ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1774 การซื้อฟาร์ม

บทที่ 1774 การซื้อฟาร์ม

นายตำรวจมองไปยังฉินสือโอวครู่หนึ่ง คุณชายฉินคิดว่านายตำรวจรู้จักฐานะของเขา เขาจึงเชิดหน้าขึ้นอย่างโอ่อ่าท้าทาย ด้วยอำนาจของเงิน และฐานะของเขา นายตำรวจไม่สามารถเอาเรื่องจุดไฟย่างข้าวโพดมาเล่นงานเขาได้แน่

แต่นายตำรวจทั้งสองคนกลับไม่รู้จักฐานะของฉินสือโอว อีกทั้งพวกเขายังพอใจในทัศนคติของฉินสือโอวอีกด้วย การที่ตำรวจจ้องไปที่เขาก็เพื่อยืนยันบ้านเกิดของเขา “คุณเป็นคนจีนใช่ไหม? มาแคนาดานานแค่ไหนแล้ว?”

ฉินสือโอวตอบตามความเป็นจริง “อันที่จริงก็ไม่ได้นานมากนะครับ”

นายตำรวจคนนั้นพยักหน้า สีหน้าของเขาดูดีขึ้นมาอีกนิดหน่อย เขาพูดว่า “ตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยว ไม่อนุญาตให้จุดไฟในพื้นที่เพาะปลูกนะ เพราะว่าไฟอาจจะเกิดการลุกไหม้ได้ และอาจจะนำไปสู่กันเกิดไฟลุกลามเป็นวงกว้าง เรื่องนี้อาจจะไม่เหมือนกับประเทศของคุณ ดังนั้นผมหวังว่าพวกคุณจะระวังให้มากขึ้น”

ฉินสือโอวพยักหน้าให้เขาเช่นกัน และพูดว่า “ขอบคุณพวกคุณที่ชี้แนะ ต่อไปผมและเพื่อนของผมจะระวังมากกว่านี้”

จากนั้นนายตำรวจทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไรอีก แต่เขาได้ออกใบค่าปรับให้แก่เหมาเหว่ยหลง ค่าปรับเป็นเงินเจ็ดสิบห้าดอลลาร์แคนาดา เป็นการลงโทษที่เขาไม่สามารถจัดการฟาร์มของตัวเองได้ เหมาเหว่ยหลงรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เขาถามออกมาว่า “พวกคุณครับ ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผมนะครับ?”

นายตำรวจที่อายุมากกว่าอีกคนยิ้มพลางตอบกลับว่า “คุณเป็นเจ้าของฟาร์มหรือเปล่าล่ะ คุณผู้ชาย?”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้า นายตำรวจคนนั้นจึงพูดต่อว่า “งั้นผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ใช่ครับ ความรับผิดชอบนี้เป็นของคุณ ดังนั้นต่อไปคุณต้องดูแลฟาร์มของคุณให้ดี คุณมีหน้าที่ที่จะต้องควบคุมดูแลฟาร์มแห่งนี้ แน่นอนว่า ถ้าหากว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ และมีคนต้องการข่มเหงฟาร์มของคุณ แบบนั้นก็สามารถปัดความรับผิดชอบได้”

เมื่อได้ยินคำอธิบาย เหมาเหว่ยหลงก็ทำได้เพียงรู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคไม่ดี เขาไม่พกเงินติดตัวมาด้วย แม้ว่าที่นี่จะเป็นบ้านของเขา แต่พวกเขาออกมาทำงานกันที่ฟาร์ม ใครจะพกกระเป๋าเงินออกมากันล่ะ? ฉินสือโอวหัวเราะคิกคักพลางตบกระเป๋าบนร่างกายของตัวเอง ปรากฏว่ามีเงินจำนวนห้าสิบดอลลาร์อยู่ในกระเป๋าของเขา และแบล็คไนฟ์ให้เพิ่มอีกยี่สิบห้าดอลลาร์ เขายักไหล่แล้วพูดว่า “ถือว่าเป็นการสนับสนุนคุณก็แล้วกัน”

เมื่อนายตำรวจทั้งสองออกใบเสร็จค่าปรับเรียบร้อย รถตำรวจพร้อมกับเสียงไซเรนก็ขับออกจากฟาร์มไป ฉินสือโอวใช้ข้อศอกกระทุ้งเหมาเหว่ยหลง พลางพูดหยอกเย้าว่า “เป็นอย่างไร ตกลงแล้วการทำงานของตำรวจประเทศไหนมีความเป็นมนุษยธรรมมากกว่ากัน?”

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “การทำแบบนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นการปกป้องนายทุนโดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในสังคมทุนนิยม…บ้านฉันทุนน้อย ส่วนแกเป็นนายทุนนายใหญ่ อย่างไรพวกเขาก็ปกป้องแก”

เมื่อตกบ่าย พวกเขาก็จัดการเก็บข้าวโพดที่เหลือ โดยการใช้เครื่องจักรอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเก็บข้าวโพด เครื่องดึงเปลือกข้าวโพดอัตโนมัติ และเครื่องแกะเมล็ดข้าวโพดอัตโนมัติ และสุดท้ายก็ขนส่งพวกมันด้วยรถแทรกเตอร์​ เพื่อนำไว้ในสายพานที่ส่งตรงไปถึงโรงเก็บข้าวโพด หลังจากนั้นก็พักไว้สักหน่อยก็สามารถนำไปขายได้แล้ว

ตอนนี้ทั่วฟาร์มเต็มไปด้วยต้นข้าวโพดที่ร่วงโรย พวกเขาต้องใช้เครื่องจักรในการเก็บก้านข้าวโพด ไม่อย่างนั้นจะปลูกข้าวสาลีต่อไม่ได้ ก้านข้าวโพดพวกนี้สามารถนำไปขายเพื่อนำไปเป็นอาหารให้วัวและแกะได้ด้วย หลังจากที่ก้านข้าวโพดพวกนี้ถูกนำไปหมักกับหญ้าและกระดูกป่น ก็จะกลายเป็นอาหารผักสีเขียว ฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ต้องพึ่งพาอาหารนี้เพื่อความอยู่รอดในฤดูหนาว

แน่นอนว่าเรื่องนี้ฉินสือโอวไม่ต้องเข้าไปช่วย เพราะว่าเหมาเหว่ยหลงไม่มีเครื่องจักร ดังนั้นเขาจึงต้องไปเช่าเครื่องบรรทุกฟางอัตโนมัติมา และตอนนี้ฟาร์มอื่นๆ ที่มีรถชนิดนี้ก็กำลังยุ่งกับการเก็บเกี่ยวข้าวโพด ดังนั้นเขาต้องรอไปอีกสองสามวัน

ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูสิ ฟาร์มของแกนี่ใช้ไม่ได้เลย ยังขาดเครื่องจักรอีกล่ะ? เป็นไง พวกเรามาช่วยแกขนาดนี้ จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?”

“ฉันจะให้สินสอดเถียนกวาเยอะๆ” เหมาเหว่ยหลงพูด

เมื่อฉินสือโอวได้ยินประโยคนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมา เขาตอบกลับว่า “อย่ามาล้อเล่นสิ เถียนกวายังต้องการสินสอดอยู่อีกเหรอ? แกดูฉันกับวินนี่เสียก่อน แกดูไอคิวและอีคิวของพวกเราสองคนสิ ในอนาคตเถียนกวาจะต้องเป็นเทพีผู้สง่างามอย่างแน่นอน แต่ถ้าลูกชายของแกอยากแต่งงานกับลูกสาวของฉัน แบบนั้นก็ต้องแสดงทักษะอะไรสักหน่อยนะ”

เหมาเหว่ยหลงตอบกลับว่า “วินนี่ทั้งสวยและฉลาด เรื่องนี้ฉันยอมรับ แต่ว่าแกเอาตัวเองไปเทียบกับไอคิวและรูปลักษณ์ของตัวเองกับวินนี่เนี่ยนะ? ฉันไม่เคยเห็นแกหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย เอาล่ะ อย่าถลึงตามาแบบนั้น บอกมาสิ ว่าทักษะอะไร? รายได้ต่อปีเท่าไรน่ะเหรอ?”

ฉินสือโอวโบกมือปัด “ฉันไม่ได้ต้องการรู้รายได้ต่อปี แกดูฐานะของเพื่อนแกตอนนี้ด้วย ยังจะสนใจเรื่องเงินอีกเหรอ? ที่ฉันอยากเห็นคือบุคลิกภาพและความสามารถ เรื่องความสามารถวินนี่จะเป็นคนตัดสิน ความสามารถที่ฉันพูดก็คือ เช่นว่าการถ่ายวิดีโอ ก็ต้องได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ หากเป็นนักคณิตศาสตร์ ก็ต้องได้รับรางวัลฟิลด์ หากเป็นนักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์และอื่นๆ แบบนั้น….”

“รางวัลโนเบล?” เหมาเหว่ยหลงตัดบทคำพูดของเขา

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาและเข้าไปกอดคอเขา พลางพูดออกมาว่า ​”ใช่ ดูเหมือนว่าแกกับฉันจะมีความคิดเหมือนกันนะ”

เหมาเหว่ยหลงโมโหแทบบ้า เขาดันฉินสือโอวออกพลางพูดว่า “ความคิดเหมือนแกกับผีน่ะสิ ไปไกลๆ ไป รีบไปซื้อเครื่องจักรสำหรับฟาร์มของฉันมาเลย ฟาร์มของฉันยังขาดของอีกเยอะนะ”

แม้ว่าคำพูดของฉินสือโอวจะเป็นเพียงการล้อเล่น แต่เขาต้องการปรับปรุงฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงให้สมบูรณ์จริงๆ การประมูลในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เขาได้รับเงินมาเกือบสองพันดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างฟาร์มที่สมบูรณ์เงินที่ใช้ไม่ถึงหนึ่งล้านด้วยซ้ำ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

วันรุ่งขึ้น เหมาเหว่ยหลงและฉินสือโอวก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ มุ่งหน้าไปยังลานขายเครื่องจักรสำหรับทำฟาร์มในแฮมิลตัน เหมาเหว่ยหลงบอกว่ามันไม่ได้ไกลไม่ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปก็ได้ นั่งเครื่องบินของเขาไปก็พอแล้ว แต่ฉินสือโอวส่ายหัว บอกว่าแม้จะไปห้องน้ำก็ต้องเฮลิคอปเตอร์ นี่ไม่ใช่เครื่องบิน ต้องใช้ให้คุ้ม! ตอนนี้คุณชายฉินอย่างเขามีมูลค่ามหาศาล!

ด้วยเหตุนี้เหมาเหว่ยหลงจึงหัวเราะออกมา แต่เมื่อขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์จริงๆ เขาก็เลิกหัวเราะฉินสือโอว การตบแต่งโลมาน้อยอย่างหรูหราโอ่อ่าทำให้เขาพูดไม่ออก แม้ว่านี่จะเป็นรุ่นที่สองก็ตาม เขาไม่เคยนั่งเฮลิคอปเตอร์แบบนี้มาก่อน เขาไม่เข้าใจฟังก์ชันต่างๆ ที่อยู่ด้านบน ถึงคราวที่ฉินสือโอวจะหัวเราะเขาแทนแล้ว

แต่ว่าที่เหมาเหว่ยหลงพูดก็ถูก อันที่จริงไม่ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์มาก็ได้ เพราะเมื่อบินมาได้ยี่สิบนาที ลานขายเครื่องจักรก็ปรากฏอยู่ที่ด้านล่าง บีบีซวงลดความสูงของเครื่องลง ฉินสือโอวจึงพูดออกมาว่า “บินไปข้างหน้าอีกหน่อย บินอยู่สักพักก่อน นายไม่เห็นว่าเถ้าแก่เหมามีความสุขมากแค่ไหน?”

เหมาเหว่ยหัวเราะออกมาเสียงดัง “แม่แกสิ ไม่แกล้งฉันจะนอนไม่หลับหรือยังไง? รีบลงไปเร็วเข้า อากาศร้อนขนาดนี้ ยิ่งชักช้าก็ยิ่งร้อน!”

เครื่องจักรในร้านอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก มีเครื่องจักรหลายเครื่องที่ฉินสือโอวพึ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก ฟาร์มปลาของเขาต้องการบางอย่างที่แตกต่างจากฟาร์มของที่นี่อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจการทำงานของเครื่องจักรแปลกๆ พวกนี้ เหมาเหว่ยหลงได้ศึกษาเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ฉินสือโอวจึงหน้าที่เพียงแค่ถือบัตรจ่ายเงินให้เท่านั้น

เครื่องจักรแต่ละอันที่เหมาเหว่ยหลงเลือกไม่ได้มีราคาแพงเลย เครื่องไถเครื่องหนึ่งราคาแค่หนึ่งหมื่นหกพันดอลลาร์เท่านั้น แพงที่สุดคือรถสำหรับฉีดพ่นยาฆ่าศัตรูพืช ใช้สำหรับฉีดไล่ศัตรูพืชและพ่นน้ำ โดยราคาอยู่ที่ห้าหมื่นดอลลาร์

หลังจากซื้อของทั้งหมด ฉินสือโอวก็ใช้เงินไปไม่ถึงสองแสนดอลลาร์ เห็นได้ชัดว่าเหมาเหว่ยหลงไม่ต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากเขามากเกินไป

เมื่อจ่ายเงินเสร็จ พ่อค้าก็มีหน้าที่ส่งเครื่องจักรพวกนี้ไปที่ฟาร์ม ในขณะที่พวกเขากำลังจะกลับ จู่ๆ ฉินสือโอวก็สังเกตเห็นของน่าสนใจบางอย่าง เข้าจึงโน้มตัวไปมองใกล้ๆ

…………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน