ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1746 ลูกสาวแห่งท้องทะเล

บทที่ 1746 ลูกสาวแห่งท้องทะเล

เมื่อเข้าสู่พื้นที่บริเวณที่สาม สวนสไตล์จีนก็ปรากฏสู่สายตา เดิมทีอันเดร์วางแผนที่จะขุดทะเลสาบและแม่น้ำขนาดเล็กหลายจุดในบริเวณนี้ โดยจำลองแบบมาจากสวนจัวเจิ้ง อย่างไรก็ตามหลังจากเริ่มการก่อสร้างพบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนใหญ่เป็นเพราะความไม่สะดวกในการจัดการ หากมีการสร้างสวนขนาดเล็กจริงๆ ฉินสือโอวต้องจ้างทีมงานพิเศษเพื่อทำความสะอาดและคอยเปลี่ยนน้ำ

ดังนั้นอันเดร์จึงหารือกับฉินสือโอวและเปลี่ยนเป็นการแสดงขนบธรรมเนียมของชาวจีนแทน ในป่าและสนามหญ้าจะมีกระโจมแบบมองโกล บ้านใต้ถุนสูง บ้านไม้ไผ่ และยังมีลานกว้างแบบทางเหนือ

พื้นที่บริเวณที่สี่ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ถูกทำให้เป็นพื้นที่ดอกไม้ ซึ่งมีการปลูกพืชพันธุ์บางชนิดที่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองเซนต์จอห์นได้ จากนั้นแบ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กสี่แห่งตามฤดูคือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อนฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว

สวนฤดูใบไม้ผลินี้โดดเด่นด้วยดอกไม้ มีดอกแดฟโฟดิลและทิวลิปสีเหลืองมากกว่า 10,000 ดอก รวมทั้งกุหลาบแดง ดอกซากุระ ลูกพีชและแอปริคอตนานาชนิด เมื่อถึงในฤดูใบไม้ผลิจะมีสีสันสวยสดและงดงาม อลังการมาก

สวนฤดูร้อนเป็นสวนกุหลาบ เมืองเซนต์จอห์นเป็นเมืองที่เหมาะกับกุหลาบมากกว่าหนึ่งร้อยชนิด อันเดร์และวินนี่เลือกกุหลาบมา 66 ชนิด กุหลาบเหล่านี้ปลูกตามสี เนื่องจากสวนฤดูร้อนเป็นสวนแนวยาว ดังนั้นเมื่อดอกไม้บานสะพรั่ง ในเวลานั้นดอกกุหลาบหลากสีจะต่างแข่งขันกันโชว์สีสดสวย กลายเป็นเป็นสีรุ้งที่งามตา

สวนในฤดูใบไม้ร่วงนี้โดดเด่นด้วยดอกรักเร่ นอกจากนี้ยังมีต้นไม้บางชนิดที่ย้ายมาจากป่าขนาดเล็กอย่าง หงส์ฟู่ ต้นเมตาเซโคเอียใบสีทอง ต้นพลัมแดง ต้นโซโฟร่าทอง ต้นควันใบม่วง และต้นสนบลูไอซ์ เป็นต้น ต้นไม้เหล่านี้จะออกดอกหรือใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นต้นไม้ที่สวยที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

ต้นไม้เหล่านี้เป็นมรดกตกทอดของปู่คนที่สองของฉินสือโอว อังเดรย้ายต้นไม้เล็กๆ ที่เพิ่งแตกหน่อที่ด้านในเท่านั้น ต้นไม้ใหญ่ที่โตแล้วไม่ได้เคลื่อนย้ายไปที่ไหน หลายต้นเกิดในช่วงเวลาเดียวกับที่ฟาร์มปลาก่อตั้ง เป็นเหมือนหุ้นส่วนของฟาร์มปลา อาศัยอยู่ที่เชิงเขามาด้วยดีตลอด

มีดอกไม้ค่อนข้างน้อยในสวนฤดูหนาว ส่วนใหญ่เป็นดอกบ๊วย ไซคลาเมน ต้นคริสต์มาส ต้นเมเปิลแดงและกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิล อังเดรวางแผนที่จะแต่งสวนนี้ให้เป็นสวนคริสต์มาส เพราะอย่างไรก็ตามวันหยุดคริสต์มาสที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดาก็อยู่ในช่วงฤดูหนาว

พื้นที่สุดท้ายคือพื้นที่น้ำพุร้อน ฉินสือโอวซื้อกระจกจำนวนมากเพื่อทำเป็นสวนกึ่งปิดล้อมที่ปลูกพืชพันธุ์ดอกไม้เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนไว้ ชาวแคนาดาชอบสร้างสวนเล็กๆ ที่นี่จะออกแบบมาเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับวินนี่แล้ว เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เขามอบให้วินนี่ วันหลังเธอจะพาลูกๆ มาแต่งสวนแห่งนี้ได้ในอนาคต

พื้นที่บ่อน้ำพุร้อนยังคงวุ่นวายอยู่ตอนนี้ การประกอบกระจกเป็นบ้านที่แข็งแรงขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย ในฤดูหนาวลมทะเลแรง จึงต้องพิจารณาวิธีหลีกเลี่ยงลมและวิธีการปรับให้เหมาะกับภูมิประเทศโดยรอบ อันเดร์ยังจ้างเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านสวนประดิษฐ์มาช่วยออกแบบด้วย

ในสัปดาห์แรกของกลางเดือนสิงหาคม สงครามผู้กล้าจะเริ่มขึ้นแล้ว

ฉินสือโอวเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเสร็จในวันศุกร์ เขาทำชุดเกราะด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้เกล็ดปลาจระเข้มากนัก เขาจึงทำชุดอุปกรณ์สำหรับลูกสาวของเขาด้วย เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะพาลูกสาวของเขาออกโรงด้วยกัน

เดิมทีวินนี่อยากพาลูกสาวแต่งเป็นนางฟ้า ไม่ได้ทำให้ฉินสือโอวตกใจกลัว เธอจะอุ้มลูกสาวของเธอและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าลมจะพัดสาวน้อยของเธอหรือไม่ ถ้าหากเธอไม่ได้อุ้มลูกสาวให้แน่นดี ถ้าเช่นนั้นฉินสือโอวคงไม่อยากเข้าร่วมในกิจกรรมใดๆ อีกเลยตลอดชาตินี้

เสี่ยวเถียนกวากลับไม่อยากไปกับเขา ตอนเช้าวันเสาร์เห็นวินนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไป เธอก็ร้องเรียกหม่าม๊ายื่นมือไปอยากให้เธอกอด วินนี่อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เธอ ลูบผมสั้นๆ ของเธอและปลอบใจเธอ “ที่รัก เป็นเด็กดีนะ ตามพ่อของเราไปเป็นเจ้าหญิงแห่งท้องทะเลดีไหมคะ?”

เถียนกวาร้องโวยวาย “ไม่เป็น ไม่เอา ไม่เอา! ไม่ไปกับปาป๊า เถียนกวาไม่อยากไปกับปาป๊า!”

วินนี่ไม่สามารถพาเธอไปด้วยได้ เธอยักไหล่และอดทนต่อความเจ็บปวดเดินออกจากบ้านไป เถียนกวาคลานอยู่บนพื้น ด้านหนึ่งก็คลานไปด้านหนึ่งก็ร้องเรียกไป “หม่าม๊า หม่าม๊า!”

เชอร์ลี่ย์พอเห็นฉากนี้ก็ทนไม่ได้ พูดขึ้นว่า “ฉิน คุณแน่ใจนะว่าจะแต่งให้เถียนกวาเป็นนางเงือก? คุณดูสิตอนนี้เธอเหมือนหนอนตัวใหญ่มากกว่า ไม่ค่อยเหมือนนางเงือกเลย”

ใช่แล้ว ฉินสือโอวพ่อที่งี่เง่าคนนี้อยากจะแต่งลูกสาวเขาให้เป็นนางเงือก ไม่ได้มีหนังเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า “ลูกสาวแห่งท้องทะเล” หรอกเหรอ? ตัวละครเอกในนั้นเป็นนางเงือกตัวหนึ่ง ฉินสือโอวได้แรงบันดาลใจจากสิ่งนี้ จึงอยากแต่งให้เถียนกวาเป็นนางเงือก

เริ่มแรกเมื่อเถียนกวาเห็นก็ยังดีใจอยู่เลย หางของนางเงือกฝังด้วยเกล็ดปลาจระเข้ซึ่งดูสวยงาม มันสวยงามมากภายใต้แสงไฟซึ่งดึงดูดความสนใจของเด็กหญิงตัวน้อยได้ในทันที

แต่ทว่าพอฉินสือโอวสวมใส่ให้เธอ เธอก็ไม่ยอมแล้ว เพราะถ้าเป็นแบบนี้เธอจะทำได้แค่คลานอยู่บนพื้น ยืนขึ้นมาไม่ได้…

สำหรับหญิงแข็งแกร่งที่ชอบวิ่งดั่งสายลม ถือเป็นเรื่องเจ็บปวดมากที่ขาของเธอต้องถูกมัดไว้ ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทุกครั้งที่ฉินสือโอวลองแต่งหน้าให้เธอ เถียนกวาก็จะกรีดร้องเป็นพักๆ ตอนแรกเธอประท้วงและปฏิเสธ แต่ภายหลังพบว่าเธอไม่มีปัญญาสู้เขาได้ เธอจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือ

เมื่อฟังคำพูดของเชอร์ลี่ย์ ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจว่า “เธอพูดอะไรน่ะ ลูกสาวของฉันจะไปเหมือนหนอนตัวใหญ่ได้ที่ไหน? ดูสิ นางเงือกน้อยที่สวยงามขนาดนี้ จริงไหม?”

เชอร์ลี่ย์ยิ้มเจื่อนและพูดว่า “ถึงคุณอยากให้เธอเป็นเงือกน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงน่องเกี่ยวรัดให้เธอไหม? ยังมีเปลือกหอยที่อยู่บนหน้าอกเธอสองอันนั้นอีก ของบ้าอะไรไม่รู้?”

เมื่อเถียนกวาได้ยินคนสองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ก็หันศีรษะกลับไปมองพ่อเธอด้วยสายตาเคืองโกรธ น่าเสียดายที่พ่อของเธอไม่สนใจพวกนี้ ยักไหล่แล้วพูดว่า “ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ใส่ถุงน่องเกี่ยวรัดให้เธอแบบนี้เธอก็จะใส่หางปลาไว้ไม่ได้ อีกอย่างเปลือกหอยน้อยมีปัญหาอะไรตรงไหน? เธอดูนางเงือกน้อยในโทรทัศน์สิ หน้าอกมีเปลือกหอยสองอันอยู่ทั้งนั้น”

เชอร์ลี่ย์อยากจะพูดอะไรต่อ แต่ฉินสือโอวขัดเธอก่อนโดยพูดขึ้นว่า “ถ้าเธอคิดว่าเถียนกวาไม่เหมาะ ถ้าอย่างนั้นเธอก็มาเป็นลูกสาวนางเงือกน้อยของฉันแทน แน่นอนว่าต้องใส่หางปลานี่และเปลือกหอยสองอันด้วย”

เมื่อเขาพูดจบ เชอร์ลี่ย์ไม่พูดอะไรต่อ เธอเอาปีกนางฟ้าของเธอและเดินจากไป ก่อนจากไปเธอมองเถียนกวาด้วยความเห็นใจ ลาก่อน เงือกสาวที่รัก พี่สาวกำลังจะไปเป็นนางฟ้าแล้ว

หู่เป้าฉงหลัวก็แต่งตัวเหมือนกัน ทั้งไหล่ หน้าอก ด้านบนศีรษะ ด้านหลังและแขนขาทั้งหมดของฉงต้าและฉงเอ้อถูกมัดด้วยชุดเกราะที่ทำจากแผ่นเหล็กสีขาว มีรูปดาวกองทัพแดงห้าแฉกอยู่บนแผ่นเหล็ก เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกแต่งเป็นหมีสงคราม

บนไหล่ของฉงต้ายังมีบาซูก้า ซึ่งซีมอนสเตอร์ทำออกมาจากหลอดพลาสติก เขามีมือที่มีทักษะคู่หนึ่ง บาซูก้าทำออกมาได้ดูเสมือนจริง เมื่อฉงต้าเดิน แขนขาทั้งสี่ก็เหมือนกับแบกบาซูก้าอยู่เตรียมโจมตี

ส่วนหู่จือและเป้าจือสวมเสื้อเกราะกันกระสุนของสุนัขที่ตอนนั้นเจ้าของฟาร์มปลาท่านหนึ่งมอบให้กับฉินสือโอว ฉินสือโอวยังใส่ชุดสุนัขด้านนอกซึ่งเป็นชุดทหารให้กับพวกมัน แต่มีแขนขาเทียมสองข้าง ขาเทียมทั้งสองถือปืนไว้บนหน้าอก และเมื่อพวกเขาวิ่ง หากมองจากด้านหน้าตรงๆ ก็จะดูเหมือนว่าทหารอเมริกันกำลังวิ่งมาพร้อมปืน

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ พอเห็นแล้วก็รู้สึกไม่พึงพอใจ พูดขึ้นว่า “บอส พวกเราขอคัดค้าน นี่เป็นการดูถูกพวกเราทหารอเมริกัน!”

ฉิยสือโอวเกาหัวของเขาและพูดว่า “พวกนายพูดถูก หู่จือและเป้าจือดูไม่เหมือนทหารอเมริกัน รอฉันสักครู่”

เขาเดินกลับไปหาของเล่นที่มีธงอเมริกันติดดาว ติดไว้บนไหล่ของพวกมัน พยักหน้าและยิ้ม “เรียบร้อย ตอนนี้เหมือนละ”

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ “…”

………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท