มื้อเที่ยงฉินสือโอวได้ย่างเนื้อหมูหนักและเนื้อแกะย่างสองชิ้น พอวางบนเตาย่างปุ๊บ น้ำของเนื้อพวกนี้ก็ไหลออกมา กลิ่นหอมของเนื้อผสมกับกลิ่นหอมของเครื่องปรุงมีแรงดึงดูดอย่างมาก
เถียนกวาวิ่งอย่างไว วิ่งมามองดูเนื้อย่างด้วยดวงตาเป็นประกาย วินนี่ไม่ให้เธอกินอาหารที่ย่างและทอดเยอะ ดังนั้นจึงกระแอมใส่ฉงต้าทีหนึ่ง ฉงต้าเดินมาช้าๆ อ้าปากคาบสายเอี๊ยมหลังเสื้อของเถียนกวาเอาไว้ คาบกลับไปเหมือนอย่างกับคาบลูกหมี
เนื้อพวกนี้จะต้องย่างไปด้วยกินไปด้วยถึงจะดี อยากจะย่างเนื้อก้อนใหญ่จนสุกนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เตาย่างใช้ไฟ รอจนข้างในเนื้อนุ่มย่างจนสุก ชั้นที่อยู่ภายนอกก็คงจะไหม้เกรียมหมดแล้ว
ฉินสือโอวและเบิร์ดอยู่ด้วยกันมานาน ทักษะการเล่นมีดก็ชำนาญ มือข้างหนึ่งเขาจับส้อมกดเนื้อย่างเอาไว้ มือข้างหนึ่งจับมีดหั่นเนื้อ เสียงดังฉึบๆๆ เนื้อหมักที่ย่างแล้วก็ถูกหั่นลงมาเป็นแผ่นๆ
พ่อของฉินสือโอวลองชิมดูชิ้นหนึ่ง ก็ยิ้มดีใจในทันที “ดีจริง เนื้อนี้นุ่มเหลือเกิน ไม่ต้องเคี้ยวอะไรมากก็กลืนลงไปได้แล้ว เถียนกวากินหรือเปล่า? เด็กๆ กินเนื้อแบบนี้ถึงจะดี”
เถียนกวาที่ถูกวินนี่กดไว้ข้างโต๊ะกินข้าวกำลังทำปากจู๋งอแงได้ยินคำนี้รีบเงยหน้าดีใจ “กินๆๆ…”
วินนี่ยิ้มหวานมองดูฉินสือโอว พวกเขาสองคนคุยกันแล้วในเรื่องของการสอนลูก คนแก่บ้านไหนเป็นคนก่อใครก็เป็นคนเก็บกวาด ฉินสือโอวก็ไม่อยากให้เถียนกวากินเนื้อย่างเยอะขนาดนี้ ดังนั้นจึงจ้องเขม็งว่า “กินๆๆ รู้แต่ว่ากิน จะกลายเป็นเด็กอ้วนอยู่แล้ว! ห้ามกิน กินสลัดกับแม่!”
ขนตายาวของเถียนกวาสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็เบะปากร้องไห้ขึ้นมา “ไม่ใช่เด็กอ้วนนะ…”
แม่ของฉินสือโอวรีบเข้ามาปลอบเธอ พูดกับฉินสือโอวอย่างไม่พอใจว่า “แกดูว่าแกเป็นพ่อยังไง ลูกชอบกินเนื้อยังไม่ดีหรือไง? เสี่ยวเวยไม่กินเนื้อ เธอจะโตได้เร็วขนาดนี้ตัวใหญ่ขนาดนี้? โตเป็นเด็กอ้วนสิถึงจะดี…”
“ไม่เอาเด็กอ้วน!” เถียนกวามองดูแม่ของฉินสือโอวขัดจังหวะเธอพร้อมน้ำตา เธอและตั๋วตั่วเล่นด้วยกัน เริ่มมีใจรักสวยรักงามแล้ว
วินนี่กวักมือ พวกหู่เป้าฉงหลัวลิงซ์น้อยเห็นสัญญาณมือนี้จึงพากันวิ่งมา แม้แต่มาสเตอร์ในการจำศีลก็คลานออกมาจากอ่างอาบน้ำ พยายามคลานไปทางวินนี่ ท่าทางรอฟังคำสั่งจากไทเฮา
“หยุดร้องได้แล้ว ลูกดูสิ หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและฉงเอ้อต่างก็มองลูกแล้ว” วินนี่บอกอย่างสบายๆ
เถียนกวาเห็นใบหน้าพวกเจ้าตัวเล็กที่มองเธอด้วยหน้าตาแสยะยิ้ม เบะปาก ใช้หลังมือปาดน้ำตารีบหยุดร้องไห้ทันที เธอหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ไม่มีทางให้พวกเจ้าตัวเล็กหัวเราะเยาะเอาได้
เรื่องตลกร้ายที่เกิดจากเนื้อย่างก็จบลงอย่างนี้ ฉินสือโอวลองชิมดูแล้วรสชาติดีมากจริงๆ หลังกินข้าวเสร็จแบ่งเนื้อเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำเบคอนอีกส่วนหนึ่งทำเนื้อหมัก
เนื้อหมักทำง่าย วางหม้ออัดความดันบนเตา นำเนื้อวัวและส่วนผสมเครื่องปรุงผสมเข้าด้วยกันเติมน้ำตุ๋นก็พอแล้ว
ทำเนื้อหมักมีหลักสำคัญอยู่สามข้อ คุณภาพเนื้อ ส่วนผสมเครื่องปรุงและกำลังไฟ ขาดไปหนึ่งอย่างก็ไม่ได้ คุณภาพเนื้อวัวเนื้อแกะพวกนี้ดีมาก รสชาติของส่วนผสมเครื่องปรุงก็ไม่เลว ที่เหลือก็คือกำลังไฟแล้ว
สิ่งนี้จะต้องให้พ่อของฉินสือโอวควบคุม เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้าน เนื้อหมักก็ล้วนเป็นท่านที่ทำ ทำมาเป็นสิบปี ควบคุมกำลังไฟได้แม่นยำอย่างมาก
ฉินสือโอวมาทำเบคอน อันนี้ยุ่งยากกว่าเนื้อหมักเป็นอย่างมาก ตอนอยู่ที่บ้านเกิดเบคอนล้วนหั่นเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ครั้งนี้เนื้อนุ่ม เขาและเหมาเหว่ยหลงหั่นเป็นทรงเส้นยาว ยิ่งแสดงข้อได้เปรียบของเนื้อนุ่มออกมาง่ายกว่า
เบคอนไม่เหมือนกับเบคอนจีนที่ได้รับความนิยมในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ไม่สามารถเอาไปรมควันได้โดยตรง แต่เหมือนเนื้อหมักที่ต้องเอาไปตุ๋นก่อน เอาหม้อวางไว้บนเตา นำเนื้อและเครื่องปรุงหมักใส่ลงไปในหม้อด้วยกัน ใส่ซีอิ๊วและน้ำใช้ไฟแรงต้มให้เดือด ตักฟองออกให้หมด เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนเนื้อสุกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้เอาออกมาตากแดด
อากาศแบบนี้กำลังเหมาะในการทำเบคอน แสงแดดสดใส ลมพัดโกรก เนื้อตุ๋นหนึบๆ แขวนไว้ข้างนอกไม่นานก็ผึ่งลมจนแห้งแล้ว
ความจริงมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ฟาร์มปลามีการผลิตปลาโอแถบแห้ง การนำเบคอนเข้าไปอบในเตาอบจะแห้งได้สนิทยิ่งกว่า แต่ว่าเนื้อเพียงแค่นี้ จะใช้สายการผลิตคงไม่เหมาะ
ตากแดดจนผิวชั้นนอกแห้ง ฉินสือโอวนำเนื้อลงมา ใช้ส่วนผสมจากเกลือ มะแขว่น รสดี ต้นหอมสับ ขิงสับ และเหล้าจีนทาให้ทั่ว จากนั้นหมักให้เข้ารสต่อ
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการรมควันแล้ว อันนี้ไม่สามารถทำในห้องครัวได้ เขาเอาออกไปจากวิลล่า ตั้งหม้อเหล็กใหญ่อันหนึ่ง ใส่ฟืนแล้วจุดไฟด้านล่าง พื้นหม้อเหล็กมีผงไม้เมเปิลปกคลุม โรยใบชาที่ต้มแล้ว น้ำตาลทรายขาว สุดท้ายโรยซีอิ๊วเข้าไปข้างในอีกนิด
เหมาเหว่ยหลงถามอย่างสงสัยว่า “ยังจะใส่ซีอิ๊ว? แบบนี้ขี้เลื่อยก็ชื้นน่ะสิ?”
ฉินสือโอวหัวเราะว่า “แน่นอน ชื้นถึงจะมีควัน ถ้าหากแห้งเกินไป อุณหภูมิของหม้อเหล็กสูงเกินไป ผงไม้พวกนี้อาจจะติดไฟได้ อย่างนั้นก็จบกันล่ะ”
สุดท้ายวางตะแกรงเหล็กลงบนหม้อ หั่นหัวหอมอันใหญ่ผ่าครึ่งจากตรงกลางเป็นสองส่วน วางบนตะแกรงเหล็กหนาๆ ชั้นหนึ่ง จากนั้นโรยขิงและกระเทียบสับที่ผสมเสร็จแล้วบนหัวหอมใหญ่ แบบนี้เอาเนื้อแต่ละชิ้นวางขึ้นไป แล้วปิดฝาหม้อใช้ไฟย่างก็พอแล้ว
มันต้องควบคุมกำลังไฟอย่างเข้มงวด ต้องใช้ไฟแรงเผาให้เกิดควันขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ ลดกำลังไฟลง พ่อของฉินสือโอวออกมาถามว่าต้องการให้เขาดูและไฟไหม ฉินสือโอวตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่ต้อง พ่อวางใจเถอะ ผมควบคุมฟาร์มปลาใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่มีปัญหา ควบคุมกำลังไฟแรงอ่อนแค่นี้ยังทำไม่ได้?”
หนึ่งนาทีต่อมา เปลวไฟสีแดงผุดออกมาจากช่องฝาหม้อ เหมาเหว่ยหลงรีบเปิดฝาหม้อออก จากนั้นเปลวไฟก้อนหนึ่งก็พุ่งมาหาเขา “ให้ตายสิ หลอกกันเหรอ!”
ฉินสือโอวคว้าฝาหม้อมากดไว้บนหม้ออย่างแรง พูดอย่างโมโหว่า “แกเปิดฝาหม้อทำไมกัน?”
เหมาเหว่ยหลงก็โมโหแล้ว แม่สินี่คนผิดฟ้องก่อนเหรอ เขาชี้ไปที่หม้อว่า “นี่ไฟลุกแล้ว ไม่เปิดฝาหม้อทำอะไร? เบคอนกลายเป็นเนื้อย่างแล้วพี่ใหญ่ของฉัน!”
ฉินสือโอวกลอกตามองบนว่า “แม่สิ แม้ว่าคุณชายใหญ่แกจะไม่เคยทำงานมาก่อน ก็คงเคยเรียนฟิสิกส์ใช่ไหม? ไม่มีออกซิเจนก็ไม่มีไฟ แค่เอาฝาครอบเอาไว้ ไม่ช้าเปลวไฟก็จะดับ ที่เหลืออยู่ก็คือควันแล้ว เข้าใจไหม?”
เหมาเหว่ยหลงถูกการเถียงข้างๆ คูๆ ของเขาทำให้พูดไม่ออก นีลเซ็นที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงอ่อนว่า “บอส ความรู้ผมน้อยคุณอย่าโกหกผม อันนี้ไม่ใช่วิชาเคมีเหรอ? เกี่ยวอะไรกับฟิสิกส์ด้วย?”
ฉินสือโอวใช้สายตาพิฆาตมองยังเขา “นีลเซ็น นายอยากจะอวดระดับความรู้ของนายกับบอสเหรอ? พระเจ้ารู้ หลังจากนายแต่งงาน…เฮ้ย นายอย่าไปสิ มาให้ฉันสั่งสอนนายก่อนสิ”
นีลเซ็นเดินไปเลย ผิวปากเดินจากไปอย่างสบายๆ
หม้อที่หนึ่งย่างได้ไม่ดีเพราะสาเหตุจากการจุดไฟ เนื้อค่อนข้างไหม้ ดังนั้นท่านชายฉินและลุงเหมาสองคนจึงเริ่มโทษอีกฝ่าย คนหนึ่งบอกว่าอีกคนควบคุมไฟได้ไม่ดี คนหนึ่งบอกว่าอีกคนเปิดหม้อไปเรื่อยทำเพื่อนเดือดร้อน
พ่อของฉินสือโอวจนปัญญา เดินมาเปิดหม้อขูดผิวนอกที่ดำไหม้บนเนื้อออกด้วยแปลงเหล็ก จากนั้นทาน้ำมันถั่วลิสงแล้วรมควันใหม่อีกครั้ง หลังจากรมควันแบบนี้ไปยี่สิบนาทีค่อยเปิดหม้อ เนื้อรมควันข้างในมีสีเหลืองทองออกน้ำตาล มีกลิ่นหอมของควัน เสร็จสิ้นสมบูรณ์!
………………………