ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1734 อนุญาตเข้าตลาด

บทที่ 1734 อนุญาตเข้าตลาด

ฉินสือโอวมีความสุขอย่างล้นหลามที่ได้กินไข่ปูไปตั้งเยอะ มีไข่ของปูบางตัวที่จิ้มเนยกิน บางตัวจิ้มน้ำวาซาบิ บางตัวก็จิ้มซีอิ๊ว แล้วก็มีตัวที่กินทั้งอย่างนั้น รสชาติที่หอมหวานที่เหมือนระเบิดความหอมออกมาในปากนั้น ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างมาก

วินนี่เองก็กินไปหลายชิ้นเลย ส่วนเรื่องคอเลสเตอรอลสูงน่ะเหรอ? ไม่เป็นไร เธอมีร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้ว ทุกวันตอนเช้าต้องมาวิ่งจ็อกกิ้งตอนกลางคืนยังต้องโยคะอีก แม้จะกินคอเลสเตอรอลเข้าไปก็ไม่กลัวหรอก

เสี่ยวเถียนกวากินชิ้นใหญ่ไป เธอแบ่งให้เด็กอ้วนครึ่งชิ้น แต่เด็กอ้วนกินไม่ลงแล้ว เพราะเสี่ยวเถียนกวาป้อนเขาจนอิ่มมาก

หลังกินไข่ปูเสร็จแล้วฉินสือโอวจึงเริ่มรู้สึกเสียใจทีหลังขึ้นมา ในบรรดาอาหารที่สแตนลีย์ทำ ปูดันเจเนสส์อบเป็นอาหารที่ไม่สามารถบ่งบอกถึงฝีมือการทำอาหารของเขาที่สุดเลย แม้ว่าตัวเองเป็นคนอบก็อบได้อย่างนี้เหมือนกัน มากสุดก็แค่ว่ากำลังไฟที่ใช้อาจแตกต่างกันนิดหน่อย แต่อาหารตะวันตกอื่นๆ นี่สิ ที่นอกจากสแตนลีย์แล้วไม่มีใครสามารถทำได้แบบนี้หรอก

ฉินสือโอวกินไปพลางส่ายหัวทอดถอนใจไปพลาง สแตนลีย์เห็นแล้วก็รู้สึกกังวลใจ ถามว่า “คุณฉิน อาหารที่ผมทำมีปัญหาเหรอครับ?”

แม้ว่าจะไม่ชอบงานเกี่ยวกับการเป็นเชฟ แต่เหมือนคำโบราณว่าไว้ ไม่ว่าลูกบ้านตัวเองจะไม่ดีอย่างไรก็มีแต่ตัวเองที่ด่าได้เท่านั้น ตัวเขาสามารถระบายความรู้สึกไม่พอใจกับงานนี้ได้ แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นมาสงสัยในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง

ฉินสือโอวกลืนสเต๊กเนื้อที่ผสมน้ำซอสและน้ำสเต๊กลงไป พูดว่า “ไม่ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อาหารพวกนี้สุดยอดมากเลยครับ คุณดูพวกเพื่อนๆ ของผมสิกินกันได้บ้าคลั่งแค่ไหน”

“แต่ผมเห็นคุณเหมือนส่ายหัวตลอดเลยไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉินสือโอวถอนหายใจพูดว่า “ผมกำลังพรรณนาออกมาน่ะ ต่อไปร้านอาหารของผมคงจะต้องให้คุณเป็นคนดูแลแล้วเป็นแน่ มีแต่ทางนี้เท่านั้นผมจึงจะสามารถกินอาหารที่คุณทำได้ตลอดน่ะ”

สแตนลีย์อึ้งราวกับรูปปั้นไก่ พูดว่า “ถ้าหาก ผมหมายถึงถ้าหาก ต่อไปหากผมเข้ามาทำงานให้ร้านอาหารต้าฉินแล้ว ผมคงไม่ต้องมารับผิดชอบเรื่องอาหารการกินของทุกคนที่ฟาร์มปลานี้ใช่ไหมครับ? “

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรครับ ไม่ต้องหรอก ขอแค่ในเทศกาลวันตรุษจีนของประเทศผม เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าของพวกคุณ เทศกาลวันคริสต์มาสแล้วก็วันเกิดของผมภรรยาผมกับลูกๆ คุณมาที่นี่เพื่อคุมการทำอาหารก็พอแล้วครับ”

มุมปากสแตนลีย์กระตุกไปที สีหน้านิ่งเงียบไป

ฉินสือโอวกลัวว่าระหว่างเขากับตระกูลมอร์รี่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่โปร่งใสอยู่ แม้ว่าเป็นระยะเวลานานแล้ว ที่เขากับตระกูลมอร์รี่ไม่ได้เกิดเรื่องขัดแย้งกัน แต่ความจริงแล้วสงครามระหว่างอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินกับตระกูลมอร์รี่นั้นไม่เคยหยุดเลย

เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มาไม่ถึงมือเขาเท่านั้น เพราะมีบัตเลอร์ที่รับผิดชอบคุมสงครามอยู่แนวหน้าให้ ตัวเขารับผิดชอบเรื่องกองหลัง ทำให้โอกาสที่จะประมือกับคู่แข่งซึ่งๆ หน้ามีไม่มาก

เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ไม่สามารถไม่ป้องกันร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินได้ หากว่าตระกูลมอร์รี่เกิดวางแผนอะไรขึ้นมาจริง งั้นการจะทำลายร้านอาหารก็จะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น

ร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่เป็นอาณาจักรอาหารนี้ยังอยู่ระหว่างวางแผนอยู่ แม้ว่าจะมอบหมายให้สแตนลีย์เป็นผู้จัดการทั่วไปแล้วก็ยังไม่สามารถเปิดบริการร้านอาหารได้ในทันที เพราะของทะเลที่จะนำมาใช้ในร้านก็ยังไม่ได้กำหนดเลย

ข้อเสนอที่สแตนลีย์ให้เขามา ที่ว่าให้ใช้ของทะเลเกรดรองของฟาร์มปลาส่งไปให้ร้านอาหารใช้เรียกลูกค้า ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เขาแค่ใช้ของทะเลเกรดดีจากฟาร์มปลาอื่นๆ ในการส่งวัตถุดิบให้ร้านอาหารก็ได้แล้ว

ผลิตภัณฑ์ทะเลที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีออกมาไม่ค่อยมีของเกรดรองนัก และถึงแม้ว่าเป็นของเกรดรองแต่ก็ยังดีกว่าของฟาร์มปลาอื่นๆ อยู่ดี นี่แหละคือข้อแตกต่าง

ในที่สุดฟาร์มปลาสองก็ได้ทำการผลิตอาหารปลาล็อตแรกออกมาแล้ว คิดว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจากกระทรวงอนามัยและกระทรวงการเกษตรคงเดินทางไปที่อ่าวโกลเด้นท์เพื่อทำการตรวจสอบคุณภาพล่วงหน้าแล้ว ฉินสือโอวจึงรีบนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่นั่น หากอาหารปลาไม่มีปัญหาจะได้นำเข้าตลาดเลย

แน่นอนว่า อาหารปลาของเขาไม่มีปัญหาหรอก เพราะใช้แต่วัตถุดิบธรรมชาติ ไม่ได้มีการเติมสารกันบูดและสารแต่งกลิ่นอะไรด้วย ถ้าหากว่าอาหารปลาแบบนี้ยังไม่สามารถผ่านการตรวจสอบได้ จะมีอาหารปลาแบบไหนผ่านได้อีก?

อีกอย่างทางฉินสือโอวยังได้ทำการใช้เส้นสายอีกด้วย โดยให้ประธานสภาแมทธิวไปคุยกับทางเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบล่วงหน้า เขาบอกให้เจ้าหน้าที่ว่าตรวจสอบทั่วไปก็พอ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ไฟเขียวได้เลย ให้อาหารปลาพวกนี้รีบเข้าไปในตลาด

ฉินสือโอวบอกกับท่านประธานสภาว่าอาหารปลาพวกนี้ทำมาจากสูตรลับที่คุณปู่ทิ้งไว้ให้เขา ฟาร์มปลาของเขาก็ใช้สูตรลับนี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ทะเลของเขาจึงได้มีคุณภาพสูงขนาดนั้น

ท่านประธานสภาไม่ใช่คนโง่ เขาไม่เชื่อคำพูดพวกนี้หรอก แต่ว่าฉินสือโอวได้ทำการป่าวประกาศกับเขาไว้ ว่าตัวเองไม่ได้พูดโกหก การใช้อาหารปลาของเขาสามารถยกระดับคุณภาพของปลาทะเลได้แน่นอน เมื่อเป็นแบบนี้ท่านประธานแมทธิวจึงไม่เชื่อไม่ได้แล้ว เขาไม่สนหรอกว่าอาหารปลาจะเป็นอย่างไร ขอแค่สามารถช่วยเหลือการประมงได้ก็พอแล้ว

หลังจากฉินสือโอวมาถึงแล้ว ใบอนุญาตให้นำสินค้าเข้าตลาดก็ได้ทำเสร็จออกมาเรียบร้อยพอดี พอเขาได้รับใบอนุญาตมาแล้วก็ถ่ายรูปคู่กับทีมตรวจสอบเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เท่านี้เรื่องนี้ก็เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

เรือบรรทุกสินค้าที่โดนัลด์และแอนดรูว์ ทัคเกอร์จ้างมาได้จอดรอที่ท่าเรือของฟาร์มปลาวันนั้นเลย เขาได้แจ้งทั้งสองคนล่วงหน้าแล้ว เพราะเขารู้ว่าอาหารปลาพวกนี้เข้าตลาดได้ไม่มีปัญหาแน่ หากมีปัญหาจริงก็สามารถเอาให้เพื่อนใช้ก็ได้ มากสุดก็แค่ให้ฟรีแค่นั้น

ราคาอาหารปลาที่ฉินสือโอวตั้งไว้สูงมาก เขาประกาศว่าอาหารปลาชนิดนี้เป็นอาหารปลาที่ไว้ใช้กับปลาค็อดโดยเฉพาะ ราคาสูงกว่าแบรนด์ที่ขายตามท้องหนึ่งเท่าตัว ราคาตันละ 820 ดอลลาร์แคนาดา นอกเหนือจากนี้ยังมีอาหารปลาที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ทะเลประเภทอื่นๆ อีกด้วย แน่นอนว่าราคาก็จะแตกต่างกัน ความจริงวัตถุดิบหลักล้วนเหมือนกัน คือแป้ง ผงกระดูกสกัดจากสัตว์และสาหร่ายทะเลจำพวกสาหร่ายสีน้ำตาลกับหิมะแตงโม ที่ต่างกันก็แค่สัดส่วนของวัตถุดิบเฉยๆ

โดนัลด์กับแอนดรูว์มาแล้ว ทั้งสองคนลงมาจากเรือแล้วก็มองไปที่อาหารปลาเป็นถุงๆ นั้น แล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “อาหารพวกนี้สามารถยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทะเลได้ใช่ไหม? พระเจ้า ดีจริงๆ เลย ธุรกิจผลิตภัณฑ์ทะเลในตอนนี้นับวันก็ยิ่งแย่ ปีนี้ฉันทำกำไรไม่ได้เลยนะเนี่ย!”

ฉินสือโอวตบบ่าทั้งสองคน พูดว่า “วางใจได้ อาหารของฉันจะต้องสามารถเปลี่ยนดวงกุดของพวกนายได้แน่นอน แล้วพวกนายก็ไม่ต้องรีบจ่ายเงินด้วยนะ รอให้ผลิตภัณฑ์ทะเลล็อตแรกขายได้แล้วค่อยมาสรุปยอดกับฉันก็พอ แล้วก็ ราคาที่ฉันให้กับพวกนายไม่ใช่ 820 แต่เป็น 410 นะ อย่าให้ข่าวแพร่งพรายออกไปล่ะ”

เขาพูดพร้อมขยิบตาให้ เป็นนัยว่าพวกนายเข้าใจความหมายของฉันแหละ

เจ้าของฟาร์มปลาทั้งสองรีบพยักหน้าโดยไว รับปากพร้อมกันว่า “ฉันเข้าใจๆ วางใจได้เลยฉิน ราคานี้จะไม่รั่วไหลออกไปแน่นอน!” “ฉันไม่พูดอะไรกับใครเด็ดขาด นายเข้าใจฉันดี เพื่อน ฉันมีปากที่แน่นกว่าล็อกกุญแจเสียอีก!”

เพราะว่าเป็นการออกจำหน่ายอาหารปลาล็อตแรก ฉินสือโอวจึงต้องตามไปดูสถานการณ์ด้วย อาหารปลาที่รวบรวมไว้จำนวนห้าร้อยตันได้ถูกขนขึ้นไปยังเรือบรรทุกสินค้าที่พวกเขานำมา จากนั้นก็ขับไปที่ฟาร์มปลาของทั้งสองคน

ฟาร์มปลาของแอนดรูว์และโดนัลด์เป็นเพื่อนบ้านกัน ทั้งสองคนสนิทกันมาก ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรที่พวกเขาสนับสนุนฉินสือโอวก็ล้วนออกปากและลงมือทำพร้อมกันทุกครั้ง เมื่อมีผลประโยชน์จะแบ่งจึงเป็นธรรมดาที่ฉินสือโอวจะนึกถึงทั้งสองคนก่อน

พวกเขารวมเงินกันซื้อเครื่องบินที่ใช้ในการเกษตรลำหนึ่ง หรือก็คือเครื่องบินลากของนั่นแหละ เครื่องบินที่ใช้ในการเกษตรรุ่นนี้มีตลาดในแคนาดาและอเมริกาอย่างมาก แข็งแรงทนทาน บรรทุกของหนักได้มาก เป็นผู้ช่วยที่ดีของเหล่าเจ้าของฟาร์มไร่ เจ้าของฟาร์มปลา และฟาร์มปศุสัตว์เลย

อาหารปลาสิบตันถูกใส่เข้าไปในเครื่องบิน จากนั้นเครื่องบินลากของก็ส่งเสียงกระหึ่มบินขึ้นไปบนฟ้า บินขนาบไปกับท้องทะเลแล้วเปิดประตูห้องเก็บของออก เพื่อโปรยอาหารปลาที่เป็นเม็ดๆ ลงไป

เหมือนกับกำลังฝนตกอยู่ มีเม็ดด่างตกไปทั่วผิวท้องทะเล คลื่นน้อยๆ ก็พัดขึ้นพัดลงไม่หยุดหย่อน!

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท