ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1731 อนาคตอันสว่างไสว

บทที่ 1731 อนาคตอันสว่างไสว

ต่างคนต่างความฝัน ฉินสือโอวไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรกับสแตนลีย์ได้ ดูจากท่าทีรังเกียจตอนที่พูดถึงห้องครัวเมื่อกี้นี้แล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงการเลือกอาชีพของสแตนลีย์ได้

แต่ว่าเขาก็ยังแปลกใจ จึงถามว่า “ในเมื่อคุณเกลียดการทำอาหารขนาดนั้น แล้วทำไมถึงยังทำอาหารที่วิเศษขนาดนั้นออกมาได้ครับ? มีแต่ใจรักเท่านั้น จึงจะสามารถทำออกมาได้ดี ไม่ใช่เหรอครับ?”

สแตนลีย์หัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “นี่น่ะเป็นแค่ยาบำรุงทางใจครับ ตั้งแต่ผมอายุหกขวบก็เริ่มเรียนรู้การจับคู่อาหารกับพ่อแล้วก็คุณปู่แล้ว จากนั้นก็เรียนการแกะสลักอาหาร ตุ๋นซุป จนถึงอายุยี่สิบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นเวลารวมสิบสี่ปี ที่ผมต้องเรียนรู้ว่าจะเป็นเชฟฝีมือดีคนหนึ่งได้อย่างไร ให้ตายสิ นั่นน่ะเป็นช่วงเวลาดำมืดช่วงหนึ่งในชีวิตของผมเลยนะครับ”

พูดจบ หน้าเขาก็เผยท่าทีโกรธเคืองออกมา “ตระกูลของผมหัวโบราณมาก พวกเขาคิดว่าผู้ชายทุกคนของตระกูลคาร์ลเบิร์ตควรจะเป็นเชฟฝีมือพระกาฬกันทุกคน จึงไม่อนุญาตให้ผมไปทำงานอดิเรกอย่างอื่น และก็ไม่อนุญาตให้ผมมีความรักด้วย ความสนใจทั้งหมดจะต้องมีให้กับห้องครัวเท่านั้น ดังนั้นตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ได้แอบสาบานไว้ ต่อไปผมจะต้องเป็นคนคุมเชฟพวกนี้ ผมจะไม่เป็นเชฟเด็ดขาด!”

ฉินสือโอวสามารถนึกภาพออก หนุ่มน้อยสแตนลีย์ที่ทำอาหารอยู่ในห้องครัวได้แอบสาบานกับตัวเองลับๆ ดูไม่ออกว่าจะเป็นเด็กหนุ่มผู้ต่อต้านนะเนี่ย

“คุณพ่อของผมเสียชีวิตไป ผมเลยช่วยเขาดูแลร้านอาหารเป็นเวลาหนึ่งปี นั่นน่ะเป็นน้ำพักน้ำแรงและอาชีพของเขา แต่ไม่ใช่ของผม ดังนั้นผมจึงดูแลต่อแค่หนึ่งปี เดือนที่แล้วผมได้ปิดกิจการไปแล้ว เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจครับ” สแตนลีย์พูด

เรื่องจากนั้นไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เรื่องที่สนใจจะต้องเป็นการดูแลพวกเชฟ และเป็นผู้จัดการของร้านอาหารแฟรนไชส์แน่นอน ฉินสือโอวได้เตรียมจะทำร้านอาหารแบรนด์ตัวเองตั้งแต่สองปีที่แล้วๆ แต่ว่าเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ เขาถามสแตนลีย์อย่างสงสัยว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร

สแตนลีย์หัวเราะเคอะเขินแล้วพูดว่า “คุณบัตเลอร์มาบอกผมครับ ตอนที่คุณพ่อผมดูแลร้านอาหารได้ใช้อาหารทะเลของตระกูลมอร์รี่มาตลอด ต่อมาพอผมได้มาดูแลต่อ คุณบัตเลอร์ก็ได้มาโน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนซัพพลายเออร์ เพราะแบบนี้แหละครับทำให้ผมได้รู้ว่าคุณได้เตรียมเปิดร้านอาหารแบรนด์ตัวเองอยู่”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว ถึงว่าสิปีที่แล้วที่เขาไปร้านอาหารของสแตนลีย์นั้น รู้สึกมาโดยตลอดว่าเจ้าหมอนี่เหมือนกำลังมีแผนอะไรอยู่ ที่แท้เขาก็ได้วางแผนกับตัวเองไว้จริงๆ ด้วย

ทุกอย่างที่สแตนลีย์พูดมาไม่มีปัญหา แต่ฉินสือโอวยังคงถามแบบเปิดอกต่อไปอีกว่า “โอเค หรือก็คือว่าตั้งแต่เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่ทันได้เริ่ม คุณก็ได้ทำการวางแผนจะมาร้านของผมแล้วสินะ? ทำไมครับ? ผมหมายถึงว่าทำไมคุณถึงรู้สึกสนใจกับร้านอาหารของผมขนาดนี้ครับ?”

หากเรื่องผิดปกติแสดงว่าต้องมีนัย ท่านชายฉินไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะมีบารมีอะไรเทือกนั้น พอเตรียมจะเปิดร้านอาหารแล้วก็มีคนที่มีความสามารถด้านการบริหารมาขอร่วมงานด้วย ขอเถอะ เขาคือฉินเจ้าของฟาร์มปลานะ ไม่ใช่ฉินสื่อหวง

เขาต้องถามเรื่องนี้ให้ละเอียด เพราะถ้าเกิดเชิญหมาป่าเข้าบ้าน งั้นร้านอาหารของเขาล้มละลายยังเป็นเรื่องเล็ก แต่การหาเรื่องให้ตระกูลฮิลตันนี่สิที่น่ากลัว

ไม่ป้องกันไม่ได้ กับสแตนลีย์เขาแทบไม่รู้จักเลย เจ้าหมอนี่กับตระกูลมอร์รี่มีความเกี่ยวข้องกันนิดหน่อย อย่างน้อยก็พ่อของเขามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมอร์รี่ ถือว่าเป็นคนที่มีความเสี่ยงสูง

แม้ถูกเขาตามกดดันแบบนี้ สแตนลีย์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ แต่กลับดีใจขึ้นมา พูดว่า “คุณฉิน คุณต้องรู้ถึงพลังที่อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินมีก่อนนะครับ แน่นอนว่าผมต้องสนใจร้านอาหารของคุณ เพราะว่าผมเข้าใจเบื้องหลังของตลาดที่อาหารทะเลพวกนี้เป็นตัวแทนดี ขอแค่มีเชฟอาหารทะเลมืออาชีพ ฟาร์มปลาของคุณก็จะไม่ใช่ฟาร์มปลาทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นฟาร์มปลาที่ส่งวัตถุดิบให้กับสุดยอดร้านอาหารเลยนะครับ!”

ฉินสือโอวพยักหน้า แน่นอนว่าเขาเข้าใจดี ไม่อย่างนั้นจะมาวางแผนทำอาหารแบรนด์ต้าฉินให้ดังขึ้นมาทำไม ไหนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ร่วมมือกับตระกูลฮิลตันอีก การทำทั้งหมดนี้ก็คือที่จะสร้างอาณาจักรอาหารของตัวเองขึ้นมา

เมื่อเห็นเขาพยักหน้า สแตนลีย์ก็ยิ่งดีใจ พูดต่อว่า “ผมมีแผนงานอันหนึ่งครับ คุณฉิน โรงแรมฮิลตันเป็นเพียงที่ฟักไข่ของพวกเราเท่านั้น เราควรใช้อาหารทะเลเกรดค่อนข้างต่ำในฟาร์มปลาไปให้ร้านอาหารในโรงแรมใช้ เพราะว่าโรงแรมฮิลตันไม่ได้เป็นตัวแทนของตลาดการบริโภคระดับสูง พวกเราควรจะทำการแบ่งระดับคุณภาพของอาหารทะเล โดยอ้างอิงจากระดับการใช้จ่ายที่ต่างกันในการแบ่งเกรดอาหารทะเลพวกนี้”

“เราสามารถยืมแรงของฮิลตัน ในการขยายร้านอาหารต้าฉินไปทั่วโลก เมื่อถึงตอนที่สัญญาสิ้นสุดลงแล้วเราก็ถอนตัวออกมา แล้วทำการเปิดร้านอาหารระดับสูงในท้องถิ่นด้วยตัวเอง จะต้องสามารถยึดตลาดร้านอาหารระดับสูงไปทุกพื้นที่ทั่วโลกได้อย่างแน่นอน”

ฉินสือโอวมองไปที่สแตนลีย์ด้วยสายตาประหลาดใจ เฮ้ย ไม่เสียแรงที่เจ้าหมอนี่เป็นมือดีมืออาชีพในการบริหารโรงแรมนะ คิดการณ์ไกลกว่าตัวเองเยอะเลย ที่เขาคิดไว้ก็แค่ยืมแรงโรงแรมฮิลตันในการขยายอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าสแตนลีย์โหดกว่าอีก เขาคิดจะยืมไก่มาออกไข่พอหลังจากที่ไข่ฟักออกมาเป็นหงส์แล้วก็จะถีบส่ง

แต่ไม่พูดไม่ได้ว่า แผนการนี้สามารถทำได้จริง เพราะว่าทางโรงแรมฮิลตันไม่เคยเห็นเขาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่น่านับถืออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาพาพวกเบิร์ดไปเยี่ยมเยียน ตาแก่ฮิลตันก็คงไม่วางอำนาจกับเขาเพื่อให้เขาอยากถอนตัวไปเองหรอก

ตระกูลฮิลตันไม่มีทางผูกมัดร้านอาหารไว้แน่นอน เพราะพวกเขาต้องรู้สึกว่าร้านอาหารคือผีดูดเลือดที่เกาะอยู่บนตัวของโรงแรม ซึ่งความจริงก็เป็นอย่างนั้น ในสัญญาฉบับร่างช่วงแรกมีหลายเงื่อนไขเลยที่เป็นเต็มไปด้วยการเหยียดหยามและบังคับ ขอแค่ร้านอาหารต้าฉินทำผิดข้อใดข้อหนึ่งอย่างเช่นหากว่าความสะอาดไม่ได้มาตรฐานล่ะก็ พวกเขาก็จะทำการยกเลิกสัญญาทันที

ตระกูลฮิลตันมองไม่เห็นถึงอัตราการครองตลาดของร้านอาหารแบรนด์ต้าฉิน พวกเขาเห็นเขาเป็นเพียงแค่ซัพพลายเออร์อาหารทะเลเท่านั้น แต่สแตนลีย์ไม่เหมือนกัน เขาสามารถมองเห็นถึงข้อได้เปรียบอันน่ากลัวของการเป็นซัพพลายเออร์นี้ พอข้อได้เปรียบพวกนี้เปลี่ยนไปอยู่ในร้านอาหารแล้ว ก็เท่ากับว่าร้านอาหารมีข้อได้เปรียบที่น่ากลัวนี้นั่นเอง

ความคิดเห็นที่สแตนลีย์ให้มาพูดได้ตรงจุดมาก แผนงานที่เขาวางให้แบรนด์ก็ทำให้ฉินสือโอวเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เพราะเหตุนี้ ฉินสือโอวไม่อยากจ้างเขาโดยง่าย ถ้าหากว่าเขาไม่ได้มาดีล่ะ?

มีคุณธรรมไม่มีฝีมือสามารถใช้ทำงานเล็กได้ มีคุณธรรมมีฝีมือจึงจะใช้งานได้เต็มที่ ไม่มีคุณธรรมไม่มีฝีมือไม่สามารถเลือกใช้ ไม่มีคุณธรรมมีฝีมือต้องระมัดระวังในการเลือกใช้

ฉินสือโอวยังไม่รู้ว่าสแตนลีย์ถือเป็นพวกไหน ตอนแรกร้านอาหารต้าฉินก็ไม่อะไรหรอก แต่พอสแตนลีย์มาพูดแบบนี้แล้ว เขาถึงค้นพบว่า แบรนด์ร้านอาหารนี้แหละที่จะเป็นจุดสูงสุดในการพัฒนาฟาร์มปลาของเขา

การที่ฟาร์มปลาทำการส่งอาหารทะเลไปขายอย่างเดียว ก็จะเป็นได้แค่ซัพพลายเออร์ไปตลอดกาล มากสุดก็คือสามารถส่งวัตถุดิบให้กับร้านอาหารระดับสูง สามารถเรียกว่าเป็นซัพพลายเออร์ระดับสูงได้ มีแค่การนำอาหารทะเลมาเปลี่ยนให้เป็นอาหาร ไม่เพียงแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น ตำแหน่งเถ้าแก่ของฉินสือโอวก็สามารถสูงขึ้นตามด้วย

จากนั้นฉินสือโอวก็ไม่พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับแบรนด์ร้านอาหารอีก เขาชวนให้สแตนลีย์พูดถึงเรื่องที่น่าสนใจตอนเขาอยู่ที่ตะวันออกกลาง อย่างเช่นเขาเคยถูกคนโยนระเบิดใส่ไหม หรือไม่ก็เขาเคยเห็นการก่อการร้ายหรือเปล่า หรือไม่ก็เขาเคยถูกคนใช้ปืน AK ส่องหรือเปล่าเป็นต้น

สแตนลีย์ก็เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นฉินสือโอวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องสมัครงานหรือร่วมงานกันอีก เขาให้ความร่วมมือในการคุยถึงประสบการณ์ของเขาในตะวันออกกลาง

ลับหลังแล้ว ฉินสือโอวโทรศัพท์หาพนักงานบริการของบริษัทเอ็กเพรส เพื่อให้พวกเขาหานักสืบเอกชนมือดีช่วยตรวจสอบพื้นหลังของสแตนลีย์กับผู้คนที่เขาติดต่อด้วย

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน