ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1780 การชำระล้างอากาศ

บทที่ 1780 การชำระล้างอากาศ

อาหารเช้าเป็นอาหารง่ายๆ แต่ฉินสือโอวกลับทานด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก ไข่เจียวนั้นทั้งหอมและอร่อย เมื่อมันรวมเข้ากับเบคอนแล้ว พอทานรวมกันแล้วรสชาติกำลังพอดี เมื่อทานคู่กับนมธัญพืชทั้งห้าอีก ฉินสือโอวรู้สึกว่าอาหารเช้าตะวันตกง่ายๆ แบบนี้ช่างอร่อยยิ่งนัก

ฝนยังคงตกโปรยปราย และดูเหมือนว่าหมอกจะลงหนักมากขึ้น เหมาเหว่ยหลงเปิดวิทยุฟัง ทุกช่องรายการเหมือนกันถึงเรื่องหมอกที่มาในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ช่องจราจรรายงานมีการเกิดอุบัติเหตุที่ไหนบ้าง พวกเขาประกาศห้ามไม่ให้ผู้คนออกไปเที่ยวข้างนอกให้อยู่แต่ในบ้าน

เหมาเหว่ยหลงมุ่ยปากพลางพูดว่า “พูดน่ะมันง่าย วันนี้เป็นวันจันทร์ ไม่ออกไปแล้วจะทำงานยังไง? ไม่ทำงานแล้วเจ้านายจะยอมเหรอ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “ฉันว่านะโคโกโร่ ช่วงนี้แกมีแนวโน้มที่จะเป็นวัยรุ่นหัวร้อนหรือเปล่า ความคิดแบบนี้ค่อนข้างอันตรายนะ วัยรุ่นอย่างแกต้องจำไว้ให้ดี”

เหมาเหว่ยหลงอดที่จะด่าเขาไม่ได้ “ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ทำไมกลายเป็นคนหัวร้อนไปได้ล่ะ? แกคิดว่าไงล่ะ วันนี้วันจันทร์ ข้างนอกมีหมอกลงจัด แล้วไม่ไปทำงานได้เหรอ?”

ฉินสือโอวไม่อยากจะสนทนาในเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าเหมาเหว่ยหลงนั้นเหนื่อยเกินไปแล้ว ดังนั้นอารมณ์จึงไม่ดี เขาจึงถามกลับไปว่า “แกคิดจะจัดการฟาร์มขนาดใหญ่นี้ด้วยตัวเองงั้นเหรอ? ไม้จ้างใครเลยเหรอ? ชาวนา คนเลี้ยงวัวพวกนั้นน่ะ”

เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวแล้วตอบกลับว่า “ไม่ต้องหรอก แม้ว่าฟาร์มของฉันจะดูใหญ่ แต่มีคนดูแลคนเดียวก็พอแล้ว อันที่จริงแล้วการทำฟาร์มที่นี่ไม่ต้องใช้พลังงานมากนัก แค่จ้างคนหว่านเมล็ด จ้างเครื่องบินมาเกลี่ยปุ๋ยและพ่นยาฆ่าแมลง ตราบใดที่เราจัดการวัชพืชในขณะที่เตรียมหน้าดิน ปกติแล้วก็จะไม่มีวัชพืชอีก สำหรับการชลประทานนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความารู้ ตอนเก็บเกี่ยวแม้ว่าจะลำบากนิดหน่อย แต่หลังจากนี้ฉันวางแผนว่าจะโทรหาแกเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงช่วงนี้ยุ่งๆน่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นฉินสือโอวก็อดที่จะเหนื่อยใจไม่ได้ เขาพูดออกมาว่า “เรื่องนี้แกคำนวณด้วยตัวเองหมดแล้วใช่ไหม?”

วินนี่แกล้งพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ใครใช้ให้คุณไปยุ่งเรื่องของเขาล่ะ? ฟาร์มของโคโกโร่อันที่จริงก็ถือว่าเป็นฟาร์มขนาดเล็ก เท่าที่ฉันรู้ คู่สามีภรรยามีคุณสมบัติที่เป็นเจ้าของฟาร์ม หนึ่งคู่ต้องสามารถดูแลพื้นที่ได้ประมาณสามพันเอเคอร์ โคโกโร่ฟาร์มของคุณมีขนาดเท่าไรกัน? ถือว่ายังห่างไกลอยู่เยอะ ศักยภาพในการทำงานของเขาไม่ได้ถูกนำออกมาใช้จนหมด”

เมื่อได้ยินดังนั้นเหมาเหว่ยหลงก็แทบจะเป็นลม พื้นที่หนึ่งเอเคอร์ประมาณหกหมู่ แบบนี้หนึ่งหมู่ก็เป็นเนื้อที่ประมาณสามร้อยเอเคอร์ ตามที่วินนี่คำนวณ ความสามารถในการทำงานของเขาคิดเป็นร้อยละยี่สิบของคุณสมบัติของเจ้าของฟาร์มที่ควรจะเป็นเท่านั้น…

เขาร้องออกมาว่า “พระเจ้า แกเชื่อในสิ่งที่นักข่าวพูดไหม? สามพันเอเคอร์เลยนะ แกให้เจ้าของฟาร์มดูแลอะไรบ้างล่ะ ฟาร์ม ทุ่งหญ้า ปศุสัตว์ บ้าน และเครื่องจักร แกรู้ไหมว่าพวกนี้ต้องใช้พลังงานเท่าไรในการดูแลพวกมัน? หากพูดในมุมของฉันแล้ว ฟาร์มขนาดสามร้อยเอเคอร์ หากต้องการทำการจัดการให้ดี แกรู้ไหมว่าฉันต้องทำหน้าที่เป็นอะไร?”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็เลียริมฝีปาก แล้วเริ่มนับหน้าที่ตามนิ้วของตัวเอง “ชาวนา ผู้จัดการ นักบัญชี ช่างกล ช่างเชื่อม ช่างไม้ สัตวแพทย์ นักเคมี นักปฐพีวิทยา ครู นักการตลาด นักลงทุน ช่างไฟ และถ้าหากว่าแกยังอดทนฟังได้ ฉันจะบอกหน้าที่มากกว่านี้อีก! ฉิน แกถามฉันไม่ใช่เหรอว่าทำไมไม่ไปเล่นที่ฟาร์มปลา? ก็เพราะว่าฉันและหลิวซูเหยียนต้องดูแลฟาร์มที่มีขนาดใหญ่นี้น่ะสิ แกคิดว่าพวกเราจะมีเวลาไปเล่นที่ฟาร์มปลางั้นเหรอ? คิดว่ามีเวลาไปเล่นงั้นเหรอ?”

ฉินสือโอวพูดออกมาอย่างงงๆ ว่า “แกบอกว่า ‘ครู’ แกเป็นครูสอนหนังสือตั๋วตั่วกับลูกชายเหรอ?”

เยจื่อ เป็นชื่อที่เหมาเหว่ยหลงตั้งให้กับลูกชายของเขา เขาเดินตามรอยฉินสือโอว นั่นคือการตั้งชื่อลูกเป็นผลไม้ ชื่อพวกนี้ไม่ได้เด่นอะไร เป็นวิธีการเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ ตามวิถีของชาวไร่แต่เมื่อได้ฟังแล้วกลับให้ความรู้สึกสนิทสนม และเป็นที่จดจำ

เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวแล้วตอบกลับว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว ชาวนาที่ฉันจ้าง มีบางคนเป็นมือใหม่ ฉันต้องคอยสอนงานให้พวกเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร อ้อ พูดถึงตรงนี้ฉันก็ลืมพูดถึงหน้าที่ของฉันอีกอย่างนั่นก็คือนักเรียน ทุกเดือนฉันจะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะเข้าร่วมชั้นเรียนการเกษตรกรรม การป่าไม้ การเลี้ยวสัตว์และการประมงด้วย”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกเศร้าไปกับเหมาเหว่ยหลง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเคร่งครัดสำหรับรุ่นที่สองและสาม ปรากฏว่าเขากลับออกจากประเทศเพื่อมาเป็นชาวนาซะงั้น เขาพูดแซวเล่นว่า “หรือแกจะบอกว่าประเทศทุนนิยมนี้น่ารังเกียจจนเกินไป อันที่จริงทุนนิยมเปลี่ยนคนให้เป็นผีและสังคมนิยมเปลี่ยนผีให้เป็นคนมีความเมตตานะ…”

เหมาเหว่ยหลงผลักเขาพลางหัวเราะและสบถออกมา “ปากเสียจริงๆ ว่าใครเป็นผีกัน?”

เมื่อช่วงเช้าฝนยังคงไม่หยุดตก เหมาเหว่ยหลงมีไพ่นกกระจอกอยู่พอดี เขาจึงหยิบมันออกมาเล่นกับฉินสือโอวรวมทั้งแบล็คไนฟ์และบีบีซวง แล้วทั้งสี่คนก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แบล็คไนฟ์และบีบีซวงนั้นต่างเป็นผู้เล่นฝีมือดี เวลาอยู่ที่ฟาร์มปลาแล้วไม่มีอะไรทำกันพวกเขามักจะชอบสร้างกำแพงเช่นนี้ ฉินสือโอวประสบความสำเร็จในการนำกิจกรรมนี้เข้ามาเผยแพร่ที่เกาะแฟร์เวลเป็นอย่างมาก

ปกติแล้วพวกเขาทั้งสามคนคุ้นเคยกับกติกาการเล่นไพ่นกกระจอกอยู่แล้ว พวกเขาจึงรวมหัวกันเล่นงานเหมาเหว่ยหลง

เมื่อเหมาเหว่ยหลงโดนเล่นงาน เขาก็เหงื่อออกท่วมตัว เมื่อหลิวซูเหยียนเห็นว่าท่าไม่ดี จึงส่งลูกชายให้แก่เหมาเหว่ยหลง เธอยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ฉันขอเล่นสักสองตาแล้วกัน หากเล่นไม่ได้ฉันจะไปดูแลเด็กๆ เอง”

ฉินสือโอวและคนอีกสองคนดีใจที่ชนะพวกเขาต้อนรับหลิวซูเหยียนเข้ามาร่วมวงด้วย เขายังพูดพร้อมหัวเราะออกมาว่า “รอให้แพ้เยอะกว่านี้ก่อนสิ คุณอาจจะเห็นน้ำตาของเขาก็ได้นะ เรื่องนี้โคโกโร่ดูไม่ได้ที่สุด”

หลิวซูเหยียนหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร หลังจากนั้นไม่กี่รอบ ฉินสือโอวและพวกก็เริ่มตกที่นั่งลำบาก พวกเขาเจอเข้ากับมืออาชีพเสียแล้ว หลิวซูเหยียนทำให้พวกเขาทั้งสามคนที่รวมหัวกันเริ่มเกิดความวุ่นวายภายใน

อันที่จริงพอมาคิดดูแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อก่อนหลิวซูเหยียนทำงานเป็นแม่เล้า เรื่องที่ทำมากที่สุดก็คือดื่มเหล้าและเล่นไพ่นกกระจอก เหมาเหว่ยหลงเคยบอกว่าเธอเป็นมืออาชีพในเรื่องนี้ แต่ฉินสือโอวไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง เพราะแบบนี้เขาจึงสบประมาทไปหน่อย ครั้งนี้เขาจึงถือเป็นบทเรียนที่น่าสังเวชยิ่งนัก

แบล็คไนฟ์ไม่สามารถที่จะอดทนอยู่ต่อได้จึงยอมแพ้ เขาแพ้ให้แก่ผู้หญิง ช่างขายหน้ายิ่งนัก บีบีซวงก็แพ้ราบคาบ หลังจากที่แบล็คไนฟ์ออกจากวงการเล่นก็จบลง เขาบอกว่าจะออกไปยืนชมฝนด้านนอก ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นน่าขายหน้า เขาจึงยอมแพ้เช่นกัน และไม่อยากจะเล่นอีก

ฝนตกต่อเนื่องกันสองวันสองคืน ช่วงบ่ายของวันที่สามฝนจึงหยุดลง

เมื่อคืนนี้หมอกก็หายไปแล้ว พอฝนหยุดแล้วแบบนี้ เถียนกวาก็รีบวิ่งออกไปนอกบ้าน เด็กน้อยวิ่งไปมาอย่างร่าเริง เพราะเธอทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ในห้องนานๆ

หมอกล้างอากาศในแฮมิลตันจนสะอาดหมดจด ที่เรียกว่าการชำระล้างอากาศอะไรสักอย่าง? ในที่สุดฉินสือโอวก็ได้เห็นมันในครั้งนี้ เขาเดินออกไปข้างนอกและอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก นี่คือออกซิเจนแห่งธรรมชาติที่ดีจริงๆ

เถียนกวาวิ่งไล่พี่น้องเฟอเรทอย่างจริงจัง ทำให้พวกมันทั้งสองตัวกระโดดไปมาราวกับไก่ที่กำลังจะบิน และยังมีตั๋วตั่ววิ่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามหลัง เนื่องจากฝนได้ชำระล้างหญ้าแล้วพวกมันจึงนิ่มเป็นอย่างมาก เถียนกวาล้มลงหลายรอย แต่เพราะว่าเธอชินแล้วพอล้มก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อ เสื้อผ้าสีขาวเต็มไปด้วยน้ำและเศษหญ้ารวมถึงโคลนอย่างรวดเร็ว สกปรกเป็นอย่างมาก

วินนี่หัวเราะออกมาในขณะที่มองภาพเด็กสาวทั้งสองกำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข เมื่อเถียนกวาเหนื่อยแล้ว เธอก็เข้าไปช่วยเถียนกวาเช็ดหน้าที่เปื้อนออก พลางถามว่า “สนุกไหม?”

“สนุก” เถียนกวาตอบกลับอย่างร่าเริง

วินนี่พูดต่อว่า “ทำไมเถียนกวาถึงสนุกล่ะคะ?”

เด็กน้อยไม่เข้าใจเรื่องเสรีภาพและการกักขัง เธอจึงยกนิ้วขึ้นกัดโดยไม่รู้ตัว ครั้งนี้วินนี่ห้ามเธอไว้ หลังจากนั้นก็ถามว่า “เถียนกวาชอบสนามหญ้า ไม่ชอบอยู่ในห้องใช่ไหม?”

นี่คือคำตอบ เด็กสาวจึงพยักหน้าทันที

…………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน