ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1742 มีแผนอะไร

บทที่ 1742 มีแผนอะไร

วินนี่ขู่ให้เถียนกวากลัว จากนั้นก็คุยกับฉินสือโอวอย่างมีลับลมคมใน บอกว่าอย่าบอกพวกเด็กๆ ว่ามีนากทะเลมาที่ฟาร์มปลา

ฉินสือโอวถามด้วยความงุนงง “ทำไมถึงไม่บอกพวกเขาล่ะ? นี่ไม่ใช่นากทะเลที่เราขโมยมาสักหน่อย เห็นชัดๆ อยู่ว่าพวกมันมาหาเราเอง”

วินนี่หยิกเขาเบาๆ แล้วบ่นพึมพำว่า “เสียงเบาหน่อยสิคุณ ฉันรู้ว่าพวกมันมาเอง แต่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อปกป้องพวกมันหรอกเหรอ? คุณก็ไม่ใช่จะไม่รู้จักนิสัยเจ้าเด็กเวรพวกนั้น ถ้าพวกเขารู้ว่ามีนากทะเลมาที่ฟาร์มปลา จะต้องมาแกล้งพวกมันที่น่าสงสารเหล่านี้แน่ๆ”

ฉินสือโอวเพิ่งจะเข้าใจจุดประสงค์ของเธอ พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีปัญหา แต่ก็คงเก็บเป็นความลับได้แค่พักหนึ่ง จะเก็บตลอดไปคงไม่ได้หรอก พวกเขาเดี๋ยวก็รู้ความจริงด้วยตัวเอง”

วินนี่พูดอย่างมั่นใจว่า “แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาสักพัก ก่อนที่สงครามผู้กล้าจะเริ่ม พวกเขาคงไม่ได้มีกะจิตกะใจมาเล่นที่ชายหาดหรอก คุณไม่เห็นที่พวกเขาซ้อมด้วยกันอยู่ทุกวันเหรอ เห็นว่าจะซ้อมละครเวทีอะไรสักอย่าง”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินสือโอวก็ยินดีที่จะเพิกเฉย ปล่อยเรื่องราวไปตามธรรมชาติเอง

ตอนบ่ายทิญามาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวถามเธอว่า “คุณก็มาเตรียมตัวเข้าร่วมสงครามผู้กล้าด้วยเหรอ?”

ทิญาถามด้วยความงุนงง “สงครามผู้กล้าอะไรคะ?”

ฉินสือโอวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผู้ช่วยเขา ดังนั้นจึงอธิบายกิจกรรมนี้ให้เธอฟัง เชิญให้เธอมาเข้าร่วมงานในเวลานั้น เห็นได้ชัดว่ามันสายไปแล้วที่จะเตรียมชุดเกราะและอุปกรณ์ต่างๆ ตอนนี้ แต่จุดสำคัญของกิจกรรมนี้คือทุกคนได้ร่วมกิจกรรมด้วยกัน แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เล่นคอสเพลย์ก็ตาม

ทิญายังเป็นวัยรุ่น จึงสนใจในกิจกรรมแบบนี้มาก เธอพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นตอบรับว่ามาแน่นอน หลังจากนั้นก็เริ่มวางแผนว่าเธอจะแต่งตัวแบบไหน

ฉินสือโอวถามขึ้นว่า “วันนี้คุณไม่ได้มาเพราะสงครามผู้กล้า ถ้าอย่างนั้นมาเพราะอะไรเหรอ?”

“โอ้ “ ทิญาพลันนึกขึ้นได้ ตบไปที่หน้าผากที่สะอาดใสเหมือนหยกด้วยมือน้อยๆ ของเธอ เผยให้เห็นความกังวลบนหน้าสวยๆ “บ้าเอ๊ย ฉันเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย คืออย่างนี้นะคะ บอส เราต้องเตรียมตัวกันหน่อยแล้ว งานประมูลการประมงปีนี้เป็นพวกเราที่เป็นคนจัดค่ะ”

งานประมูลการประมงของปีที่แล้วจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม และตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคมแล้ว ฉินสือโอวลืมเรื่องนี้ไปเลยเพราะเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เขาเชื่อว่าการฟื้นฟูฟาร์มปลารอบๆ นิวฟันด์แลนด์ต้องใช้พลังโพไซดอนมากกว่าการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอะไรพวกนั้น

ทิญาเตือนเขาว่า “ทางที่ดีพวกเราต้องเตรียมตัวกันสักหน่อย เลขาของท่านนายกรัฐมนตรีแมทธิวเคยเกริ่นกับฉันตั้งหลายรอบแล้ว บอกว่าท่านนายกรัฐมนตรีหวังว่าพวกเราจะให้ความสำคัญกับงานประมูลนี้”

ฉินสือโอวคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจอยู่แล้ว แบมือออกแล้วพูดว่า “มีประโยชน์อะไรล่ะ? งานประมูลปีที่แล้วจัดได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แล้วไงล่ะ? มีส่วนช่วยในการประมงขนาดไหนกัน?”

ทิญาแสดงสีหน้าลำบากใจแล้วพูดว่า “ช่วยได้มากเลยนะคะ จากการตอบรับของเจ้าของฟาร์มปลา พบว่าฟาร์มปลาของพวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นในระดับที่แตกต่างกันในปีนี้ โดยเฉพาะเจ้าของฟาร์มปลาที่ใช้ลูกปลาของฟาร์มปลาต้าฉิน มีความกระตือรือร้นในการประมูลครั้งนี้มากขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเงินได้มากจากการพึ่งพาลูกปลาที่คุณให้มา”

พอเป็นแบบนี้ก็จัดการลำบากหน่อย ผู้นำในแคนาดายากที่จะไม่แยแสความคิดเห็นของประชาชน หากกิจกรรมนี้ไม่เป็นประโยชน์ไม่ว่ากรมประมงจะให้แรงกดดันแบบใด ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ไม่ต้องสนใจได้ เพราะว่าเขายังมีประชาชนคอยสนับสนุน

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดเห็นของประชาชนจะยังอยากให้จัดงานประมูลการประมง ดังนั้นในฐานะประธาน เขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของสมาชิกได้ มิฉะนั้นเขาจะถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในสถานที่ทำงานของแคนาดา

ทิญาพูดต่อ “บอส ทำไมคุณถึงดูไม่ค่อยยินดีที่จะจัดงานประมูลแบบนี้คะ? อย่างเช่น คุณประมูลอาหารปลาในงานประมูลได้ แน่นอนว่าฉันหมายถึงอาหารปลาชั้นดี คุณไม่ได้ต้องการหาเงินจากสิ่งนี้หรอกหรือ?”

ฉินสือโอวมองไปทางทิญา ทิญายักไหล่ด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและถามอย่างเงียบๆ “ฉันพูดผิดเหรอคะ?”

“คุณพูดได้ถูกต้องหมดทุกอย่าง!” ฉินสือโอวยกนิ้วให้เธอ “เชี่ย ทำไมผมถึงคิดถึงตรงนี้ไม่ได้นะ? ทิญา ผมต้องยอมรับเลยจริงๆ ว่าความคิดนี้มันเสียหายไม่น้อย แต่ก็เจ๋งสุดๆ เลย”

ทิญายังคงยักไหล่แล้วพูดต่อว่า “ฉันจะถือว่ามันเป็นคำชมละกันนะคะ”

ฉินสือโอวถูมือไปมา ก็จริง เขาสามารถหาประโยชน์สูงสุดได้จากงานประมูลการประมงครั้งนี้ ร้านอาหารต้าฉินใช้อาหารทะเลเกรดต่างๆ กัน แต่แล้วจะจำแนกได้อย่างไรล่ะ? ซึ่งก็สามารถจำแนกได้จากระดับความเข้มข้นของพลังโพไซดอนในอาหารปลา

ตราบใดที่มีการปรับสัดส่วนของสาหร่ายทะเลในอาหารปลาก็สามารถผลิตอาหารทะเลเกรดต่างๆ ได้

ด้วยเหตุนี้ฉินสือโอวจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องดำเนินงานประมูลการประมงอีกครั้ง เขาดีดนิ้วของเขาและพูดว่า “มาเถอะ คุณเลขา จดบันทึกการจัดเตรียมงานของบอสนะ แผนข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป แต่สามารถชะลอลงได้จัดสรรพนักงานครึ่งหนึ่งจากแต่ละกลุ่มให้มาช่วยจัดการงานประมูลครั้งนี้”

ในความเป็นจริงแล้วการจัดงานประมูลครั้งนี้เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับกลุ่มพันธมิตรการประมง จุดเด่นของระบบข้อมูลขนาดใหญ่สามารถสะท้อนให้เห็นได้อย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลานี้ มีเจ้าของฟาร์มปลาที่จะเข้าร่วมพันธมิตรกี่ราย เจ้าของฟาร์มปลาแต่ละคนมีผลิตภัณฑ์ที่ดีอะไรบ้าง สิ่งที่ฟาร์มปลาแต่ละแห่งเหมาะสำหรับการเลี้ยง สิ่งเหล่านี้สามารถดึงออกมาจากระบบได้โดยตรง

ด้วยการสนับสนุนจากระบบข้อมูลขนาดใหญ่ สิ่งที่ฉินสือโอวต้องทำคือการเลือกสถานที่ที่จะจัดงานประมูล เรียกเจ้าของฟาร์มปลามารวมตัวกัน จากนั้นจึงเสนอราคา

อย่างไรก็ตามผลกำไรของเขาในปีนี้คาดว่าจะขึ้นอยู่กับการจัดหาพันธุ์ปลา เพราะอาหารปลายังไม่เห็นผล และเจ้าของฟาร์มปลาแต่ละที่ก็ยังดูไม่สนใจมากนัก อย่างไรก็ตามในปีหน้าเมื่ออาหารปลาเริ่มมีการปรับปรุงคุณภาพ มูลค่าอาหารปลาของเขาก็สามารถพัฒนาได้

เมื่อทิญาได้รับคำสั่งมาก็เตรียมตัวจากไป ฉินสือโอวพูดว่า “ไม่ต้องรีบ เย็นนี้อยู่กินข้าวก่อน บอสจะให้รางวัลคุณสักหน่อย เฮลิคอปเตอร์ของผมจะถูกส่งในวันพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นผมจะพาคุณกลับโดยเครื่องบินพิเศษ”

เมื่อได้ฟังคำพูดเขา ทิญาเม้มริมฝีปากของเธอและหัวเราะเบาๆ เธอสะบัดผมสีทองของเธอและกะพริบตาอย่างมีเสน่ห์ ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “บอสคุณดีกับฉันมาก มีแผนอะไรอยู่ในใจใช่ไหมคะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะหึๆ “แน่นอนว่ามี คุณอยากรู้ไหมล่ะ?”

เขาจงใจพูดด้วยน้ำเสียงเชิงชู้สาว ราวกับเจ้านายต้องการมีความสัมพันธ์ลับๆ กับผู้ใต้บังคับบัญชาสาวสวย

ทิญาไขว่ห้างโดยใช้มือไพล่หลังและพยักหน้าอย่างอายๆ ฉินสือโอวใจสั่นขึ้นมาฉับพลัน เสน่ห์ของเด็กผู้หญิงคนนี้เกินความคาดหมายของเขาจริงๆ

แต่ทว่าตอนนี้เขาขึ้นหลังเสือแล้ว จึงกวักมือเรียกให้ทิญาเข้ามาใกล้ หัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “คุณมาอยู่ข้างหน้าผม ผมจะกระซิบบอกคุณ มาอยู่ตรงแถวริมฝีปากผมสิ”

ทิญากัดริมฝีปากสีแดงฉานของเธอ มองไปที่เขาอย่างเขินอายและค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้า

ฉินสือโอวหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่รู้ตัว บ้าเอ๊ย ผู้หญิงคนนี้ต่อกรกับเขาเหรอเนี่ย?

เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นดอกไม้สดชื่นจางๆ กระทบเข้าจมูกเขา ทำให้เขามึนเมาเล็กน้อย แต่โชคดีที่เขายังมีสติและไม่หลงใหลในความงามของทิญา เขากระซิบข้างหู “แผนของบอสก็คือซื้อตัวคุณ แล้วปล่อยให้คุณทำงานเป็นวัวเป็นควายให้เจ้านายอย่างซื่อสัตย์ ฮ่าๆๆ!”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท