ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1766 การประมูลการกุศล

บทที่ 1766 การประมูลการกุศล

หลังจากนั้น เบลคก็พูดขึ้นมาอีกว่า ในครั้งนี้ตระกูลใหญ่ๆ ของอังกฤษแต่ละตระกูลได้หารือกันแล้ว พวกเขาตั้งมั่นที่จะนำบารอนและอาวุธของเขากลับไปยังประเทศอังกฤษด้วย หลังจากนั้นก็จะบริจาคให้พิพิธภัณฑ์อังกฤษ เพื่อลบล้างความคับข้องใจของขุนนางอังกฤษที่พวกเขาประสบมานาน ผู้ประกอบการรัสเซียและตะวันออกกลางบางรายสนใจในอาวุธและชุดเกราะนี้มาก พวกเขาต้องการเอากลับไปด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้มูลค่าของพวกมันจึงเพิ่มมากขึ้น ไปแน่ว่าอาจจะสูงเสียดฟ้าเลยก็ได้

ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีชายวัยกลางคนสองสามคนเดินเข้ามาหา พวกเขาสวมเสื้อกั๊กและรองเท้าหนังเงามัน เมื่อพวกเขาเห็นเบลคใบหน้าของพวกเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา พลางโบกมือทักทาย

เบลคพูดกระซิบแนะนำว่า “พวกเขาคือชนชั้นสูงแห่งอังกฤษ บางคนมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อังกฤษด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ของเจ้าชายแฮร์รี่เพื่อนของนายอีกด้วย เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนทหารหลวงแซนด์เฮิร์สต์”

เมื่อเขาพูดจบ ชายอังกฤษเหล่านั้นก็เดินเข้ามาพอดี เบลคจับมือกับพวกเขา แล้วแนะนำพวกเขาให้ฉินสือโอวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เห็นได้ชัดว่าชาวอังกฤษพวกนี้รู้จักฉินสือโอว พวกเขายื่นมือเข้ามาทักทายอย่างสุภาพ แต่ว่าอาจจะเป็นความไม่คุ้นชิน พวกเขาจึงไม่ได้พูดคุยกัน พวกเขาพูดคุยกับเบลคเรื่องชุดเกราะอาวุธและศพของบารอนแชมเบอร์เลน เจตนาของพวกเขาคือการขอให้เบลคยกเลิกการประมูลในครั้งนี้แล้วบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์อังกฤษเสีย คนเหล่านั้นหยิบเอกสารออกมา “ผมรับประกันเลยว่า ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณจะได้รับความขอบคุณจากขุนนางแห่งจักรวรรดิอังกฤษทุกท่าน พวกเรายินดีที่จะให้คุณจัดงานประมูลขึ้นในลอนดอน”

ในขณะที่พูด คนพวกนั้นก็มองยังฉินสือโอวด้วยหางตา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขารู้ถึงตำแหน่งของฉินสือโอวในงานประมูลในครั้งนี้

ท่านชายฉินยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ซึ่งดูเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับการปฏิเสธโดยตรงของเขาแล้ว แบบนี้ถือว่าดูอ่อนโยนกว่าเยอะ

ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นปฏิกิริยาของฉินสือโอว เขาจึงยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณฉินจะไม่มีความคิดเห็นอะไรกับเรื่องนี้ ดังนั้นผมจึงอยากเชิญให้คุณแสดงความคิดเห็นเสียหน่อย”

ฉินสือโอวพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเกรงใจ หลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “เท่าที่ผมรู้ สมบัติประจำชาติจีนของพวกเราหลายชิ้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์และกลายเป็นของสะสมส่วนตัวของพวกคุณ เช่นนั้นทำไมพวกคุณถึงไม่คืนของพวกนั้นให้พวกเราเสียล่ะ? ผมยิ่งกว่ารับประกันให้ได้อีกว่า ขอเพียงพวกคุณทำได้ พวกคุณก็จะกลายเป็นพันธมิตรที่ดีของพวกเราอย่างแน่นอน”

สิ่งที่เขาพูดค่อนข้างตรงไปตรงมา ชายอังกฤษที่ถามเขาก่อนหน้านี้มีท่าทีทำตัวไม่ถูกทันที ส่วนคนอื่นๆ แม้ว่าจะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่พวกเขาก็คงรู้สึกไม่ค่อยดีนักเป็นแน่

ฉินสือโอวไม่สนใจพวกเขา เขาเชื่อว่าด้วยไอคิวและอีคิวที่สูงของนักธุรกิจผู้ร่ำรวยเหล่านี้แล้ว เมื่อพวกเขาร้องขอคำขอนี้ไปยังเบลค พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะถูกปฏิเสธแล้ว กลายเป็นว่าคำถามนี้คำถามที่โง่มาก ในความทรงจำของเขา มีเพียงที่อนุสรณ์สถานของแวนโก๊ะในเนเธอแลนด์เท่านั้นที่เขาเคยได้รับคำถามโง่ๆ แบบนี้

เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างไม่เห็นพ้องต้องกัน พวกเขาจึงไม่มีอะไรที่จะต้องพูดคุยร่วมกันต่อ ฉินสือโอวไปพูดคุยกับบิลลี่และแบรนดอน แบบนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นที่ยอมรับ

หลังจากที่มารวมตัวกันแล้ว แบรนดอนก็ยังคงถามเขาเกี่ยวกับชีวิตหลังแต่งงาน เขาแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นออกมา เห็นได้ชัดว่าชีวิตหลังแต่งงานของฉินสือโอวนั้นดีกว่าของเขามาก สังเกตได้จากการที่เขาเอาแต่ส่ายหัวเมื่อพูดถึงชีวิตหลังแต่งงาน

ฉินสือโอวไม่มีอะไรจะแนะนำ ชีวิตครอบครัวของเขานั้นกลมกลืนกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าวินนี่ เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีอีคิวค่อนข้างสูง เธอสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานและเวลาสำหรับครอบครัวได้ เธอดูแลบ้านได้ดีมาก รวมถึงดูแลเด็กๆ ทุกคนได้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน

เมื่อพูดคุยกันได้สักพัก ฉินสือโอว วินนี่และเถียนกวาก็กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม มีแบล็คไนฟ์และบีบีซวงคอยคุ้มกันตลอดทาง พวกเขาทั้งสองคนรออยู่ที่ด้านนอกห้องชุดเพรสิเดทสูท หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นพวกเขาจะเห็นได้ในทันที

เช้าสุดสัปดาห์ของวันต่อมา งานประมูลก็ได้เริ่มขึ้น

ฉินสือโอวพาวินนี่และลูกสาวไปยังงานประมูลพร้อมกับเขา เขาเข้าร่วมงานประมูลมานับไม่ถ้วนแล้ว แค่การประมูลครั้งนี้ไม่เหมือนกับการประมูลครั้งที่ผ่านๆ มา ในครั้งนี้มีการประมูลเพื่อการกุศลรวมอยู่ด้วย บริษัทจัดประมูลริชชี่ได้นำของเก่าและงานศิลปะที่มีมูลค่าไม่สูงมากนักออกมาประมูลด้วย เมื่อทุกคนเริ่มทำการประมูล เงินที่ได้จากการประมูลสุดท้ายแล้วก็จะนำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศลหลายแห่งในแคนาดา

เก๋งที่ใกล้น้ำย่อมได้จันทร์ก่อน ฉินสือโอวเคยชนะการแข่งขันว่ายน้ำฤดูหนาวของโครงการกองทุนการกุศลเพื่อเถียนกวา ทำให้โครงการของเขาได้เข้าร่วมกับบริษัทจัดประมูลริชชี่ในครั้งนี้ด้วย เงินส่วนหนึ่งจะเข้ากองทุนเถียนกวา

แบบนี้ ฉินสือโอวจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงตัว บังเอิญที่บนเวทีมีแม่กุญแจมงคลคล้องคอทารก ที่เป็นโซ่สีทองและตัวล็อกทำจากทองคำขาว ที่ด้านบนสลักบทกวีไว้ว่า ‘บนถนนเต็มไปด้วยดอกกระเจียวบานสะพรั่ง เสียงร้องของลูกนกดังชัดยิ่งกว่านกแก่’ จากเอกสารแนะนำแล้วแม่กุญแจคล้องคออันนี้เป็นของล้ำค่ายืนยาวของจีน ขนาดของมันใหญ่เท่ากับหัวแม่มือ การผลิตเป็นไปอย่างพิถีพิถัน ราคาประมูลเริ่มต้นที่สองแสนห้าหมื่นดอลลาร์

ฉินสือโอวรู้สึกว่าของสิ่งนี้เหมาะที่ให้เป็นของขวัญแก่เถียนกวา เขาจึงลงชื่อเป็นคนแรก และเสนอราคาไปทันทีที่สามแสนดอลลาร์

มีผู้มีอิทธิพลหลายจำนวนมากเข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ ราคาที่เขาเสนอถือว่าใช้ได้ แต่แล้วก็มีชายชาวรัสเซียผู้ร่ำรวยคนหนึ่งเสนอราคามาที่สามแสนห้าดอลลาร์ มากกว่าฉินสือโอวไปเพียงห้าหมื่นเท่านั้น ฉินสือโอวยิ้มออกมา ตอนนี้เขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินแล้ว เขาจึงดำเนินการประมูลต่อไป แต่ว่าครั้งนี้เขาเพิ่มเงินไปอีกหนึ่งแสน

ต่อมา ก็มีคนทยอยประมูลเรื่อยๆ ทุกครั้งจำนวนเงินเพิ่มขึ้นมาประมาณห้าพันถึงหนึ่งแวน จนในที่สุดราคาก็มาอยู่ที่สี่แวนสองหมื่นดอลลาร์ ชายชาวรัสเซียทำการประมูลอีกครั้ง เขาต้องการเลขกลมๆ จึงประมูลไปที่ห้าแสน ฉินสือโอวต้องการแม่กุญแจมงคลนี้จริง เขายกมือขึ้นและบวกเงินเพิ่มเข้าไปอีกเป็น 510,000

บริษัทจัดประมูลริชชี่เน้นการประชาสัมพันธ์การประมูลในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทำให้มีประชาชนทั่วไปเข้ามาดูการประมูลในครั้งนี้ด้วย ราคาของแม่กุญแจมงคลนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสองเท่าในเวลาไม่ถึงสองนาที ทำให้เสียงอุทานของชาวเมืองขึ้นมาเซ็งแซ่ “พระเจ้า ที่พวกเขาพูดมันคือตัวเลขเงินใช่ไหม?” “นี่ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจใช่ไหม? ให้ตายเถอะ ตอนนี้มองอะไรไม่ออกเลย”

มือที่สวมถุงมือสีขาวหยิบค้อนขึ้นมาเคาะโต๊ะเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ครั้งนี้ชาวรัสเซียไม่ได้ประมูลเพิ่มอีก เขามองไปยังฉินสือโอวแล้วยักไหล่ให้ เพื่อเป็นการบอกว่าเขายอมแพ้แล้ว

ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ประมูลเพิ่ม กุญแจมงคลนี้ไม่ได้มีมูลค่าการสะสมเพิ่มขึ้น ดังนั้นนี่คือขีดสุดก็การเพิ่มราคาของมันแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่ฉินสือโอวและชายชาวรัสเซียประมูลแม่กุญแจนี้ล่ะก็ ราคาขายของมันคงอยู่ที่ประมาณสามแสนดอลลาร์เท่านั้น

เพราะแบบนี้ จึงถือว่าฉินสือโอวเริ่มต้นได้ดี มือที่สวมถึงมือสีขาวยกค้อนขึ้นเคาะโต๊ะสามครั้งและตะโกนราคาสุดท้าย จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางที่ฉินสือโอวอยู่ พร้อมกับตะโกนออกมาอย่างกระตือรือร้นว่า “ยินดีด้วยกับคุณผู้ชายด้วยนะครับ เขาได้กลายเป็นเจ้าของแม่กุญแจมงคลคนใหม่ในราคา 510,000 ดอลลาร์ มาปรบมือแสดงความยินดีแก่เขากันครับ!”

จากนั้นก็มีการจัดแสดงของอีกสองสามชิ้น เหล่าคนรวยต่างพากันรักษาหน้าประมูลพวกมันมา การเริ่มต้นการประมูลแม่กุญแจมงคลด้วยราคาที่สูงที่สุด ส่วนของชิ้นอื่นมีราคาสูงสุดไม่เกิน 20,000 ดอลลาร์ ในที่สุดของประมูลเพื่อการกุศลทั้ง 15 ชิ้นก็ถูกประมูลจนหมด ไม่มีชิ้นไหนไม่ถูกประมูลไป มูลค่าของทั้งหมดรวมกันแล้วอยู่ที่ 2,850,000 ดอลลาร์แคนาดา

ส่วนของที่เหลือนั้นถือว่าเป็นไฮไลท์ของงาน และการประมูลระดับสูงก็ได้เริ่มขึ้น

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท