ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1772 รับประทานอาหารใต้อาทิตย์อัสดง

บทที่ 1772 รับประทานอาหารใต้อาทิตย์อัสดง

กระชังนี้มีไว้สำหรับจับปลาไหลนา ที่บ้านเกิดของฉินสือโอวก็มีของแบบนี้ ชื่อของมันนั้นดุร้ายมาก นั่นก็คือกรงสิ้นตระกูล ของสิ่งนี้มีพลังเป็นอย่างมาก เพราะว่าที่ปากของกระชังเต็มไปไม้ไผ่เหลาแหลม ปลาไหลนาสามารถเข้าไปในนั้นได้อย่างอสระ แต่ไม่สามารถออกมาได้ ถ้าหากว่าพวกมันลองกระโดดออกมา ก็จะโดนไม้ไผ่แหลมพวกนั้นข่วนแทงจนเป็นแผล และเลือดของพวกมันก็จะล่อปลาไหลนาตัวอื่นๆ ให้เข้ามา

เขาอธิบายที่มาของชื่อกรงสิ้นตระกูลให้ฟัง เหมาเหว่ยหลงจึงพูดขึ้นมาทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า “คนเรานี่ฉลาดจริงๆ เลยเนอะ เมื่อพูดถึงชีววิทยาแล้ว ความฉลาดนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาเลย”

เมื่อกระชังและตาข่ายถูกวางลงในน้ำ เหมาเหว่ยหลงก็แจกเบ็ดตกปลาให้ฉินสือโอว พลางพูดว่า “มาๆ พวกเรายังต้องตกปลากันอีก วันนี้ตกได้อะไรก็ทานอันนั้นแหละ หวังว่าจะตกได้ปลาไหลนานะ แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาต้องแสดงฝีมือซะแล้ว เขาดึงเบ็ดตกปลาออกมาพลางพูดว่า “ถ้าแกคิดจะตกปลาไหลนา ก็ไม่ควรใช้เบ็ดอันนี้ ไปหากิ่งไม้มา พวกมันมีความยืดหยุ่นที่ดีที่สุด ฉันจะสอนวิธีจับปลาไหลนาให้เอง”

อันที่แล้ววิธีของเขาไม่ได้ถือว่าเป็นการตกปลา แต่ว่าที่บ้านของเขา ถ้าหากต้องการตกปลาไหลนา พวกเขาต่างก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น

เหมาเหว่ยหลงหากิ่งไม้มาให้เขาจำนวนหนึ่ง ฉินสือโอวเลือกอันที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดมาอันหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ผูกปลายของมันเข้ากับตะขอ เขาห้อยตับไก่ไว้ที่ตะขอแล้วเดินไปรอบๆ บ่อ ปลาไหลนาชอบทำรังและขุดหลุมใกล้ๆ กับริมบ่อ อีกทั้งเพราะความเคยชินของมัน พวกมันจะเข้าออกรูของมันตรงๆ มีบางครั้งที่จะอ้อมไปทางอื่นเพื่อเข้ารูบ้าง

หลังจากที่ฉินสือโอวหารูของมันเจอหนึ่งรู เขาก็ค่อยๆ แหย่กิ่งไม้เข้าไปใกล้ๆ กิ่งไม้นั้นมีแรงยืดหยุ่นมากที่สุด ทำให้มันสามารถปรับรูปเข้ากับมุมของรูได้ เมื่อตับไก่ลอยอยู่หน้าปลาไหลนา ปลาไหลนาก็อ้าปากเพื่อที่จะกิน ตอนนั้นเองหากคุณรู้สึกว่ากิ่งไม้ของคุณขยับ ก็ดึงกิ่งไม้ขึ้นมาเท่านี้เหมือนกับการตกปลา

ปรากฏว่า เมื่อกิ่งไม้ของเขาเข้าไปใกล้รู เขาก็ปล่อยมือเล็กน้อย เมื่อกิ่งไม้ขยับ เขาก็ดึงกิ่งไม่ขึ้นมาทันที มีปลาไหลนาตัวขนาดยาวประมาณครึ่งเมตรกว่าติดอยู่ที่ปลายตะขอ

เหมาเหว่ยหลงมองภาพนั้นด้วยสายตาเป็นประกาย เขาหยิบเบ็ดตกปลาขึ้นมาเพื่อที่จะหารูปลาไหลนา ฉินสือโอวพูดขู่เขาขึ้นมาว่า “แกระวังหน่อยสิ บางทีรูของปลาไหลนาก็มีงูอยู่นะ ที่บ้านฉันมีลุงอยู่คนหนึ่ง ที่เด็กๆ เขาซนแล้วเอามือไปแหย่รูปลาไหล ปรากฏว่าโดนงูผิดกัดเข้า สุดท้ายก็ต้องตัดมือตัวเองทิ้ง น่าสงสารมาก!”

แม้ว่างูพิษในแคนาดาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่างูพิษในออสเตรเลียในซีกโลกใต้ แต่พวกมันก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะในฟาร์มแบบนี้ มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด เหมาะที่จะเป็นที่ซ่อนตัวสำหรับงูเป็นอย่างมาก

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว เหมาเหว่ยหลงก็กลัวขึ้นมา เขาตัดสินใจนั่งลงบนฝั่งและตกปลา แค่จับได้ปลานอร์ทเทิร์นไพค์ก็ดีแล้ว เพราะเหตุนี้จึงทำให้ฉินสือโอวหัวเราะให้ความขี้ขลาดของเหมาเหว่ยหลง เหมาเหว่ยหลงแก้ตัวว่าเขาแค่กลัวมือสกปรกเท่านั้น

ฉินสือโอวไม่เชื่ออยู่แล้ว เขายังคงหัวเราะเหมาเหว่ยหลงต่อไป เขาจับปลาไหลนามาได้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็โยนไปที่เหมาเหว่ยหลงพร้อมตะโกนออกมาว่า ‘มีงู’ ปรากฏว่าเหมาเหว่ยหลงเอื้อมมือไปจับมันอย่างใจเย็นแล้วใส่เข้าไปในถังพลาสติก พลางพูดขึ้นมาอายๆ ว่า “ฉันยอมรับ ว่าฉันขี้ขลาดจริงๆ แต่ฉันไม่ได้โง่นะ! ถ้ามีงูพิษเข้ามาติดกับเบ็ดจริงๆ แกจะยังโยนมาให้ฉันอยู่รึยังไง? ขอร้องล่ะ คราวหน้าโยนมาพร้อมกิ่งไม้เลยโอเคไหม? การแสดงของแกนี่ใช้ไม่ได้เลย โง่จริงๆ!”

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเถียงกันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเก็บกระชังขึ้นมาหลายรอบ สิ่งที่ได้มาทั้งหมดคือปลาไหลนาจำนวนยี่สิบกว่าตัวและปลาไหลขนาดเล็กใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง ปลาไหลนาและปลาไหลที่มีขนาดเท่ากับตะเกียบสั้นๆ ถูกปล่อยกลับลงบ่อ ส่วนตัวอื่นๆ ถูกนำกลับไปทำอาหาร

นอกจากปลาไหลนาและปลาไหลแล้ว เหมาเหว่ยหลงก็จับแกะมาอีกหนึ่งตัว เขาให้แบล็คไนฟ์และบีบีซวงฆ่าพวกมันเพื่อนำมาทำบาร์บีคิว สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์ที่เลี้ยงในฟาร์ม พวกไม่มีกินอาหารสังเคราะห์เลย เนื้อของพวกมันเป็นลายหินอ่อน ดูก็รู้เลยว่าเป็นเนื้อคุณภาพดีอันดับต้นๆ

ปลาไหลนาถูกนำมาทำเป็นกับข้าวสองอย่าง หนึ่งคือปลาไหลตุ๋น และอีกหนึ่งคือปลาไหลกระทะผัดเผ็ด ปลาไหลก็ถูกนำมาทำเป็นอาหารสองเมนู พวกมันถูกล้างจนสะอาดแล้วถูกนำมาทำผัดจนแห้ง แล้วกินเหมือนกับปลาแคปลิน ทานคู่กับยี่หร่า ปลาไหลที่มีขนาดอ้วนหน่อยจะถูฏนำมาทำเป็นซุปใส่เต้าหู้ อาหารพวกนี้เป็นฝีมือของหลิวซูเหยียน กลิ่นและรสชาติครบรส

ฉินสือโอวมีหน้าที่เสิร์ฟอาหาร เมื่อเห็นหลิวซูเหยียนกำลังยุ่งอยู่ในครัว เขาก็เดินออกมาตบไหล่ฉินสือโอวพลางพูดด้วยความชื่นชมว่า “แกนี่วิสัยทัศน์ดีจริงๆ ภรรยาคนนี้เป็นคนที่ดี พูดกันตามตรง แม้ว่าเมื่อก่อนหลิวซูเหยียนจะทำงานแบบนั้นมา….”

เหมาเหว่ยหลงตัดบทเขาอย่างไม่พอใจว่า “เอาล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

ฉินสือโอวยกมือขึ้นขอโทษ “โอเคๆๆ เมื่อกี้ฉันพูดมากไปเสียหน่อย ท่านเหมาเป็นคนจิตใจดีกว้างขวาง ไม่เหมือนฉันที่พูดเรื่อยเปื่อยจากความรู้อันน้อยนิด”

อันที่จริงแล้วเขารู้ว่าเมื่อก่อนฐานะของหลิวซูเหยียนก็ไม่ได้น่าขายหน้าอะไร เหมาเหว่ยหลงเคยบอกเขาแล้ว หลิวซูเหยียนเป็นแม่เล้าในไนต์คลับ ไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบนั้น ลูกน้องเขาก็แค่มีหน้าที่ดื่มเป็นเพื่อนและร้องเพลงเป็นเพื่อนเท่านั้น แน่นอนว่าอาจมีการแตะเนื้อต้องตัวบ้าง แต่ผู้หญิงอย่างนั้น กับผู้หญิงกลางคืนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย เธอแค่ทำงานตอนกลางคืนแต่ไม่ใช่ผู้หญิงกลางคืนแบบนั้น

เหมาเหว่ยหลงไม่ชอบฟังแน่นอน เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมา เขาออกไปช่วยแบล็คไนฟ์ล้างเนื้อแกะ จากนั้นก็เลือกเนื้อแกะดีๆ สองสามชิ้นมาวางไว้บนตะแกรงปิ้งย่าง

เนื้อแกะสีแดงนุ่มและมีไขมันอยู่เล็กน้อย เมื่อย่างเนื้อแกะจนสุก เขาก็หยดน้ำมันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเนื้อแกะด้านนอก เมื่อน้ำหยดลงบนถ่านทำให้เกิดเสียงดังซู่ๆ ขึ้นมา และเกิดสะเก็ดไฟขึ้นมาไม่หยุด

เหมาเหว่ยหลงเดินมาส่งเบียร์ให้เขาหนึ่งขวด ฉินสือโอววิ่งเข้าไปรับเบียร์มา แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ขอโทษ แกเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหม”

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ขอโทษบ้าบออะไรล่ะ วันนี้ฉันไม่ได้เตรียมเบียร์ไว้เยอะ แกอยากจะฆ่าตัวตายหรือยังไง?”

กลิ่นหอมของเนื้อแกะฟุ้งกระจายไปทั่ว สุนัขพิตบูลสองตัวที่กำลังเล่นกับตั๋วตั่วและเถียนกวาอยู่วิ่งตามกลิ่นมาด้วยความรวดเร็ว พวกมันนั่งรอรอบๆ เตาพลางมองไปยังสเต๊กที่อยู่ในมือของฉินสือโอว น้ำลายหยดลงมาจากปากของพวกมัน บางครั้งพวกมันก็เลียปากไปมา เรียกได้ว่าตอนนี้พวกมันน้ำลายสอ

ฉินสือโอวนำเนื้อขนาดใหญ่มาย่างด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นก็โยนไปบนพื้นหญ้า จากนั้นสุนัขพิตบูลทั้งสองตัวก็เริ่มแย่งกัน และวิ่งไล่กันไปมา ท่าทางมีความสุขเป็นอย่างมาก

เมื่อย่างเนื้อแกะเสร็จแล้ว เหมาเหว่ยหลงก็เตรียมเตาย่างขนาดเล็ก แล้วนำขาแกะไปแขวนไว้รอบๆ ด้านบนเตา จากนั้นก็หมุนขาแกะเพื่อย่างมันไปเรื่อยๆ เถียนกวาได้กลิ่นหอมของอาหาร เธอดูดนิ้วเล็กๆ ของตัวเองอย่างหิวโหยพลางจ้องมองไปข้างหน้า

หลิวซูเหยียนพูดกลั้วหัวเราะว่า “เถียนกวา อย่าอมนิ้วตัวเอง มันสกปรกนะ”

เถียนกวามองไปยังหลิวซูเหยียน จากนั้นก็ดูดนิ้วต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย ฉินสือโอวและวินนี่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่านี่เป็นนิสัยปกติของเด็ก ไม่รู้ว่าเถียนกวาดดูดนิ้วตัวเองไปไม่รู้กี่รอบแล้ว ท่าทางของเธอดูน่ารักไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก

เมื่อลูกชายของเหมาเหว่ยหลงเห็นแบบนั้นก็ดูดนิ้วเลียนแบบเถียนกวา หลิวซูเหยียนหยิบนิ้วของเขาออก เขาร้องออกมาและพยายามจะดูดนิ้วอีก เมื่อเถียนกวาได้ยินเสียงร้องไม่พอใจของเขา เธอก็เดินเข้าไปตีเขาหนึ่งที พลางขมวดคิ้วและพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ไม่ฟัง ตีๆ!”

เด็กชายรู้สึกว่าพี่สาวเจ้าเนื้อคนนี้ต่างจากพ่อแม่ของตัวเอง เธอเป็นคนที่ทำให้เขาเชื่อฟังได้ เขาจึงเข้าไปในอ้อมแขนของหลิวซูเหยียนอย่างอายๆ และไม่กล้าแสดงอารมณ์โมโหอีก

………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน