ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1784 การมาของมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างไม่ขาดสาย

บทที่ 1784 การมาของมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างไม่ขาดสาย

ฉินสือโอวบอกกับลูอิสว่า มิเชลนั้นพึ่งจะเข้ามัธยมเอง แม้ว่าจะพยายามเรียนหนักเพื่อข้ามชั้น แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองปีถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยได้

ลูอิสหัวเราะหึหึออกมาแล้วพูดว่า “สองปีก็ไม่ได้ถือว่านานมาก คุณฉิน พวกเรายินดีที่จะรอ พวกเราเพียงแค่อยากได้รับคำตอบรับจากคุณ ว่าเมื่อมิเชลถึงเวลาที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย เขาจะมาเข้าร่วมมหาวิทยาลัยเดวิดสันของเรา ผมสาบานได้ว่า ตราบใดที่มิเชลต้องการที่เข้าร่วมกับพวกเรา ทางมหาวิทยาลัยยินดีที่จะมอบทุนการศึกษาที่ดีที่สุดให้”

ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่เงียบๆ คนเดียว ดูเหมือนว่าผลงานของมิเชลในงานไนกี้ จูเนียร์ บาสเกตบอลจะเข้าตามหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา อย่างน้อยตอนนี้มหาวิทยาลัยเดวิดสันก็เคลื่อนไหวแล้ว อันที่จริงแล้วมหาวิทยาลัยนี้ก็ไม่เลวเลย เขาคิดจะตอบตกลง

ตอนนั้นเองวินนี่ก็เดินเข้ามา วินนี่ถามว่า “คุณลูอิสคะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการเติมกาแฟหรือไม่คะ?”

ในตอนที่พูดประโยคนั้น เธอก็ขยิบตาให้ฉินสือโอวในช่วงจังหวะที่ลูอิสไม่ได้สนใจเขา สองสามีภรรยารู้ใจกัน คุณชายฉินเข้าใจความหมายของวินนี่ที่เธอต้องการจะสื่อทันที นั่นคือการบอกกับเขาว่าอย่าพึ่งตอบตกลง ต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อน

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจการคิดวิเคราะห์ของวินนี่ แต่ฉินสือโอวก็ตอบกลับอย่างระมัดระวังว่า “ผมจะพยายามนะครับ แต่ผมยังไม่สามารถตอบตกลงได้ คุณหัวหน้าโค้ชครับ หวังว่าคุณจะเข้าใจ ผมยังไม่ได้รู้จักมหาวิทยาลัยของคุณมากนัก และยังไม่แน่ใจว่ามิเชลจะเห็นด้วยหรือไม่ ผมขอเวลาพิจารณาเสียหน่อยแล้วถึงจะสามารถตอบคำถามของคุณ ได้ไหมครับ?”

ลูอิสยังคิดอยากที่จะพูดโน้มน้าวเขา แต่ด้วยคำเตือนของวินนี่ ฉินสือโอวจึงทำใจแข็ง เขาไม่ปฏิเสธที่จะให้คำสัญญา เมื่อลูอิสเข้าใจในเรื่องนี้เขาจึงทำได้เพียงอดทนรอเท่านั้น ก่อนลูอิสจะไปเขาก็จับมือกับฉินสือโอวและพูดว่า “คุณฉิน หวังว่าผมจะได้รับคำตอบของคุณเร็วที่สุด และหวังว่าผมจะมีโอกาสได้สอนลูกของคุณ”

เมื่อดื่มกาแฟเสร็จแล้วลูอิสก็ออกจากฟาร์มปลาไป มิเชลยังคงเล่นบาสอยู่ที่ชายหาด ทรายนุ่มๆ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเล่นของเขาเลย ลูกบาสกระทบกับชายหาดจนทรายกระเด็นออกมา ทำให้เกิดเสียงดังทุ้ม เมื่อมันลอยขึ้นสูง ลูกบาสก็ตกลงมาที่มือของเขาพอดี เป็นการควบคุมแรงเช่นนี้โดดเด่นเป็นอย่างมาก

เมื่อฉินสือโอวเดินไปส่งลูอิสแล้ว เขาก็ถามวินนี่ขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ที่รัก เมื่อกี้ที่คุณขยิบตาให้ผมหมายความว่ายังไง?”

วินนี่พูดกลั้วหัวเราะว่า “ความหมายก็คืออย่าพึ่งตอบตกลงไป ฉันได้ยินมาว่า ช่วงนี้มีคณะจากมหาวิทยาลัยในอเมริกามาที่เมืองกันเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าฉันเดาไม่ผิด พวกเขาต่างพากันมาที่นี่ก็เพราะมิเชล”

ฉินสือโอวตกใจเป็นอย่างมาก มิเชลเด็กคนนี้มีผลขนาดนี้เลยเหรอ? เขาเป็นเพียงน้องใหม่ ทำไมถึงได้ดึงดูดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านบาสเกตบอลมามากขนาดนี้ แต่ว่าพอมานั่งทบทวนท่าทีในการแข่งขันบาสเกตบอลของเขาแล้ว ก็สามารถเข้าใจได้ ตอนนั้นมิเชลโดดเด่นจริงๆ ดูเหมือนว่าจะมีซูเปอร์สตาร์ด้านบาสเกตบอลเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนเสียแล้ว

พอคิดแบบนี้ก็สามารถอธิบายเรื่องราวได้ทั้งหมด ผลงานของมิเชลไม่ได้ด้อยไปกว่านักเรียนมัธยมปลายที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกาเลยแม้แต่น้อย แต่คนเหล่านั้นถูกมหาลัยที่มีชื่อเสียงดึงตัวไปนานแล้ว พวกเขาตัดสินใจว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยไหนตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามัธยมเสียอีก

มหาวิทยาลัยในอเมริกามีความกระตือรือร้นในการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ประเภทความสามารถพิเศษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือความสามารถด้านกีฬา ความสามารถด้านนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ เนื่องจากความสามารถทางกีฬาถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ส่วนความสามารถทางวิชาการเป็นเรื่องของการฝึกฝนพัฒนา กว่าจะได้รับรางวัลในแต่ละสาขาหรือรางวัลโนเบลก็ต้องใช้เวลามากกว่าสิบปี ในทางตรงกันข้าม ความสามารถทางด้านกีฬาจะส่งผลต่อการเข้ามหาวิทยาลัย

ดังนั้นนี่คือการแข่งขันสำหรับคนที่มีความสามารถ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ให้กับมหาวิทยาลัยในอเมริกา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน กองทุนสำหรับการพัฒนาส่วนใหญ่มาจากศิษย์เก่าร่วมกันระดมเงินทุน พวกเขาคือศิษย์เก่าที่ต้องการพัฒนาสังคมมหาวิทยาลัย พวกเขาจึงบริจาคให้กับมหาวิทยาลัยเพื่อใช้ในการพัฒนา เช่นวินนี่ที่บริจาคเงินให้กับมหาวิทยาลัยแห่งเวสเทิร์นออนทาริโอ

แต่ว่า ผู้บริจาคไม่สามารถบริจาคโดยไร้เหตุผลได้ ทุกการบริจาคต้องมีการตั้งชื่อ และเหตุผลในการบริจาคที่ดีที่สุดก็คือการบริจาคเพื่อให้มหาวิทยาลัยได้ประสบความสำเร็จ ทุกครั้งที่ทางมหาวิทยาลัยได้รับความสำเร็จ ส่วนมากก็มาจากเงินบริจาคของศิษย์เก่าทั้งนั้น และสิ่งที่สามารถสร้างชื่อเสียงและความสำเร็จให้แก่มหาวิทยาลัยมากที่สุดก็คือ กิจกรรมทางด้านกีฬา เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล เบสบอลและฮ็อกกี้ เป็นต้น และโดยทั่วไปแล้วพรสวรรค์ในด้านพวกนี้ก็เป็นที่ต้องการของทางมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว

ลูอิสมาหาฉินสือโอวในตอนเช้า พอตกบ่ายก็มีคนมาหาเขาที่ฟาร์มปลา ครั้งนี้คนมามีจำนวนค่อนข้างเยอะ พวกเขามาทั้งหมดห้าคน คนที่นำมาคือชายผิวขาววัยกลางคนคนหนึ่ง อายุประมาณสี่สิบกว่าปี ร่างกายกำยำ ผิวแดงก่ำ และเดินอย่างมั่นคง

หู่จือและเป้าจือนอนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเกียจคร้าน พวกมันดูเหมือนเหงาหงอยอย่างไร้ชีวิตชีวา แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันกำลังจ้องมองไปยังผู้คนเหล่านั้นเขม็ง พวกมันแค่รู้สึกว่าพวกเขามีความทะเยอทะยานที่จะมาที่นี่ ไม่นานที่ฟาร์มปลาก็กลายเป็นสนามรบ

ฉินสือโอวต้อนรับคนพวกนั้น ชายวัยกลางคนที่เป็นคนนำยืนมือมาจับกับเขาและแนะนำตัวว่า ​”สวัสดีครับ คุณฉินใช่ไหมครับ? ผมจอห์น แคปสันที่สอง หัวหน้าโค้ชของทีมมาร์เวลจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มายังฟาร์มปลาของคุณ ต้องพูดเลยว่า ฟาร์มปลาของคุณนี่สวยงามจริงๆ เพื่อน โดยเฉพาะสวนแห่งนี้ มันสวยราวกับสรวงสวรรค์เลยล่ะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดเยินยอของแคปสันที่สอง คุณชายฉินก็แสดงท่าทีเห็นด้วยออกมา เมื่อสวนเสร็จสมบูรณ์ ทั่วทั้งฟาร์มปลาก็จะมีสวนหย่อมมากมาย สวนพวกนี้มีเสน่ห์จริงๆ เมื่อมองจากมุมนี้ หัวหน้าโค้ชทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์มีทักษะการเข้าสังคมที่เก่งกว่าลูอิสเสียอีก

ทีมมาร์เวลของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์มีชื่อเสียงโดดเด่นในเรื่องบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกา ฉินสือโอวรู้จักทีมมาร์เวลดีกว่าทีมของมหาวิทยาลัยเดวิดสัน เพราะว่าตอนที่เป็นเด็กเขารู้จักนักบาสที่มีชื่อเสียงอย่างอัลเลน ไอเวอร์สันนั้นมาจากทีมนี้ ทีมมาร์เวลได้มอบตัวนักกีฬามากความสามารถมากมายให้กับเอ็นบีเอ โดยเฉพาะพวกนักกีฬาตัวใหญ่ๆ เช่นแพทริก อีวิง อาลอนโซ มอร์นนิ่ง ดิเคมเบ มูตอมโบ รวมถึงผู้ที่กำลังอยู่ในเอ็นบีเอในตอนนี้อย่าง รอย ฮิบเบิร์ต และ เกร็ก มอนโร

แต่แม้ว่าในช่วงหลายปีมานี้คนที่มีความสามารถเหล่านี้จะถูกส่งตัวเข้าไปในเอ็นบีเอ แต่หลังจากไอเวอร์สันเป็นต้นมา ทีมนี้ก็ไม่เคยมีซูเปอร์สตาร์อีกเลย การทำสถิติของทีมก็ไม่มีความก้าวหน้า และเมื่อไรที่ไอเวอร์สันจบจากมหาวิทยาลัยแล้วเข้าสู่เอ็นบีเอล่ะ? ในปี 1996 จนถึงตอนนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว…

เนื่องจากมีประสบการณ์การคุยกับลูอิสมาแล้ว ฉินสือโอวจึงเปิดประเด็นเลยว่า “ผมเข้าใจว่าพวกคุณมีจุดมุ่งหมายที่มาที่นี่ แต่ว่าตอนนี้ลูกชายของผมยังต้องเข้าโรงเรียนอยู่ อย่างนี้เขาจะได้รับความพิเศษอย่างไรบ้าง?”

“แกนหลักสำคัญ ไม่ว่ากลยุทธ์อะไรพวกเราก็มอบให้เขาทั้งหมด!” แคปสันที่สอง พูดออกมาอย่างแน่วแน่

ฉินสือโอวมองเขาด้วยความสงสัย แล้วพูดว่า “เท่าที่ผมรู้ ทีมบาสของคุณมีประเพณีสายเลือดของคนวงในอยู่ด้วย แบบนี้ลูกของผมก็คงไม่เหมาะล่ะมั้ง?”

แคปสันที่สองตอบกลับว่า “เราได้ปลูกฝังคนในให้มีประสิทธิภาพสูงเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราฝึกแต่คนภายในเท่านั้น แต่ว่าเราขาดคนนอกที่มีคุณภาพที่จะมาเข้าร่วมทีมด้วย มันจึงไม่สามารถแสดงความแกร่งแข็งของเราในการบ่มเพาะคนในให้กลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ได้! มิเชล เออร์บักจึงถือเป็นโอกาสที่ดี พวกเราจะชนะไปด้วยกัน!”

ฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “พูดได้ดีมากครับ แต่ด้วยความเคารพ นอกจาเอไอแล้ว พวกคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนนอกเลย”

แคปสันที่สองพูดว่า “คุณฉิน ผมกล้าพนันเลยว่า คุณต้องรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่มิเชลต้องการมากที่สุดคืออะไร ใช่ไหม? เขาต้องการที่กลายเป็นชายหนุ่ม เป็นหนุ่มแกร่งตัวจริง! เหมือนกันครับ ด้วยความเคารพ ลูกชายของคุณยังไม่มีจิตใจที่จะปรับตัวเข้ากับบาสเกตบอลอาชีพได้อย่างแท้จริง และก็ไม่ได้เป็นคนในวงในด้วย พวกเราถือว่าเป็นทางที่ดีที่สุด!”

………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท