บนเรือประจัญบานมิสซูรี ชาวประมงหลายคนนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือหรือกราบเรืออย่างสิ้นหวัง ภายในห้องคนขับว่างเปล่า หางเสือเรือหมุนอย่างอ่อนแรง ไม่มีใครสามารถควบคุมทิศทางของเรือลำนี้ได้ เพราะคนที่อยู่บนเรือต่างก็รู้ว่า ปลายทางของเรือลำนี้คือนรก…
คลื่นที่โหมซัดสาดซัดเรือประมงพันตันลำนี้ ตัวเรือที่ใหญ่มหึมาราวกับเป็นเปลเด็ก แค่แขนที่สั่นเปลไม่อ่อนโยนเลย ตรงกันข้ามพลังกลับน่ากลัวมาก ราวกับว่าจะโค่นล้มเรือลำนี้ภายในครั้งเดียว
“โอ้ พระเจ้า!” ชายวัยกลางคนหนวดเฟิ้มคนหนึ่งคุกเข่าลงที่หัวเรือและจับไม้กางเขนที่อยู่บนคอ “พระบิดาที่อยู่บนสวรรค์ พวกเราขออ้อนวอนให้ท่านนำทางพวกเราข้ามผ่านเส้นทางชีวิตที่มืดมนนี้อย่างถ่อมตน ปกป้องพวกเราจากความชั่วร้าย โอบกอดพวกเรา มอบพลังให้พวกเรา ทำให้พวกเราไม่เหนื่อยล้าระหว่างทาง นำพวกเราเดินไปยังเส้นทางที่ท่านเลือก ข้ามผ่านเวลาของโลกนี้และความตาย จนถึงสวรรค์บ้านชั่วนิรันดร์แห่งนั้น พวกเรารับใช้พระเจ้าและอธิษฐานในนามของพระเยซูคริสต์…”
“จอห์น เลิกสวดภาวนาทีให้ตายเถอะ ที่นี่คือดินแดนของซาตาน พวกเราอยู่ในสนามหลังบ้านของซาตาน พระเจ้าไม่ได้ยินเสียงของพวกเราหรอก!” ชายหนุ่มหัวล้านคนหนึ่งตะโกนด้วยความเศร้าโศก
มีคนเดินโซซัดโซเซเข้ามา และฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งยัดใส่ในอ้อนแขนของคนพวกนี้ พวกเขารู้ว่ากระดาษแผ่นนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร นี่คือกระดาษที่ใช้เขียนพินัยกรรม หลังจากเขียนเสร็จก็ยัดใส่กล่องปิดผนึก ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ติดต่อกับครอบครัว
น่าเสียดายที่เวลานี้พายุฝนพัดแรงมาก กระดาษที่นำออกมาจึงเปียกชุ่ม แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ขอเพียงแค่สามารถทิ้งลายมือไว้บนนั้นได้ก็พอแล้ว เขียนหวัดก็คืออ่านไม่ออกเลย
บางคนไม่เต็มใจจะทำแบบนี้ จอห์นจับไม้กางเขนลุกขึ้นมา และตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง “พวกเราไม่สมควรตาย พวกเราไม่เคยทำสิ่งเลวร้าย! พระเจ้า พวกเราทุกคนเป็นชาวประมงที่ซื่อสัตย์ ทำไมพวกเราถึงต้องพบกับจุดจบแบบนี้? ผมไม่พอใจ ผมไม่พอใจ ผมยังมีลูกอีกตั้ง 3 คน!”
“นี่คือความจริง เผชิญหน้ากับความจริงสักทีเถอะ!” ชายที่นั่งนิ่งอยู่บนดาดฟ้าเรือพึมพำว่า “หวังว่าหลังจากนี้คาร์โปลีจะหาครอบครัวดีๆ ได้ น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถไปเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาของไมเคิลได้…”
“ไม่ อย่าพูดซี้ซั้ว พวกเราจะต้องไม่ตาย! พระเจ้าจะต้องมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน พระเจ้าจะต้อง…เชี่ย! ” จอห์นเหวี่ยงกำปั้นและคำราม ดวงตาของเขามองกวาดไปในทะเลอย่างไม่มีสติ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและหยุดคำพูดของตัวเอง
ไม่มีใครสนใจปฏิกิริยาของเขา พวกเขาเริ่มเตรียมเขียนพินัยกรรมแล้ว จอห์นไม่สนใจเรื่องนี้เลย เขาขยี้ตาของตัวเองอย่างแรง และเบิกตาให้กว้างที่สุด ระหว่างนั้นลมหายใจก็แรงขึ้น หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงกว่าราวกับปั๊มน้ำมัน
“เร็ว มาดูเร็ว! เชี่ย บอกฉันทีว่านี่คือภาพหลอน!” จอห์นเบิกตากว้างและตะโกนขึ้นมา
คนอื่นๆ กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง และไม่มีความเชื่อมั่นในโชค ดังนั้นถึงแม้ว่าจอห์นจะตะโกน ก็ยังไม่มีใครสนใจเขา
ดังนั้นจอห์นจึงโกรธ เขาคว้าหนุ่มหัวโล้นที่อยู่ข้างๆ และดึงเขาขึ้นมาอย่างบังคับ เขาชี้ไปที่ทะเลและตะโกนว่า “รีบดูเร็ว! พระเจ้ามาช่วยพวกเราแล้ว บอกฉันสิ บอกฉันว่านี่คือปาฏิหาริย์ของพระเจ้าใช่ไหม?! ไม่ใช่ว่ามีแค่ฉันที่เห็นใช่ไหม?!”
ชายหนุ่มคนนั้นกวาดสายตาไปในทะเลอย่างงงงวย ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง เขาผลักจอห์นออก และเดินโซซัดโซเซพุ่งไปที่กราบเรือพยายามมองไปข้างหน้า เขามองไปด้วยตะโกนไปด้วย “ทุกคนรีบลุกขึ้นมาเร็ว รีบมาดู เกาะ..”.
“มันไม่มีทางเป็นไปได้!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง “ฉันเพิ่งจะยืนยันไปว่า ระยะทางจากเกาะที่ใกล้ถึงพวกเรายังอีก 150 ไมล์ทะเล…”
วาฬหัวทุยจ่าฝูงลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ อานวาฬจึงโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ คลื่นที่ซัดโหมกระหน่ำ และเสียงคำรามอันดุร้ายของลมทะเล ราวกับว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึง และอานวาฬก็เหมือนกับเรือโนอาห์ ซึ่งลอยขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างมั่นคงและดื้อรั้น
ภายใต้การเรียกร้องความสนใจด้วยเสียงตะโกนของจอห์นกับชายหนุ่ม ทำให้คนอื่นๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง ฝนที่ตกหนักทำให้ทัศนวิสัยในทะเลต่ำมาก แต่พวกเขาก็ยังจำวาฬหัวทุยกับอานวาฬที่อยู่บนตัวของมันได้
วาฬหัวทุยไหลไปตามกระแสคลื่น และอานวาฬก็โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างมั่นคง ราวกับกำลังรอให้พวกเขาขึ้นไป
“มันไม่ใช่เรื่องจริง มันคือภาพลวงตา!” บางคนขยี้ตาอย่างแรง “มันคือภาพลวงตา!”
จอห์นยกไม้กางเขนที่อยู่ในมือขึ้นมาและตะโกนว่า “ไม่ ไม่ใช่ภาพลวงตา พวกเราทุกคนเห็น มันคือวาฬที่แบกอานไม้ตัวหนึ่ง! มันคือปาฏิหาริย์ พระเจ้าได้ยินคำอ้อนวอนของฉันแล้ว ฮ่าๆ! ฮ่าๆ! พวกเรารอดแล้ว!”
“นี่ นี่คือปาฏิหาริย์จริงๆ! แต่มันเป็นไปได้อย่างไร? จู่ๆ วาฬหัวทุยที่แบกอานไม้ไว้จะโผล่ขึ้นมาในทะเลได้อย่างไร?! มันไร้เหตุผลเกินไป!”
“ไม่ มันไม่ไร้เหตุผล ฉันเคยเห็นวาฬหัวทุยตัวนี้ บ้าเอ๊ย อย่ามองฉันอย่างนี้ ฉันไม่ได้พูดโกหก! วาฬหัวทุยตัวนี้มีชื่อเสียงมากจริงๆ ฉันเคยอ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ต มีคนเลี้ยงดูและฝึกอบรมวาฬหัวทุยตัวนี้ เขาเคยจัดกิจกรรมอะไรสักอย่างที่นครเซนต์จอห์น และวาฬหัวทุยที่แบกอานไม้ตัวนี้ก็โผล่ขึ้นมา!”
“พวกเรารอดแล้ว?!”
“ให้ตายสิ รีบลงน้ำเร็ว นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น! เรือจะจมแล้ว! พวกเรากระโดดลงน้ำ ปล่อยที่เหลือให้พระเจ้า!”
วาฬหัวทุยค่อยๆ เข้าไปใกล้ ร่องรอยของอานวาฬจึงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกคนที่อยู่บนเรือยังไม่ค่อยเชื่อ แต่มั่นใจตอนที่วาฬหัวทุยเข้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาเปลี่ยนไปดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลังทันที หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ตะโกนอย่างมีความสุขและกระโดดลงไปในน้ำ
ไม่กระโดดลงน้ำก็ไม่ได้ เรือลำนี้ไม่เพียงแค่ท้องเรือรั่วเท่านั้น เมื่อตัวเรือลดระดับลง คลื่นที่ถูกพายุพัดขึ้นมาจะกระแทกตัวเรือ และน้ำทะเลก็จะไหลเข้ามามากยิ่งขึ้น ทำให้เรือจมเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ชาวประมงพวกนี้ว่ายน้ำเก่งระดับมืออาชีพทุกคน ถึงแม้ว่าคลื่นจะซัดต่อเนื่อง พวกเขาก็ยังเข้าไปใกล้วาฬหัวทุยได้เร็วมาก หลังจากนั้นก็คว้าอานวาฬและปีนขึ้นไปนั่งบนหลังของวาฬหัวทุย
อานวาฬกว้างพอ ชาวประมงมีทั้งหมด 6 คน หลังจากพวกเขาปีนขึ้นไปรวมกันก็ยังเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก รับอีก 10 คนก็ไม่มีปัญหา
พวกชาวประมงนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุดใจกลางของอานวาฬ คนพวกนี้กอดกันอย่างแนบแน่น แม้ว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากเรืออับปาง แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอด บททดสอบที่แท้จริงมันอยู่หลังจากนี้!
ไม่ว่าจะลมทะเลหรือคลื่นทะเล อุณหภูมิก็ต่ำมาก ความร้อนในร่างกายของคนทั้ง 6 คนจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างมากที่สุด 1 ชั่วโมง พวกเขาจะช็อกเพราะเสียพลังงานมากเกินไป และตายในที่สุด!
ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจากภัยพิบัติเรือไททานิก ตอนแรกคนที่เสียชีวิตมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งเกือบทั้งหมดแข็งตาย
ฉินสือโอวพยายามควบคุมให้วาฬหัวทุยลอยอยู่บนผิวน้ำ ลมหนาวยังเบากว่าน้ำทะเลนิดหน่อย การแช่อยู่ในน้ำทะเลเป็นวิธีที่ร่างกายของมนุษย์จะสูญเสียความร้อนเร็วที่สุด
พลังแห่งโพไซดอนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของจ่าฝูง หลังจากนั้นมันก็เปิดใช้แรงม้าตลอด และสะบัดหางว่ายไปทางทิศของฟาร์มปลาอย่างเอาเป็นเอาตาย
พระเจ้าอาจจะได้ยินเสียงอ้อนวอนของจอห์นจริงๆ ก็ได้ ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การปรากฏตัวของวาฬหัวทุย แต่เป็นหลังจากพวกเขาอยู่บนวาฬหัวทุยประมาณครึ่งชั่วโมง เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวของพวกเขา
……………………………