดีกว่าลงไปนั่งบนหาดทรายเยอะเลย ยัยตัวเล็กก็ดีใจจนสุดขีด หัวเราะคิกคักแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “ป่าป๊า ป๊าปีน มีนุ่มๆ!”

ทางนี้เธอเพิ่งลงมา แมวน้ำอีกตัวก็ปีนขึ้นไปด้านบนของสไลเดอร์พอดี หัวพุ่งดิ่งลงไปด้านล่าง ท่าเดียวกับที่สไลด์ลงไปเมื่อกี้ แล้วก็สไลด์ลงไปบนตัวของแมวน้ำอ้วนด้วยเหมือนกัน

แมวน้ำอ้วนทนไม่ไหวแล้ว มันพยายามพลิกตัวลุกขึ้น ใช้ทั้งครีบและหาช่วยพยุง พยายามสุดฤทธิ์เพื่อหนีออกไปด้านข้าง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอยู่ที่นี่เพื่อเป็นเบาะรองอีกแล้ว

เถียนกวาเห็นแบบนี้แล้วก็ไม่พอใจ วิ่งเข้าไปดึงหางและครีบของแมวน้ำอ้วนไว้ กัดฟันน้ำนมแน่นลากมันให้ถอยหลังมา เธอลากพลางตะโกนไปพลางว่า “เป็นนุ่มๆ เป็นนุ่มๆ เป็นนุ่มๆ!”

แมวน้ำอีกตัวก็พุ่งเข้ามาด้วย ใช้ฟันกัดแมวน้ำอ้วนตัวนั้น ไม่ยอมให้มันหนีไป

แมวน้ำอ้วนโชคร้ายอย่างที่สุด สุดท้ายจึงได้แต่กลับไปใต้สไลเดอร์อย่างจำใจ แล้วก็แอ่นก้นหมอบอยู่ตรงนั้นเพื่อเป็นเบาะนุ่มต่อไป

ฉินสือโอวเล่นเป็นเพื่อนเถียนกวาอยู่สักพัก ในที่สุดวินนี่ก็ล้างหน้าล้างตาออกมา เธอบิดขี้เกียจพร้อมทั้งใช้สายตาที่แลดูเหมือนจะหัวเราะมองไปที่ฉินสือโอว พูดว่า “ที่รัก คุณจะกลับไปนอนต่ออีกสักพักไหมคะ? เมื่อคืนเหนื่อยมากใช่ไหม?”

เวลานี้ต้องห้ามเผยความอ่อนแอออกมาเด็ดขาด ท่านชายฉินจึงตบอกแล้วพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร นี่มีอะไรให้เหนื่อยเหรอ? คืนนี้เอาอีก!”

วินนี่เผยยิ้มออกมา ตาเป็นประกาย พูดว่า “ไม่เพียงแค่คืนนี้ ต่อไปทุกคืนวันหยุดก็เอาแบบนี้อีก”

คราวนี้ฉินสือโอวเข่าอ่อนแล้วจริงๆ

เขายกเถียนกวาให้วินนี่ แล้วก็ไปช่วยซ่อมเล้าต่อ ทางฝั่งแมวน้ำอ้วนที่ถูกทรมานมานานในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว มันวิ่งหนีสุดชีวิต มุ่งหน้าไปยังทะเลโดยไม่หันหลังกลับอีกเลย เถียนกวาอยากจะไปดึงมันไว้แต่ก็ดึงไม่ไหว จึงทำได้แต่มองดูแมวน้ำอ้วนจากไปอย่างไม่สบอารมณ์

ไม่มีแมวน้ำอ้วนแล้ว แต่ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งตัว ดังนั้นเถียนกวาจึงลากมันให้มันไปเป็นนุ่มๆ ให้ แมวน้ำตัวนั้นก็เฉลียวฉลาดมากเหมือนกัน ให้ตายสิเรื่องแบบนี้มันก็ไม่เอาด้วยหรอก ทรมานมากเลยนะนั่น ดังนั้นมันเองก็วิ่งหนีไปอย่างไม่หันกลับมาด้วยเหมือนกัน

พอเถียนกวาเห็นว่าไม่มีแมวน้ำมาเป็นเบาะรองให้แล้วก็นิ่งไปทันที เบะปากอยากจะร้องไห้ วินนี่เข้าไปปลอบเธอ เธอดึงข้อมือของวินนี่ด้วยท่าทีน่าสงสารพูดว่า “หม่าม๊า มาเป็นนุ่มๆ?”

วินนี่ปลอบเธอว่า “พวกเราไปขี่ม้ากัน ให้ม้าเป็นนุ่มๆ ดีไหมคะ?”

ยัยตัวเล็กส่ายหัว แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก วินนี่อุ้มเธอขึ้นไปขี่บนเปากง แล้วก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยกันในฟาร์มปลา

เถียนกวานั่งอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ตอนแรกเถียนกวาไม่ตายใจยังอยากจะไปเล่นสไลเดอร์อีก แต่หลังจากถูกวินนี่ขู่ไปหลายทีเธอจึงไม่มีทางเลือก ทำได้แต่สงบลง จากนั้นเธอก็เจอเข้ากับของเล่นใหม่ สองมือจับอานม้าไว้แล้วมองไปที่เปากงอย่างครุ่นคิด

เปากงได้เผยท่าทีสง่างามของม้าของมันออกมา มันวิ่งช้าๆ ภายใต้การบังคับของวินนี่ ลมทะเลพัดผ่าน ผมตรงคอได้พัดปลิวไสวไปกับสายลม เป็นความงดงามที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้

เถียนกวาดูแล้วก็รู้สึกสนใจ จึงยื่นมือไปดึงผมของมัน ตอนนี้กลายเป็นเปากงที่ต้องเจ็บปวดแล้ว…

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท