ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1798 พระเจ้าได้ยินแล้ว

บทที่ 1798 พระเจ้าได้ยินแล้ว

บนเรือประจัญบานมิสซูรี ชาวประมงหลายคนนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือหรือกราบเรืออย่างสิ้นหวัง ภายในห้องคนขับว่างเปล่า หางเสือเรือหมุนอย่างอ่อนแรง ไม่มีใครสามารถควบคุมทิศทางของเรือลำนี้ได้ เพราะคนที่อยู่บนเรือต่างก็รู้ว่า ปลายทางของเรือลำนี้คือนรก…

คลื่นที่โหมซัดสาดซัดเรือประมงพันตันลำนี้ ตัวเรือที่ใหญ่มหึมาราวกับเป็นเปลเด็ก แค่แขนที่สั่นเปลไม่อ่อนโยนเลย ตรงกันข้ามพลังกลับน่ากลัวมาก ราวกับว่าจะโค่นล้มเรือลำนี้ภายในครั้งเดียว

“โอ้ พระเจ้า!” ชายวัยกลางคนหนวดเฟิ้มคนหนึ่งคุกเข่าลงที่หัวเรือและจับไม้กางเขนที่อยู่บนคอ “พระบิดาที่อยู่บนสวรรค์ พวกเราขออ้อนวอนให้ท่านนำทางพวกเราข้ามผ่านเส้นทางชีวิตที่มืดมนนี้อย่างถ่อมตน ปกป้องพวกเราจากความชั่วร้าย โอบกอดพวกเรา มอบพลังให้พวกเรา ทำให้พวกเราไม่เหนื่อยล้าระหว่างทาง นำพวกเราเดินไปยังเส้นทางที่ท่านเลือก ข้ามผ่านเวลาของโลกนี้และความตาย จนถึงสวรรค์บ้านชั่วนิรันดร์แห่งนั้น พวกเรารับใช้พระเจ้าและอธิษฐานในนามของพระเยซูคริสต์…”

“จอห์น เลิกสวดภาวนาทีให้ตายเถอะ ที่นี่คือดินแดนของซาตาน พวกเราอยู่ในสนามหลังบ้านของซาตาน พระเจ้าไม่ได้ยินเสียงของพวกเราหรอก!” ชายหนุ่มหัวล้านคนหนึ่งตะโกนด้วยความเศร้าโศก

มีคนเดินโซซัดโซเซเข้ามา และฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งยัดใส่ในอ้อนแขนของคนพวกนี้ พวกเขารู้ว่ากระดาษแผ่นนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร นี่คือกระดาษที่ใช้เขียนพินัยกรรม หลังจากเขียนเสร็จก็ยัดใส่กล่องปิดผนึก ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ติดต่อกับครอบครัว

น่าเสียดายที่เวลานี้พายุฝนพัดแรงมาก กระดาษที่นำออกมาจึงเปียกชุ่ม แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ขอเพียงแค่สามารถทิ้งลายมือไว้บนนั้นได้ก็พอแล้ว เขียนหวัดก็คืออ่านไม่ออกเลย

บางคนไม่เต็มใจจะทำแบบนี้ จอห์นจับไม้กางเขนลุกขึ้นมา และตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง “พวกเราไม่สมควรตาย พวกเราไม่เคยทำสิ่งเลวร้าย! พระเจ้า พวกเราทุกคนเป็นชาวประมงที่ซื่อสัตย์ ทำไมพวกเราถึงต้องพบกับจุดจบแบบนี้? ผมไม่พอใจ ผมไม่พอใจ ผมยังมีลูกอีกตั้ง 3 คน!”

“นี่คือความจริง เผชิญหน้ากับความจริงสักทีเถอะ!” ชายที่นั่งนิ่งอยู่บนดาดฟ้าเรือพึมพำว่า “หวังว่าหลังจากนี้คาร์โปลีจะหาครอบครัวดีๆ ได้ น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถไปเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาของไมเคิลได้…”

“ไม่ อย่าพูดซี้ซั้ว พวกเราจะต้องไม่ตาย! พระเจ้าจะต้องมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน พระเจ้าจะต้อง…เชี่ย! ” จอห์นเหวี่ยงกำปั้นและคำราม ดวงตาของเขามองกวาดไปในทะเลอย่างไม่มีสติ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและหยุดคำพูดของตัวเอง

ไม่มีใครสนใจปฏิกิริยาของเขา พวกเขาเริ่มเตรียมเขียนพินัยกรรมแล้ว จอห์นไม่สนใจเรื่องนี้เลย เขาขยี้ตาของตัวเองอย่างแรง และเบิกตาให้กว้างที่สุด ระหว่างนั้นลมหายใจก็แรงขึ้น หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงกว่าราวกับปั๊มน้ำมัน

“เร็ว มาดูเร็ว! เชี่ย บอกฉันทีว่านี่คือภาพหลอน!” จอห์นเบิกตากว้างและตะโกนขึ้นมา

คนอื่นๆ กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง และไม่มีความเชื่อมั่นในโชค ดังนั้นถึงแม้ว่าจอห์นจะตะโกน ก็ยังไม่มีใครสนใจเขา

ดังนั้นจอห์นจึงโกรธ เขาคว้าหนุ่มหัวโล้นที่อยู่ข้างๆ และดึงเขาขึ้นมาอย่างบังคับ เขาชี้ไปที่ทะเลและตะโกนว่า “รีบดูเร็ว! พระเจ้ามาช่วยพวกเราแล้ว บอกฉันสิ บอกฉันว่านี่คือปาฏิหาริย์ของพระเจ้าใช่ไหม?! ไม่ใช่ว่ามีแค่ฉันที่เห็นใช่ไหม?!”

ชายหนุ่มคนนั้นกวาดสายตาไปในทะเลอย่างงงงวย ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง เขาผลักจอห์นออก และเดินโซซัดโซเซพุ่งไปที่กราบเรือพยายามมองไปข้างหน้า เขามองไปด้วยตะโกนไปด้วย “ทุกคนรีบลุกขึ้นมาเร็ว รีบมาดู เกาะ..”.

“มันไม่มีทางเป็นไปได้!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง “ฉันเพิ่งจะยืนยันไปว่า ระยะทางจากเกาะที่ใกล้ถึงพวกเรายังอีก 150 ไมล์ทะเล…”

วาฬหัวทุยจ่าฝูงลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ อานวาฬจึงโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ คลื่นที่ซัดโหมกระหน่ำ และเสียงคำรามอันดุร้ายของลมทะเล ราวกับว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึง และอานวาฬก็เหมือนกับเรือโนอาห์ ซึ่งลอยขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างมั่นคงและดื้อรั้น

ภายใต้การเรียกร้องความสนใจด้วยเสียงตะโกนของจอห์นกับชายหนุ่ม ทำให้คนอื่นๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง ฝนที่ตกหนักทำให้ทัศนวิสัยในทะเลต่ำมาก แต่พวกเขาก็ยังจำวาฬหัวทุยกับอานวาฬที่อยู่บนตัวของมันได้

วาฬหัวทุยไหลไปตามกระแสคลื่น และอานวาฬก็โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างมั่นคง ราวกับกำลังรอให้พวกเขาขึ้นไป

“มันไม่ใช่เรื่องจริง มันคือภาพลวงตา!” บางคนขยี้ตาอย่างแรง “มันคือภาพลวงตา!”

จอห์นยกไม้กางเขนที่อยู่ในมือขึ้นมาและตะโกนว่า “ไม่ ไม่ใช่ภาพลวงตา พวกเราทุกคนเห็น มันคือวาฬที่แบกอานไม้ตัวหนึ่ง! มันคือปาฏิหาริย์ พระเจ้าได้ยินคำอ้อนวอนของฉันแล้ว ฮ่าๆ! ฮ่าๆ! พวกเรารอดแล้ว!”

“นี่ นี่คือปาฏิหาริย์จริงๆ! แต่มันเป็นไปได้อย่างไร? จู่ๆ วาฬหัวทุยที่แบกอานไม้ไว้จะโผล่ขึ้นมาในทะเลได้อย่างไร?! มันไร้เหตุผลเกินไป!”

“ไม่ มันไม่ไร้เหตุผล ฉันเคยเห็นวาฬหัวทุยตัวนี้ บ้าเอ๊ย อย่ามองฉันอย่างนี้ ฉันไม่ได้พูดโกหก! วาฬหัวทุยตัวนี้มีชื่อเสียงมากจริงๆ ฉันเคยอ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ต มีคนเลี้ยงดูและฝึกอบรมวาฬหัวทุยตัวนี้ เขาเคยจัดกิจกรรมอะไรสักอย่างที่นครเซนต์จอห์น และวาฬหัวทุยที่แบกอานไม้ตัวนี้ก็โผล่ขึ้นมา!”

“พวกเรารอดแล้ว?!”

“ให้ตายสิ รีบลงน้ำเร็ว นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น! เรือจะจมแล้ว! พวกเรากระโดดลงน้ำ ปล่อยที่เหลือให้พระเจ้า!”

วาฬหัวทุยค่อยๆ เข้าไปใกล้ ร่องรอยของอานวาฬจึงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกคนที่อยู่บนเรือยังไม่ค่อยเชื่อ แต่มั่นใจตอนที่วาฬหัวทุยเข้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาเปลี่ยนไปดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลังทันที หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ตะโกนอย่างมีความสุขและกระโดดลงไปในน้ำ

ไม่กระโดดลงน้ำก็ไม่ได้ เรือลำนี้ไม่เพียงแค่ท้องเรือรั่วเท่านั้น เมื่อตัวเรือลดระดับลง คลื่นที่ถูกพายุพัดขึ้นมาจะกระแทกตัวเรือ และน้ำทะเลก็จะไหลเข้ามามากยิ่งขึ้น ทำให้เรือจมเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ชาวประมงพวกนี้ว่ายน้ำเก่งระดับมืออาชีพทุกคน ถึงแม้ว่าคลื่นจะซัดต่อเนื่อง พวกเขาก็ยังเข้าไปใกล้วาฬหัวทุยได้เร็วมาก หลังจากนั้นก็คว้าอานวาฬและปีนขึ้นไปนั่งบนหลังของวาฬหัวทุย

อานวาฬกว้างพอ ชาวประมงมีทั้งหมด 6 คน หลังจากพวกเขาปีนขึ้นไปรวมกันก็ยังเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก รับอีก 10 คนก็ไม่มีปัญหา

พวกชาวประมงนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุดใจกลางของอานวาฬ คนพวกนี้กอดกันอย่างแนบแน่น แม้ว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากเรืออับปาง แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอด บททดสอบที่แท้จริงมันอยู่หลังจากนี้!

ไม่ว่าจะลมทะเลหรือคลื่นทะเล อุณหภูมิก็ต่ำมาก ความร้อนในร่างกายของคนทั้ง 6 คนจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างมากที่สุด 1 ชั่วโมง พวกเขาจะช็อกเพราะเสียพลังงานมากเกินไป และตายในที่สุด!

ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจากภัยพิบัติเรือไททานิก ตอนแรกคนที่เสียชีวิตมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งเกือบทั้งหมดแข็งตาย

ฉินสือโอวพยายามควบคุมให้วาฬหัวทุยลอยอยู่บนผิวน้ำ ลมหนาวยังเบากว่าน้ำทะเลนิดหน่อย การแช่อยู่ในน้ำทะเลเป็นวิธีที่ร่างกายของมนุษย์จะสูญเสียความร้อนเร็วที่สุด

พลังแห่งโพไซดอนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของจ่าฝูง หลังจากนั้นมันก็เปิดใช้แรงม้าตลอด และสะบัดหางว่ายไปทางทิศของฟาร์มปลาอย่างเอาเป็นเอาตาย

พระเจ้าอาจจะได้ยินเสียงอ้อนวอนของจอห์นจริงๆ ก็ได้ ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การปรากฏตัวของวาฬหัวทุย แต่เป็นหลังจากพวกเขาอยู่บนวาฬหัวทุยประมาณครึ่งชั่วโมง เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวของพวกเขา

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท