ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1775 พื้นที่ล่าสัตว์

บทที่ 1775 พื้นที่ล่าสัตว์

สิ่งที่ฉินสือโอวเห็นคือโดรนสำหรับการท่องเที่ยว ปีกของมันทั้งสองข้างกว้างประมาณหนึ่งเมตร ดูเหมือนกับเครื่องบินของเล่น แต่ตามคำแนะนำประสิทธิภาพของมันนั้นสูงมาก แน่นอนว่าราคาก็สูงตามเช่นกัน ราคาของมันไม่ต่ำกว่าสี่แสนดอลลาร์แคนาดาแน่นอน

เหมาเหว่ยหลงรู้ว่าเขาอยากจะซื้อ จึงพูดห้ามออกมาอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่ต้องใช้มัน ฉิน จริงๆ นะ ฉันไม่ได้เกรงใจแกนะ แต่ของแบบนี้ที่ฟาร์มของฉันไม่ต้องใช้ พื้นที่เราเล็กๆ แค่ 1,800 เอเคอร์เท่านั้น ใช้คนทำงานก็พอแล้ว”

ฉินสือโอวยืนยันที่ซื้อมัน เขาพูดว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าจะซื้อให้แกเสียหน่อย ฉันซื้อให้ภรรยาและลูกสาวฉันเล่นน่ะ โอเคไหม?”

เหมาเหว่ยหลงประกบมือเข้าหากันทำท่าเหมือนขอทาน “เพื่อน ขอร้องล่ะ แกปล่อยให้ฉันตามแกให้ทันหน่อยได้ไหม? แกช่วยฉันซื้อของสำหรับทำฟาร์มทั้งหมดนี้แล้ว ยังต้องดิ้นรนไปเพื่ออะไร? เอาแบบนี้ เครื่องบินลำนี้สงวนไว้ให้ฉันก่อนแล้วกัน พอฉันทำเงินได้ถึงสองล้าน เรามาซื้อกันสักลำ โอเคไหม?”

เมื่อเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ฉินสือโอวก็ไม่คาดคั้นต่อ การยึดมั่นในเรื่องนี้ของเขาเปลี่ยนไปเป็นการทำการกุศล และมันก็ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา

เพราะเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงถ่ายรูปคู่เครื่องบินลำนี้อย่างไม่เต็มใจ แล้วจากนั้นก็พาเหมาเหว่ยหลงกลับฟาร์มไปทันที

หลังจากที่พวกเขากลับมาได้ไม่นาน รถแทรกเตอร์สำหรับขนเครื่องจักรก็มาถึงเช่นกัน ฉินสือโอวชำระเงินยอดที่เหลือ เหมาเหว่ยหลงรับผิดชอบพาคนงานไปเก็บเครื่องจักรและรถทำการเกษตรที่โกดัง

เมื่อเห็นฉินสือโอวชำระเงินยอดสุดท้ายอย่างใจเย็น ใบหน้าของเขาคนเก็บเงินก็ปรากฏแววอิจฉาขึ้นมา เขาพูดว่า “เพื่อน พวกคุณเป็นคนจีนงั้นเหรอ? ผมได้ยินมาว่า ประเทศจีนของพวกคุณเต็มไปด้วยทองคำ..อ้อ ฟัค คุณคือคุณฉิน? คุณคือราชาแห่งการกอบกู้เรืออับปางในมหาสมุทร คนจีนฉิน!”

ฉินสือโอวไม่คิดว่าจะเจอเข้ากับแฟนคลับของตัวเอง ต้องขอขอบคุณข้อกล่าวหาจากรัฐบาลสเปนก่อนหน้านี้จริงๆ ตอนนั้นเรื่องราวของเขาเป็นที่โด่งดังมากจริงๆ รายงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแพร่กระจายไปทั่วแคนาดา ทำให้เขากลายเป็นคนมีชื่อเสียง

แต่ว่าฉินสือโอวไม่อยากจะรับชื่อเสียงนี้ไว้ ตอนนี้เขาควรรักษาความเป็นส่วนตัวเอาไว้จะดีกว่า เขาจึงโบกมือปฏิเสธแล้วพูดว่า “เพื่อน ผมคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมรู้จักคนที่คุณพูดถึง เขาคือไอ้หนุ่มผู้โชคดีที่กู้ซากเรือโจรสลัดขวานดำได้ใช่ไหม? ผมบอกได้แค่ว่าพวกเรามีหน้าตาที่คล้ายกัน แต่เขาเป็นเจ้าของฟาร์มปลาในนิวฟันแลนด์ ส่วนผมเป็นชาวไร่ในแฮมิลตัน”

ในสายตาของชาวผิวขาว รูปร่างหน้าตาของชาวเอเชียมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เหมือนกับที่คนเอเชียไม่สามารถแยกหน้าตาของคนผิวสีได้ เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว เขาก็ลังเลกับการคาดเดาของตัวเอง แล้วถามออกมาเบาๆ ว่า “งั้นเหรอ? งั้นคุณก็เหมือนเขามากเลย ผมคิดว่าผมเจอกับคนจีนฉินเสียอีก แต่ว่าที่คุณพูดก็พูด เขาเป็นไอ้บ้าที่โชคดีจริงๆ! ถ้าหากว่าผมโชคดีเหมือนกับเขาคงจะดีน่าดู ในข่าวบอกว่าของที่เขากู้มาได้ประมูลไปได้มูลค่าสี่พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยล่ะ! พระเจ้า ถ้าหากฉันมีเงินขนาดนั้นนะ ฉันจะจัดการนางแบบสวยๆ สักร้อยคนเลย ฮ่าๆๆ”

ฉินสือโอวหัวเราะผสมโรงด้วย ชายคนนี้ไม่คิดอะไรเลยจริงๆ

แต่ชายคนที่เด็กกว่ายืนยันที่จะถ่ายรูปกับฉินสือโอว เขาจึงอธิบายว่า “ผมเข้าใจคุณผิด เพื่อนของผมก็คงเข้าใจคุณผิดเหมือนกัน เอาแบบนี้ เรามาถ่ายรูปรวมแล้วโพสต์ลงทวิตเตอร์ให้เพื่อนๆ เห็นดีกว่า ฮ่าๆ มันต้องสนุกมากแน่ๆ”

ฉินสือโอวไม่มีอะไรจะต้องปฏิเสธ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วถ่ายเซลฟี่สองสามภาพ จากนั้นก็จากไปอย่างมีความสุข

เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน เถียนกวากับตั๋วตั่วก็วิ่งกลับบ้านมาอย่างเศร้าสร้อย ฉินสือโอวยิ้มออกมาพลางถามว่า “มีอะไรงั้นเหรอ ทำไมพวกหนูดูไม่ร่าเริงเลยล่ะ?”

เถียนกวากอดเฟอเรทพี่ชายแล้วทำหน้ามุ่ย พลางพูดว่า “ดอริสมีกระต่าย แต่หนูไม่มี”

ฉินสือโอวหันไปมองตั๋วตั่วด้วยความมึนงง ตั๋วตั่วอธิบายให้ฟังว่า “ดอริสเป็นเพื่อนบ้านของพวกเรา เป็นลูกของคุณและคุณนายเคย์ลา พวกเราไปเล่นกับเธอตอนเช้า สุนัขของเธอกำลังจับกระต่ายในไร่ น้องเถียนกวาจึงอยากได้สักตัว แต่ว่าดอริสบอกให้พวกเราเอาเฟอเรทไปแลก มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?”

เมื่อได้ยินคำพูดของตั๋วตั่ว ฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ใช่แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรกัน พี่น้องเฟอเรทเป็นเฟอเรทแบลคฟุตที่มีมูลค่าา เด็กคนนั้นฉลาด คิดว่าจะแลกพวกมันกับกระต่ายหนึ่งตัวได้อย่างนั้นเหรอ? บ้าบอจริง คนอเมริกาในวอลสตรีตยังไม่กล้าขนาดนี้เลยนะ แล้วนี่อะไรกัน?

เมื่อวินนี่ได้ยินสิ่งพวกเขาคุยกัน เธอก็นั่งลง จากนั้นก็โอบกอดเถียนกวาพลางถามว่า “ทำไมเถียนกวาไม่แลกล่ะ?”

เถียนกวาเงยหน้าจองม้องเธอด้วยดวงตากลมโต จากนั้นก็วางเฟอเรทพี่ชายไว้ที่อุ้งมือของตัวเอง “กระต่ายตัวเล็กนิดเดียว เฟอเรทตัวใหญ่กว่าอีก หนูไม่ได้โง่นะ จะแลกไปได้ยังไง?”

เหมาเหว่ยหลงกลับมาได้ยินประโยคนั้นพอดี เขาหยิบขวดเบียร์เย็นๆ ให้ฉินสือโอว พลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “เฮ้อ ลูกแกนี่ฉลาดจริงๆ เด็กคนนี้รู้เรื่องธุรกิจดีจัง ดีแล้ว ไม่แน่ว่าโตอีกหน่อยอาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจก็เป็นได้”

วินนี่บอกให้พวกเขาไปอีกทาง จากนั้นก็เริ่มสอนเถียนกวา “ลูกไม่สามารถแลกมันได้ ไม่ใช่เพราะว่ากระต่ายตัวเล็ก แต่เฟอเรททั้งสองตัวเป็นเพื่อนของหนู เถียนกวาจะไม่ทิ้งเพื่อนใช่ไหมคะ?”

ดวงตากลมโตของเถียนกว่าเปล่งประกายขึ้นมา เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ กระต่ายไม่สนุก เฟอเฟอต่างหากที่สนุก!”

เฟอเรทพี่ชายสองสาวร้องไห้ออกมาทั้งที่ไม่มีน้ำตา เจ้าไปเล่นกับเจ้าพวกนั้นเถอะนะ พวกเราเฟอเรททั้งสองตัวเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเฟอเรทนะ รู้ไหม? พวกเราเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำพวกพ้องของเรา ไม่ใช่เกิดมาเพื่อปีศาจน้อยอย่างเจ้ารังแก!

อันที่จริงแล้วเฟอเรทแบลคฟุตทั้งสองตัวนี้โตเต็มวันแล้ว ขนาดตัวของมันยาวสี่สิบเซนติเมตร แต่ว่าพวกมันตัวผอมยาว ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้หนัก บวกกับพลังของเถียนกวาแล้ว เพราะว่าเธอมักจะถือพวกมันด้วยมือข้างละตัว จนเฟอเรทพี่ชายน้องสาวคุ้นชิน ทุกครั้งที่เถียนกวาเข้าใกล้พวกมันก็จะแอ่นหลังและยืดคอเพื่อให้เธอจับ การทำแบบนี้ทำให้พวกมันไม่รู้สึกเจ็บ

ฉินสือโอวลูบหัวของลูกสาว แล้วพูดว่า “ตอนบ่ายไม่ต้องออกไปเล่นแล้ว เดี๋ยวปะป๊าพอไปจับกระต่ายดีไหม? นอกจากนี้ยังมีไข่นกด้วย ให้ลูกไปเลยสองรัง!”

“ของแบบนี้น่าจะมีนะ” เหมาเหว่ยหลงหัวเราะออกมา “ฟาร์มของฉันมีกระต่ายและนกป่าอยู่จำนวนไม่น้อย ปกติแล้วสุนัขของฉันมักจะจับกระต่ายหรือไม่ก็ไก่ฟ้าพวกนั้นมาได้ ฉันแค่กลัวพวกมันจะทำลายพืชผล จึงห้ามให้พวกมันเข้าไปไล่จับสัตว์”

ตอนกลางวันพวกเขาก็ยังคงทานเกี๊ยวน้ำกันเหมือนเดิม เกี๊ยวผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะของหลิวซูเหยียนนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ ฉินสือโอวติดอกติดใจกับอาหารเมนูนี้

ตั้งแต่บ่ายจนถึงบ่ายสองกว่า ในที่สุดฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง ในช่วงฤดูร้อนช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด แต่ตอนนี้ตั้งช่วงเที่ยงจนถึงบ่ายสอง อากาศเย็นขึ้นมานิดหน่อย เหมาะที่จะออกกำลังกาย

วินนี่กลัวว่าเถียนกวาจะสะดุดกับก้านข้าวโพดจนล้มลงได้รับบาดเจ็บ จึงตามไปด้วย อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราๆ ยังเป็นเรื่องยากที่จะเดินไปมาในทุ่งข้าวโพดที่พึ่งเก็บเกี่ยวเสร็จ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กเล่า แต่ว่าเถียนกวาตัวน้อยเป็นเด็กที่คล่องเหมือนกับสายลม อย่างน้อยก็ยังทำได้ดีกว่าตั๋วตั่ว เธอยังสามารถเดินไปมาและวิ่งเล่นได้

ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การจับกระต่าย ช่วงเวลานี้กระต่ายมักจะมีขนและไขมันที่นุ่มฟู โดยเฉพาะกระต่ายในฟาร์มที่กินพืชพันธุ์ผลไม้มาก ตอนนี้พวกมันอ้วนสมบูรณ์ ช่วงสองวันนี้ที่ฉินสือโอวเก็บเกี่ยวข้าวโพดเขาเห็นกระต่ายอ้วนด้วยตัวหนึ่ง แต่เพราะว่าขับรถอยู่จึงไม่สะดวกที่จะจับมัน และกระต่ายก็เป็นสัตว์ที่ระวังตัวเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่เมื่อเขาเห็นพวกมัน พวกมันก็จะวิ่งหนีทันที

แต่วันนี้ เขาพาสุนัขและเฟอเรทมาด้วย ในที่สุดวันนี้เขาก็จะสามารถจับกระต่ายได้

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท