ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1747 ตาลาย

บทที่ 1747 ตาลาย

สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ในตอนรุ่งเช้าเมืองแฟร์เวลก็เริ่มคึกคัก

ชีวิตในเมืองเล็กๆ มักจะสบายๆ และเงียบสงบ โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าพระอาทิตย์ยังไม่ลอยเด่นบนท้องฟ้าคนทั้งหลายก็ยังคงมุดอยู่ในบ้าน ดังนั้นแม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์นักท่องเที่ยวก็จะรู้สึกขี้เกียจไปด้วย

แต่วันนี้แตกต่างจากวันอื่นๆ ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ร้านค้าตามถนนก็เปิดทำการแล้ว ผู้คนมากมายที่แต่งตัวประหลาดๆ เข้าไปซื้ออาหารเช้าตามร้านต่างๆ

“เหล้ายินหนึ่งแก้ว” อัศวินทิวทอนิกผู้แข็งแรงที่ถือดาบปลายแหลมกล่าวกับฮิวจ์ว่า “ไม่ได้กินอาหารเช้าเลย บ้าเอ๊ย ถือเจ้าเหล็กนี่มันเหนื่อยจริงๆ บางทีผมไม่ควรมาที่นี่เร็วขนาดนี้”

ฮิวจ์ยื่นชานมถ้วยใหญ่ให้เขา จับคู่กับไส้กรอกย่างสองชิ้นให้เขาพูดขึ้นว่า “โชคดีนะท่านอัศวิน จะมีพวกนอกรีตมากมายมาในวันนี้ และผมหวังว่าคุณจะสั่งสอนพวกเขาในนามของพระเจ้าได้”

“โอ้ ขอบคุณ แต่ผมไม่ได้อยากได้ไส้กรอกย่าง” อัศวินทิวทอนิกกล่าว เมื่อกี้เขาบอกว่าอยากได้เหล้ายิน มันเป็นเครื่องดื่มของอัศวินแห่งยุโรปในยุคกลางและยังเป็นชื่อของชานมด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในยามเช้าตรู่แบบนี้ เขาต้องการอย่างหลังแน่นอน

ฮิวจ์ยิ้ม แล้วพูดว่า “คุณมาจากเมืองอื่น? อ้อ นี่ผมให้ ไส้กรอกรสชาติเฉพาะของครอบครัวฮิวจ์ หวังว่าจะทำให้คุณอารมณ์ดี”

“ว้าว ขอบคุณมากๆ” อัศวินทิวทอนิกมือหนึ่งถือไส้กรอก มือหนึ่งถือชานม เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีมือไหนว่างถือดาบปลายแหลมแล้ว ฮิวจ์จึงเข้าไปช่วยเอาดาบเหน็บไว้ที่เอวเขา หลังจากนั้นก็จัดการเสื้อคลุมให้เรียบร้อย อัศวินขอบคุณเขาอีกครั้ง และเดินออกไปพร้อมเสียงดังฉึกฉัก

เขาเดินไปที่ประตู ประตูของร้านสะดวกซื้อก็เปิดออกอีกครั้ง และชายร่างท้วมที่เปลือยท่อนบน มีเคราใหญ่และรอยสักเส้นหนาๆ ทั่วทั้งตัวก็เดินเข้ามา ชายร่างท้วมคนนี้สวมหมวกปีศาจไวกิ้งบนศีรษะ ในมือถือขวานสองด้าน นี่เป็นการแต่งกายของโจรสลัด

“เหล้ารัมหน่อย เออ ผมหมายถึงกาแฟ เพื่อนผองรีบเอากาแฟมาให้ผมเร็วๆ หน่อย” โจรสลัดกล่าวขึ้นเมื่อเดินเข้ามา ชุดนี้เป็นของชนพื้นเมืองของเกาะแฟร์เวล และพวกเขาภูมิใจในมรดกของลูกหลานโจรสลัดที่ตกทอดมาโดยตลอด

ฉินสือโอวไม่เข้าใจความภูมิใจของพวกเขามาจากไหนกัน โจรสลัดมีอะไรน่าภูมิใจ?

นี่ก็เป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม อารยธรรมของคนจีนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ถ้าจะบอกว่าห้าพันปีที่แล้วยังรู้สึกสั้นไปด้วยซ้ำ แต่แคนาดาและอเมริกาไม่มีประวัติศาสตร์ ดังนั้นผู้คนจึงให้ความสำคัญกับมรดกของครอบครัวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ชาวแคนาดาไม่ให้ความสนใจกับพวกพ่อดีลูกก็ดีตาม พ่อเลวลูกก็แย่อะไรพวกนี้ บรรพบุรุษของพวกเขาจะเป็นโจรสลัดก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ พวกเขารุ่นนี้ไม่ใช่ก็ดีแล้ว

ฮิวจ์ชงกาแฟให้กับโจรสลัดและคราวนี้เขาให้แฮมเบอร์เกอร์หนึ่งชิ้น “คุณตื่นเร็วใช้ได้เลย เควิน ผมกล้าพนันได้เลยว่านี่เป็นวันที่คุณตื่นเช้าที่สุดของปีนี้?”

โจรสลัดเควินพูดพึมพำขณะกินแฮมเบอร์เกอร์ไปด้วย “แต่เช้าก็มีเสียงดังจนต้องตื่น มีคนนอกมากมายในโรงแรมของผม พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแต่เช้า ทำให้ผมนอนไม่หลับเลยสักนิด”

เขาเปิดโรงแรม หลายครอบครัวในเกาะแฟร์เวลที่ดำเนินกิจการโรงแรม ซึ่งก็เป็นโรงแรมสามีภรรยาในตำนาน โดยทั่วไปแล้วเควินจะจัดการดูแลตอนกลางคืน ส่วนภรรยาของเขาเป็นคนดูแลช่วงกลางวัน ดังนั้นเขาจึงมักจะตื่นสายเสมอ

ฮิวจ์ถามด้วยความสนใจ “ดูเหมือนว่าจะมีคนเข้าร่วมกิจกรรมเยอะเลย? เมื่อวานผมเห็นบนเรือข้ามฟากหลายรอบเต็มไปด้วยผู้คนบนนั้น”

เควินดื่มกาแฟแล้วพูดว่า “แน่นอน แน่นอน คนที่มาร่วมด้วยมีเยอะมาก ลองออกไปดูสิ มีคนทุกประเภท นินจา มือสังหาร เอลฟ์ พวกออร์ค ฉันยังเห็นก็อบลินสองสามตัวด้วย อะไรก็มีทั้งนั้นจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คงมีอะไรสนุกๆ ให้ดูแล้วล่ะ” ฮิวจ์ยิ้มหัวเราะออกมา

เควินพูดว่า “แน่ล่ะ มีทั้งผู้คนจากค่ายตรงข้ามทั้งหมด กองกำลังชุทซ์ชตัฟเฟิลของฮิตเลอร์กองทัพแดงของสหภาพโซเวียต ไม่ช้าก็เร็วเราและอัศวินราชันย์จะต่อสู้กัน จริงสิ คุณล่ะ ทำไมคุณไม่เปลี่ยนชุดของคุณล่ะ?”

ฮิวจ์ยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่รีบ เริ่มอย่างเป็นทางการตอนสิบเอ็ดโมง ให้พวกคุณได้มีโอกาสเล่นกันก่อน ผมจะคอยบริการงานเบื้องหลังเอง”

“ไม่ต้องพูดซะน่าฟังขนาดนี้หรอก เห็นๆ อยู่ว่าคุณใช้โอกาสนี้ในการหารายได้ พูดตามตรงเลยนะพี่น้อง คุณหาเงินเก่งจริงๆ ครอบครัวฮิวจ์ของคุณหาเงินเก่งตั้งแต่เกิดแล้ว”

“ขอบคุณที่ชม แต่ว่าหมายความว่าอะไรหรือ?”

“เดี๋ยวคุณก็รู้ ฮิวจ์คนน้องไอ้บ้านั่นหาเงินเก่งกว่าคุณอีก ผมอดไม่ได้ที่จะดูถูกเขา”

พอพูดจบ โจรสลัดเควินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง แล้ววางแก้วกาแฟลง ถือขวานสองด้านเขาแล้วเดินจากไป

มีผู้คนเดินไปเดินมาบนถนน และก็จริงอย่างว่าแต่งตัวประเภทไหนก็มีทั้งนั้น แต่เดิมสงครามผู้กล้าเป็นสิ่งบันเทิงของคนในเมืองเล็กๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่ฉินสือโอวลงโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตและหนังสือพิมพ์ บริษัทเกมบางแห่งพอได้เห็นข่าวนี้ก็คิดว่าสามารถหาประโยชน์จากตรงนี้ได้ จึงมาเข้าร่วมด้วย

ด้วยความแพร่หลายของสมาร์ทโฟน เกมมือถือจึงได้รับความนิยมขึ้นมา และเกมเหล่านี้ได้รับการออกแบบอย่างเรียบง่ายและมีราคาแพงในการโฆษณา ดังนั้นนักพัฒนาเกมมือถือจึงไม่ยอมทิ้งโอกาสในการโปรโมตใดๆ

สงครามผู้กล้าถือเป็นงานแสดงคอสเพลย์ชนิดหนึ่ง และมีความยิ่งใหญ่อลังการเว่อร์ บริษัท เกมเหล่านี้จึงจัดบุคลากรของตนเองสวมชุดคอสเพลย์แล้วเข้าร่วมงาน บนตัวของคนเหล่านี้ จะมีคิวอาร์โค้ดอยู่บนชุดเกราะ พวกเขาลากผู้คนบนถนนในทุกหนทุกแห่งมาแสกนคิวอาร์โค้ด

ตำรวจทั้งหมดในเมืองถูกส่งตัวออกไป นอกจากนี้วินนี่ได้ส่งตำรวจ 20 นายไปที่เมืองเซนต์จอห์นเพื่อช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในนามของนายกเทศมนตรี คนเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยอาวุธปืน เพราะอาวุธที่ผู้คนใช้ใน สงครามผู้กล้าเป็นของจริง แน่นอนว่ามีเพียงอาวุธที่ไม่ก่อเปลวไฟและอาวุธที่ก่อเปลวไฟที่ไม่อนุญาตให้นำเข้ามาในงาน

กิจกรรมแบบนี้อาจทำให้เกิดความโกลาหลได้ง่าย ทุกครั้งที่จัดขึ้นจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นตำรวจเซนต์จอห์นจึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสั่งการในครั้งนี้มาก ดังนั้นตำรวจที่จัดมาล้วนเป็นทหารชั้นยอดจากสถานีตำรวจต่างๆ

บางคนเดินทางมาที่เมืองล่วงหน้า และบางคนก็นั่งเรือข้ามฟากเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวันเดียวกัน เวลา 08:30 น. เรือลำหนึ่งแล่นไปในทะเล ฝ่าสายลมและเกลียวคลื่นเข้าสู่ท่าเรือเมืองเล็ก เรือเต็มไปด้วยผู้เข้าแข่งขันในชุดต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง และทุกคนต่างถือมีดและดาบในมือ

มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บนเรือข้ามฟากทุกลำ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับจะบอกว่าพวกเขาไม่พอใจมาก พวกนายทำตัวให้ดีๆ หน่อย เป็นเรื่องปกติที่การรักษาความสงบเรียบร้อยสำหรับกิจกรรมประเภทนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก แม้ว่าจะมีการตรวจสอบความปลอดภัยบนท่าเรือ แต่ผู้คนก็สามารถนำอาวุธที่ไม่ก่อเปลวไฟจำพวกมีดสั้นและมีดบินได้ เพราะถ้าหากมีใครขว้างมีดบินมา ก็ไม่ต่างจากการถูกยิงมากนัก

ตอนนั้นวินนี่เป็นตัวแทนของเมืองไปยังสภาเมืองเซนต์จอห์นเพื่อทำเรื่องสมัครให้มีการจัดสงครามผู้กล้าอีกครั้ง พนักงานการปกครองส่วนท้องถิ่นไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแฮมเล็ตกับเมืองนั้นสำคัญมาก นอกจากนี้ยังส่งผลดีในการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวในเมืองเล็กและเมืองเซนต์จอห์นซึ่งในที่สุดก็ต้องได้รับการอนุมัติให้เปิด

ในความเป็นจริงถ้าเป็นไปได้ แฮมเล็ตก็ไม่เต็มใจที่จะอนุมัติให้มีกิจกรรมดังกล่าว เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขานายกเทศมนตรีก็โดนเล่นงานอยู่ดี

บนเรือสำราญ ผู้โดยสารกำลังคุยบางอย่างร่วมกัน ทันใดนั้นมีคนตะโกนด้วยเสียงตกใจ “มองทะเลเร็ว มองไปที่ทะเลเร็ว! มองไปทางใต้ พระเจ้า เหลือเชื่อ!”

หลังจากได้ยินเสียงตะโกน ทุกคนมองไปทางทิศใต้ เห็นร่างที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในทะเลที่ปั่นป่วน จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่พวกเขาอย่างรวดเร็ว …

………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท