ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1806 ขโมยปลาอย่างบ้าคลั่งอีกแล้ว

บทที่ 1806 ขโมยปลาอย่างบ้าคลั่งอีกแล้ว

แม้ว่าจะปีนและกระโดดหนีขึ้นฝั่งแล้ว สแตนลี่ย์ก็ยังคงหวาดกลัวเมื่อมองเต่าอัลลิเกเตอร์ที่อยู่ในน้ำ

มาสเตอร์ที่อยู่ในน้ำมองมนุษย์คนนี้ปีนขึ้นฝั่งแต่ใจกลับรู้สึกไม่เต็มใจ ชายคนนี้ผิวนุ่มและเนียนมาก กัดลงไปคงจะมีรสชาติไม่เลวล่ะมั้ง?

สแตนลี่ย์เข้าใจเจตนาของมันอย่างอธิบายไม่ถูก ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นด้วยความหนาวและตะโกนว่า “พระเจ้า เจ้าตัวนี้เข้ามาได้อย่างไร? มันดุร้ายเกินไป มันอยากกินผมแน่ๆ! ใช่ ผมกล้าพนันเลย มันอยากกินผม!”

ฉินสือโอวตบไหล่ของเขาอย่างปลอบประโลม “ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก อันที่จริงมันกำลังทักทายคุณ เอาล่ะ อย่าไปสนใจเต่าตัวนี้เลย พวกเรากลับไปที่วิลล่ากันเถอะ”

สแตนลี่ย์มองห้องบ่อน้ำร้อนอย่างอาลัยอาวรณ์ และพูดอย่างเสียดาย “สถานที่สุขสบายที่อบอุ่นขนาดนี้ หายากมากจริงๆ ในฤดูหนาว”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างลึกลับ “สถานที่ที่อบอุ่นไม่ได้มีแค่บ่อน้ำร้อนเท่านั้น มา ไปสถานที่ดีๆ กัน ที่นั่นก็อบอุ่นเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นสามารถทำให้คุณยืดแขนขาได้ และทำให้คุณได้รับเกียรติยศอีกด้วย อยู่ที่นั่น คุณคือกษัตริย์ คุณคือความจริง!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สแตนลี่ย์กลับไปที่วิลล่าอย่างคาดหวัง และรอชมสถานที่ดีๆ ในตำนานแห่งนี้

หลังจากนั้น เมื่อฉินสือโอวเปิดประตู สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เครื่องครัว เตา เครื่องดูดควัน เขียง ตู้เย็น เตาอบ เตาไมโครเวฟและอื่นๆ นี่คือห้องครัว!

“ไปสิ ในนี้อุ่นมาก ผมจะเปิดเตาให้ คุณจะได้ผิงไฟ แน่นอนว่า ถ้าคุณสามารถทำอาหารอร่อยๆ ออกมาด้วยได้นั่นจะยิ่งดีมาก” ฉินสือโอวตบไหล่ของสแตนลี่ย์และพูด

สแตนลี่ย์ยิ้มเยาะ “บอส คุณล้อเล่นเก่งมาก”

“ไม่ได้ล้อเล่น คุณคงรู้ว่าผมชอบกินเผ็ด แต่ตอนนี้วินนี่ไม่ชอบ เธออยากกินของที่มีรสเปรี้ยวและหวาน ดังนั้นคุณเข้าใจความหมายที่ผมจะสื่อใช่ไหม? ของที่มีรสเปรี้ยวและหวาน ไม่ได้มีแค่ของหวานกับสลัดเท่านั้น ยังมีของคาวอีกด้วย เติมน้ำมันเถอะเพื่อน ผมจะดูแลคุณเป็นอย่างดี” ฉินสือโอวทิ้งคำพูดสองสามประโยคที่เบาราวกับขนนกไว้ และสาวเท้าเดินจากไป

สีหน้าของสแตนลี่ย์เต็มไปด้วยความอมทุกข์ หัวใจแก้วของเขาได้รับบาดเจ็บ…

ซูเปอร์เชฟมีความรู้ความสามารถของแท้จริงๆ วินนี่ที่เบื่ออาหารติดต่อกันมาหลายวันกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อกินอาหารของเขา เธอยกนิ้วให้และคุยโวเรื่องทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมของสแตนลี่ย์อย่างต่อเนื่อง

สแตนลี่ย์ยิ้มแห้ง เขาไม่เคยไม่อยากได้รับคำชมจากคนอื่นขนาดนี้เหมือนตอนนี้มาก่อน ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อฉินสือโอวบอสใหญ่ที่ไร้ยางอายผู้นี้ เมื่อทักษะการทำอาหารของเขาได้รับการยอมรับจากวินนี่ หลังจากนี้ชีวิตของเขาก็จะไม่สบายอีกต่อไป

จริงอย่างที่คิด ฉินสือโอวทิ้งสแตนลี่ย์ไว้ที่ฟาร์มปลา 10 กว่าวันแล้ว สแตนลี่ย์ย้ำเสมอว่าทันทีที่ร้านอาหารเปิดจำเป็นต้องให้เขาไปคุมงาน แต่ฉินสือโอวกลับย้ำซ้ำๆ ว่าการเตรียมงานในช่วงแรกนั้นยอดเยี่ยมพอแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ฟาร์มปลาและพาเบิร์ดไปเรียนรู้ด้วยก็พอ

สแตนลี่ย์ย้ำอีกครั้งว่า เขาจะพาเบิร์ดไปเรียนที่นิวยอร์ก ยิ่งไปกว่านั้นการหันหน้าเข้าหาร้านอาหารจะทำให้เรียนรู้เร็วยิ่งขึ้น

แต่ฉินสือโอวกลับย้ำว่า เขาเชื่อว่ามาตรฐานการสอนของสแตนลี่ย์จะเป็นครูที่ดีของเบิร์ดได้เหมือนที่ฟาร์มปลา

คนที่มีความสุขที่สุดในเรื่องนี้คือฮิลตันคนน้อง เมื่อหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมาเธอกลับนิวยอร์กเพื่อไปทำธุรกิจต่อ และรู้ว่าฉินสือโอวจะเลื่อนตำแหน่งให้เบิร์ดเป็นหัวหน้าของร้านอาหารต้าฉินที่อเมริกาเหนือซึ่งเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมฮิลตัน เธอดีใจอย่างมาก จึงรีบวิ่งกลับมาเพื่อสืบข่าวโดยเฉพาะ

ฮิลตันคนน้องพอใจเบิร์ดทุกอย่าง แต่ไม่พอใจงานของเขาในตอนนี้ เธอไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่ในสังคมของพวกเธอมีนังชาเขียวและผู้หญิงเจ้าปัญหาเยอะเกินไป สิ่งที่พวกเธอเปรียบเทียบอยู่ทุกวันก็คือรายได้กับสถานะ ถ้าเบิร์ดเป็นแค่ชาวประมง เธอก็จะถูกคนหัวเราะเยาะ

ฉินสือโอวเข้าใจจุดนี้ดี และรู้สึกว่ามันปกติมาก ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะมีวิสัยทัศน์ทางโลกที่สมเหตุสมผลและไม่รู้สึกกลัวเหมือนกับวินนี่ แน่นอนว่า วินนี่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด เธอถูกเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนตีตัวออกหากและคว่ำบาตรถึง 2 ปี และฝึกฝนจิตใจให้สงบนิ่งในทุกสถานการณ์

เทศกาลวันคริสต์มาสก่อนหน้านี้ พ่อแม่ของวินนี่มาหาที่ฟาร์มปลา ฟ็อกซ์และสามีของเธอไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเทศกาลวันคริสต์มาสของอาจารย์และนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งเวสเทิร์นออนแทรีโอดังนั้นจึงไม่ได้มา ฉินสือโอวจึงใช้เฮลิคอปเตอร์ไปรับพ่อตากับแม่ยายมาฉลองวันคริสต์มาสด้วยกัน

จุดนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมในครอบครัวจีนและแคนาดา คนแคนาดาให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก แต่หลังจากที่แต่งงาน ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพ่อแม่ก็จะไม่ใกล้ชิดกันขนาดนั้นแล้ว แต่ของคนจีนความสัมพันธ์กับพ่อแม่หลังแต่งงานกลับใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาต้องให้พ่อแม่ช่วยเลี้ยงดูลูก

ตอนที่วินนี่ท้องเถียนกวา มาริโอ้กับมิแรนดามาดูแลแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวกลับอำนวยความสะดวกให้ตลอดเวลา ต่อมาเถียนกวาเกิด คนแก่ทั้งสองคนก็อยู่และพยายามอย่างสุดความสามารถ ครั้งนี้พวกเขามาก็เพื่อช่วยวินนี่ดูแลเด็กๆ อีกเช่นกัน ครั้งนี้วินนี่ท้อง ทั้งสองคนมีโอกาสติดต่อลูกสาวผ่านแค่ทางโทรศัพท์หรือวิดีโอเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญแบบนี้เหมือนพ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอว

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รักลูกสาว พวกเขากอดวินนี่ทันทีเมื่อลงจากเครื่องบิน และเอาของขวัญมาให้เธอกับทุกคนในฟาร์มปลา มิแรนดาจึงยิ่งกำชับวินนี่ซ้ำๆ ว่า ให้เธอส่งมอบงานเอกสารของเมืองให้ผู้ช่วยกับรองนายกเทศมนตรีทำ ฤดูหนาวอันตราย เธอต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ

ช่วงหยุดวันคริสต์มาส พวกเด็กๆ รีบกลับจากนครเซนต์จอห์นมาที่ฟาร์มปลา ดังนั้นจำนวนคนในวิลล่าจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนไปมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

ไม่เพียงแค่ในวิลล่าเท่านั้นที่มีชีวิตชีวา ในทะเลก็มีชีวิตชีวาเหมือนกัน ฤดูหนาวสภาพอากาศไม่ดี ปกติเรือประมงจะไม่ออกทะเล พวกเขาจะพักผ่อนในช่วงนี้ หลังจากที่ทำงานอย่างหนักมาทั้งปี

เพราะสาเหตุนี้ พวกเจ้าของฟาร์มปลาจึงควบคุมดูแลฟาร์มปลาค่อนข้างหละหลวม ดังนั้นในทางกลับกันฤดูหนาวจะเป็นฤดูที่มีโอกาสเจอเรือขโมยปลาสูงมาก

ฟาร์มปลาต้าฉินก็ไม่เลว ไม่ได้เจอการบุกรุกของเรือขโมยปลามากนัก นี่ต้องขอบคุณการจัดระเบียบใหม่อย่างขะมักเขม้นของฉินสือโอวในหลายปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ตำนานที่เกี่ยวข้องกับเรือผีสิงก็ยังล่องลอยอยู่ในทะเลนิวฟันด์แลนด์ นอกจากนี้เขายังดำเนินคดีกับเจ้าของเรือขโมยปลาอีกหลายครั้งกับเรดาร์ขั้นสูง เรือรบ และอื่นๆ ที่ฟาร์มปลามี ทุกคนในสังคมเรือขโมยปลารู้ว่าฟาร์มปลาแห่งนี้ยั่วยุไม่ได้ง่ายๆ จึงไม่มีใครกล้ามาทำพฤติกรรมเลวร้ายที่ฟาร์มปลาต้าฉิน

อันที่จริง เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้เรือขโมยปลารู้สึกหวาดกลัวฟาร์มปลาต้าฉินยังคงเป็นเพราะฉินสือโอวเป็นประธานของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ เรือขโมยปลาเป็นตัวตนของเรือประมงที่จริงจังในเวลาว่าง บ่อยครั้งที่พวกเขาเป็นเรือประมงที่จริงจัง

แต่เรือประมงที่จริงจังในแคนาดาข้ามมาที่ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงไม่กล้ารุกรานฉินสือโอว ช่วงสองปีแรก สาเหตุที่เรือขโมยปลาจำนวนมากมาที่ฟาร์มปลาต้าฉินเป็นเพราะพวกเขามองว่าฉินสือโอวเป็นคนจีน และคิดว่าคนจีนกลั่นแกล้งง่าย

แต่ตอนนี้พวกเขาไม่กล้ากลั่นแกล้งฉินสือโอวแล้ว พวกเขาจึงมองหาเจ้าของฟาร์มปลาคนอื่นแทน

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะการใช้อาหารปลาต้าฉินภายในพันธมิตร ฟาร์มปลาส่วนใหญ่จึงเก็บเกี่ยวได้เป็นอย่างดีเมื่อปีที่แล้ว ปลาที่เกิดมาไม่เพียงแค่มีคุณภาพแต่ยังมีจำนวนมากกว่าฟาร์มปลาทั่วๆ ไปด้วย ดังนั้นหลังจากที่ข่าวแพร่กระจายไปในแวดวงของเจ้าของเรือประมง เรือขโมยปลาก็เริ่มสนใจฟาร์มปลาแห่งอื่นของพันธมิตร

ฟาร์มปลาพวกนี้ไม่เหมือนฟาร์มปลาต้าฉิน มีทั้งเรดาร์มีทั้งเฮลิคอปเตอร์สังเกตการณ์ พวกเขาทำได้แค่พึ่งเรือประมงที่ล่องเรือมาเท่านั้น ซึ่งผลของการสังเกตการณ์แย่มาก และปัญหาก็เยอะมาก…

โดยเฉพาะวันคริสต์มาสอีฟ พวกกัปตันของเรือขโมยปลาจะทำงานล่วงเวลาและคว้าช่วงเวลานี้ขโมยปลา ฟาร์มปลาจำนวนมากได้รับความเสียหาย คำร้องเรียนของเหยื่อถูกส่งมาที่โต๊ะทำงานของฉินสือโอว

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท