ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1802 เสร็จสิ้นสมบูรณ์

บทที่ 1802 เสร็จสิ้นสมบูรณ์

มื้อเที่ยงฉินสือโอวได้ย่างเนื้อหมูหนักและเนื้อแกะย่างสองชิ้น พอวางบนเตาย่างปุ๊บ น้ำของเนื้อพวกนี้ก็ไหลออกมา กลิ่นหอมของเนื้อผสมกับกลิ่นหอมของเครื่องปรุงมีแรงดึงดูดอย่างมาก

เถียนกวาวิ่งอย่างไว วิ่งมามองดูเนื้อย่างด้วยดวงตาเป็นประกาย วินนี่ไม่ให้เธอกินอาหารที่ย่างและทอดเยอะ ดังนั้นจึงกระแอมใส่ฉงต้าทีหนึ่ง ฉงต้าเดินมาช้าๆ อ้าปากคาบสายเอี๊ยมหลังเสื้อของเถียนกวาเอาไว้ คาบกลับไปเหมือนอย่างกับคาบลูกหมี

เนื้อพวกนี้จะต้องย่างไปด้วยกินไปด้วยถึงจะดี อยากจะย่างเนื้อก้อนใหญ่จนสุกนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เตาย่างใช้ไฟ รอจนข้างในเนื้อนุ่มย่างจนสุก ชั้นที่อยู่ภายนอกก็คงจะไหม้เกรียมหมดแล้ว

ฉินสือโอวและเบิร์ดอยู่ด้วยกันมานาน ทักษะการเล่นมีดก็ชำนาญ มือข้างหนึ่งเขาจับส้อมกดเนื้อย่างเอาไว้ มือข้างหนึ่งจับมีดหั่นเนื้อ เสียงดังฉึบๆๆ เนื้อหมักที่ย่างแล้วก็ถูกหั่นลงมาเป็นแผ่นๆ

พ่อของฉินสือโอวลองชิมดูชิ้นหนึ่ง ก็ยิ้มดีใจในทันที “ดีจริง เนื้อนี้นุ่มเหลือเกิน ไม่ต้องเคี้ยวอะไรมากก็กลืนลงไปได้แล้ว เถียนกวากินหรือเปล่า? เด็กๆ กินเนื้อแบบนี้ถึงจะดี”

เถียนกวาที่ถูกวินนี่กดไว้ข้างโต๊ะกินข้าวกำลังทำปากจู๋งอแงได้ยินคำนี้รีบเงยหน้าดีใจ “กินๆๆ…”

วินนี่ยิ้มหวานมองดูฉินสือโอว พวกเขาสองคนคุยกันแล้วในเรื่องของการสอนลูก คนแก่บ้านไหนเป็นคนก่อใครก็เป็นคนเก็บกวาด ฉินสือโอวก็ไม่อยากให้เถียนกวากินเนื้อย่างเยอะขนาดนี้ ดังนั้นจึงจ้องเขม็งว่า “กินๆๆ รู้แต่ว่ากิน จะกลายเป็นเด็กอ้วนอยู่แล้ว! ห้ามกิน กินสลัดกับแม่!”

ขนตายาวของเถียนกวาสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็เบะปากร้องไห้ขึ้นมา “ไม่ใช่เด็กอ้วนนะ…”

แม่ของฉินสือโอวรีบเข้ามาปลอบเธอ พูดกับฉินสือโอวอย่างไม่พอใจว่า “แกดูว่าแกเป็นพ่อยังไง ลูกชอบกินเนื้อยังไม่ดีหรือไง? เสี่ยวเวยไม่กินเนื้อ เธอจะโตได้เร็วขนาดนี้ตัวใหญ่ขนาดนี้? โตเป็นเด็กอ้วนสิถึงจะดี…”

“ไม่เอาเด็กอ้วน!” เถียนกวามองดูแม่ของฉินสือโอวขัดจังหวะเธอพร้อมน้ำตา เธอและตั๋วตั่วเล่นด้วยกัน เริ่มมีใจรักสวยรักงามแล้ว

วินนี่กวักมือ พวกหู่เป้าฉงหลัวลิงซ์น้อยเห็นสัญญาณมือนี้จึงพากันวิ่งมา แม้แต่มาสเตอร์ในการจำศีลก็คลานออกมาจากอ่างอาบน้ำ พยายามคลานไปทางวินนี่ ท่าทางรอฟังคำสั่งจากไทเฮา

“หยุดร้องได้แล้ว ลูกดูสิ หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและฉงเอ้อต่างก็มองลูกแล้ว” วินนี่บอกอย่างสบายๆ

เถียนกวาเห็นใบหน้าพวกเจ้าตัวเล็กที่มองเธอด้วยหน้าตาแสยะยิ้ม เบะปาก ใช้หลังมือปาดน้ำตารีบหยุดร้องไห้ทันที เธอหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ไม่มีทางให้พวกเจ้าตัวเล็กหัวเราะเยาะเอาได้

เรื่องตลกร้ายที่เกิดจากเนื้อย่างก็จบลงอย่างนี้ ฉินสือโอวลองชิมดูแล้วรสชาติดีมากจริงๆ หลังกินข้าวเสร็จแบ่งเนื้อเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำเบคอนอีกส่วนหนึ่งทำเนื้อหมัก

เนื้อหมักทำง่าย วางหม้ออัดความดันบนเตา นำเนื้อวัวและส่วนผสมเครื่องปรุงผสมเข้าด้วยกันเติมน้ำตุ๋นก็พอแล้ว

ทำเนื้อหมักมีหลักสำคัญอยู่สามข้อ คุณภาพเนื้อ ส่วนผสมเครื่องปรุงและกำลังไฟ ขาดไปหนึ่งอย่างก็ไม่ได้ คุณภาพเนื้อวัวเนื้อแกะพวกนี้ดีมาก รสชาติของส่วนผสมเครื่องปรุงก็ไม่เลว ที่เหลือก็คือกำลังไฟแล้ว

สิ่งนี้จะต้องให้พ่อของฉินสือโอวควบคุม เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้าน เนื้อหมักก็ล้วนเป็นท่านที่ทำ ทำมาเป็นสิบปี ควบคุมกำลังไฟได้แม่นยำอย่างมาก

ฉินสือโอวมาทำเบคอน อันนี้ยุ่งยากกว่าเนื้อหมักเป็นอย่างมาก ตอนอยู่ที่บ้านเกิดเบคอนล้วนหั่นเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ครั้งนี้เนื้อนุ่ม เขาและเหมาเหว่ยหลงหั่นเป็นทรงเส้นยาว ยิ่งแสดงข้อได้เปรียบของเนื้อนุ่มออกมาง่ายกว่า

เบคอนไม่เหมือนกับเบคอนจีนที่ได้รับความนิยมในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ไม่สามารถเอาไปรมควันได้โดยตรง แต่เหมือนเนื้อหมักที่ต้องเอาไปตุ๋นก่อน เอาหม้อวางไว้บนเตา นำเนื้อและเครื่องปรุงหมักใส่ลงไปในหม้อด้วยกัน ใส่ซีอิ๊วและน้ำใช้ไฟแรงต้มให้เดือด ตักฟองออกให้หมด เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนเนื้อสุกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้เอาออกมาตากแดด

อากาศแบบนี้กำลังเหมาะในการทำเบคอน แสงแดดสดใส ลมพัดโกรก เนื้อตุ๋นหนึบๆ แขวนไว้ข้างนอกไม่นานก็ผึ่งลมจนแห้งแล้ว

ความจริงมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ฟาร์มปลามีการผลิตปลาโอแถบแห้ง การนำเบคอนเข้าไปอบในเตาอบจะแห้งได้สนิทยิ่งกว่า แต่ว่าเนื้อเพียงแค่นี้ จะใช้สายการผลิตคงไม่เหมาะ

ตากแดดจนผิวชั้นนอกแห้ง ฉินสือโอวนำเนื้อลงมา ใช้ส่วนผสมจากเกลือ มะแขว่น รสดี ต้นหอมสับ ขิงสับ และเหล้าจีนทาให้ทั่ว จากนั้นหมักให้เข้ารสต่อ

ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการรมควันแล้ว อันนี้ไม่สามารถทำในห้องครัวได้ เขาเอาออกไปจากวิลล่า ตั้งหม้อเหล็กใหญ่อันหนึ่ง ใส่ฟืนแล้วจุดไฟด้านล่าง พื้นหม้อเหล็กมีผงไม้เมเปิลปกคลุม โรยใบชาที่ต้มแล้ว น้ำตาลทรายขาว สุดท้ายโรยซีอิ๊วเข้าไปข้างในอีกนิด

เหมาเหว่ยหลงถามอย่างสงสัยว่า “ยังจะใส่ซีอิ๊ว? แบบนี้ขี้เลื่อยก็ชื้นน่ะสิ?”

ฉินสือโอวหัวเราะว่า “แน่นอน ชื้นถึงจะมีควัน ถ้าหากแห้งเกินไป อุณหภูมิของหม้อเหล็กสูงเกินไป ผงไม้พวกนี้อาจจะติดไฟได้ อย่างนั้นก็จบกันล่ะ”

สุดท้ายวางตะแกรงเหล็กลงบนหม้อ หั่นหัวหอมอันใหญ่ผ่าครึ่งจากตรงกลางเป็นสองส่วน วางบนตะแกรงเหล็กหนาๆ ชั้นหนึ่ง จากนั้นโรยขิงและกระเทียบสับที่ผสมเสร็จแล้วบนหัวหอมใหญ่ แบบนี้เอาเนื้อแต่ละชิ้นวางขึ้นไป แล้วปิดฝาหม้อใช้ไฟย่างก็พอแล้ว

มันต้องควบคุมกำลังไฟอย่างเข้มงวด ต้องใช้ไฟแรงเผาให้เกิดควันขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ ลดกำลังไฟลง พ่อของฉินสือโอวออกมาถามว่าต้องการให้เขาดูและไฟไหม ฉินสือโอวตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่ต้อง พ่อวางใจเถอะ ผมควบคุมฟาร์มปลาใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่มีปัญหา ควบคุมกำลังไฟแรงอ่อนแค่นี้ยังทำไม่ได้?”

หนึ่งนาทีต่อมา เปลวไฟสีแดงผุดออกมาจากช่องฝาหม้อ เหมาเหว่ยหลงรีบเปิดฝาหม้อออก จากนั้นเปลวไฟก้อนหนึ่งก็พุ่งมาหาเขา “ให้ตายสิ หลอกกันเหรอ!”

ฉินสือโอวคว้าฝาหม้อมากดไว้บนหม้ออย่างแรง พูดอย่างโมโหว่า “แกเปิดฝาหม้อทำไมกัน?”

เหมาเหว่ยหลงก็โมโหแล้ว แม่สินี่คนผิดฟ้องก่อนเหรอ เขาชี้ไปที่หม้อว่า “นี่ไฟลุกแล้ว ไม่เปิดฝาหม้อทำอะไร? เบคอนกลายเป็นเนื้อย่างแล้วพี่ใหญ่ของฉัน!”

ฉินสือโอวกลอกตามองบนว่า “แม่สิ แม้ว่าคุณชายใหญ่แกจะไม่เคยทำงานมาก่อน ก็คงเคยเรียนฟิสิกส์ใช่ไหม? ไม่มีออกซิเจนก็ไม่มีไฟ แค่เอาฝาครอบเอาไว้ ไม่ช้าเปลวไฟก็จะดับ ที่เหลืออยู่ก็คือควันแล้ว เข้าใจไหม?”

เหมาเหว่ยหลงถูกการเถียงข้างๆ คูๆ ของเขาทำให้พูดไม่ออก นีลเซ็นที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงอ่อนว่า “บอส ความรู้ผมน้อยคุณอย่าโกหกผม อันนี้ไม่ใช่วิชาเคมีเหรอ? เกี่ยวอะไรกับฟิสิกส์ด้วย?”

ฉินสือโอวใช้สายตาพิฆาตมองยังเขา “นีลเซ็น นายอยากจะอวดระดับความรู้ของนายกับบอสเหรอ? พระเจ้ารู้ หลังจากนายแต่งงาน…เฮ้ย นายอย่าไปสิ มาให้ฉันสั่งสอนนายก่อนสิ”

นีลเซ็นเดินไปเลย ผิวปากเดินจากไปอย่างสบายๆ

หม้อที่หนึ่งย่างได้ไม่ดีเพราะสาเหตุจากการจุดไฟ เนื้อค่อนข้างไหม้ ดังนั้นท่านชายฉินและลุงเหมาสองคนจึงเริ่มโทษอีกฝ่าย คนหนึ่งบอกว่าอีกคนควบคุมไฟได้ไม่ดี คนหนึ่งบอกว่าอีกคนเปิดหม้อไปเรื่อยทำเพื่อนเดือดร้อน

พ่อของฉินสือโอวจนปัญญา เดินมาเปิดหม้อขูดผิวนอกที่ดำไหม้บนเนื้อออกด้วยแปลงเหล็ก จากนั้นทาน้ำมันถั่วลิสงแล้วรมควันใหม่อีกครั้ง หลังจากรมควันแบบนี้ไปยี่สิบนาทีค่อยเปิดหม้อ เนื้อรมควันข้างในมีสีเหลืองทองออกน้ำตาล มีกลิ่นหอมของควัน เสร็จสิ้นสมบูรณ์!

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท