ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1811 ช่วงเวลาแห่งความสุข

บทที่ 1811 ช่วงเวลาแห่งความสุข

เรือที่โจรขโมยปลากลุ่มนี้ใช้ไม่ใหญ่ แต่จำนวนคนก็ไม่น้อย เต็มที่มี 10 คน พวกเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามาเพื่อขโมยปลา เพราะเรือประมงขนาดพันตันตามปกติไม่จำเป็นต้องใช้คนถึง 10 คน ประมาณครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว

พวกตำรวจทะเลมาถึงช้าเสมอ ฮาร์ปตันแจ้งตำรวจก่อนหลังจากนั้นถึงจะโทรหาฉินสือโอว ผลคือฉินสือโอวพาลูกน้องมาจับโจรขโมยปลาแล้ว พวกเขาถึงจะมา

แน่นอนว่านี่สามารถเข้าใจได้ เพราะอย่างไรเรือที่ตำรวจทะเลขับมาก็คือเรือลำเล็ก แต่ฉินสือโอวนั่งเฮลิคอปเตอร์มา ระหว่างทั้งสองฝ่ายความเร็วต่างกันเยอะมาก

หลังจากพวกตำรวจทะเลมาถึง ฮาร์ปตันก็บ่นก่อนว่าพวกเขาส่งตำรวจมาช้าเกินไป หลังจากนั้นถึงจะส่งโจรขโมยปลาให้ตำรวจ หลังจากพวกตำรวจทะเลเห็นสภาพของโจรขโมยปลาก็ตกใจ ใบหน้าของคนพวกนี้เต็มไปด้วยผงสีขาว ริมฝีปากหนาวจนกลายเป็นสีเขียว เหมือนกับผี

สาเหตุที่โจรขโมยปลามีสภาพแบบนี้ เพราะหลังจากพวกเขาถูกจับก็มัดเอาไว้ และโยนกลับไปที่เรือของพวกเขา บนเรือยังคงมีควันและฝุ่นละอองกระจายอยู่ ซึ่งรมควันพวกเขาอยู่พอสมควร

ฉินสือโอวรู้สึกว่าการลงโทษของตัวเองยังถือว่าเบา เขาไม่ได้ทุบตีคนพวกนี้ และต้องรู้ว่าพวกเจ้าของฟาร์มปลาอารมณ์ร้อนมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮาร์ปตันคิดว่าเขาใช้ปืนใหญ่หัวจรวดก็รู้สึกกลัวขึ้นมา นั่นเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกตั้งข้อหาทางอาญาที่ใช้อาวุธหนักและฆ่าคนตาย หลังจากที่เขารู้ว่าสิ่งที่ฉินสือโอวใช้เป็นแค่ปืนใหญ่หัวจรวดป้องกันไฟไหม้ก็ไม่มีแรงกดดันทางจิตใจอีก ต่อมาเมื่อจับโจรขโมยปลาพวกนี้ได้ เขายังพยายามจะขึ้นไปทุบตีพวกเขาอย่างดุร้ายเพื่อทิ้งบทเรียนไว้ให้พวกเขาอีกด้วย

หลังจากส่งตัวโจรขโมยปลาให้ตำรวจทะเล ฮาร์ปตันก็โพสต์รูปที่ถ่ายในคืนนี้ลงฟอรัมการประมงออนไลน์ผ่านทางคอมพิวเตอร์ นี่คือสิ่งที่ฉินสือโอวเตรียมไว้ล่วงหน้า แน่นอนว่าเป้าหมายคือการแสดงอำนาจของตนเพื่อข่มขู่ให้ผู้อื่นกลัว เขาต้องการทำให้โจรขโมยปลารู้ถึงวิธีการสายฟ้าแลบของพวกเขา

เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำคือตัวชูโรงในภาพ ตอนแรกฉินสือโอวยังคิดจะจัดงานแถลงข่าวเพื่อรายงานข่าวเรื่องนี้อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ดึกแล้วและอากาศก็หนาว จึงไม่มีสื่อไหนเต็มใจจะส่งนักข่าวมารับผิดชอบการรายงานข่าวแบบนี้

โชคดีที่เขามีผู้ช่วย ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของนีลเซ็นเป็นคลื่นลูกใหม่ในอุตสาหกรรมสื่อที่นิวฟันด์แลนด์ตอนนี้ ฮาร์ปตันส่งภาพถ่ายจำนวนมากไปให้แพรีส หลังจากนั้นเธอก็ทำการสัมภาษณ์เสมือนจริงและรายงานวิธีที่เจ้าของฟาร์มปลากับพันธมิตรการประมงใช้ป้องกันโจรขโมยปลา

การรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องได้รับการตอบรับที่ไม่เลวในนิวฟันด์แลนด์และรัฐโนวาสโกเชีย ฟาร์มปลาที่มีอิทธิพลนิดหน่อยบริเวณรอบๆ จึงเข้าร่วมพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ พวกเจ้าของฟาร์มปลาเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพื้นที่นี้ พวกเขาชื่นชมความสามารถอันแข็งแกร่งของฉินสือโอวและการตอบสนองที่รวดเร็วของพันธมิตร

แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่แสดงการต่อต้านเรื่องนี้ และคิดว่าขั้นตอนการลงโทษที่พวกเจ้าของฟาร์มปลาทำกับโจรขโมยปลานั้นรุนแรงเกินไป แต่ผู้ที่ส่งเสียงเหล่านี้ออกมาไม่เป็นประชาชนคนธรรมดาก็เป็นชาวประมงธรรมดาๆ ไม่สามารถเรียกว่าเป็นเสียงหลักได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครใส่ใจ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือท่าทีของฝ่ายบังคับใช้กฎหมายเช่นตำรวจทะเลกับตำรวจม้า พวกเขาใช้ท่าทีปิดปากเงียบ สังเกตเรื่องต่างๆ และพัฒนา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขายอมรับมาตรการการป้องกันตัวเองของเจ้าของฟาร์มปลาไปโดยปริยาย แน่นอนว่า หลังจากเหตุการณ์ฮาร์ปตันก็ถูกตำรวจม้าสอบสวนและปรับตามปกติ เพราะเขาไม่สามารถอธิบายว่าปืนใหญ่หัวจรวดดับเพลิงพวกนั้นมาจากที่ไหน

แต่ก็เป็นแค่การปรับเท่านั้น ไม่มีการควบคุมตัวทางปกครอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฟ้องร้องเลย และค่าปรับ 4 พัน 5 ร้อยก็ไม่เท่าไหร่สำหรับเจ้าของฟาร์มปลา ต้องรู้ก่อนว่าการขโมยปลาหนึ่งครั้งจะทำให้พวกเขาสูญเสีย 4 ล้านถึง 5 ล้าน เมื่อเทียบกับการสูญเสีย 4 พันกว่าก็สามารถยอมรับได้โดยสมบูรณ์

ฉินสือโอวจอดเฮลิคอปเตอร์ 7 ลำไว้ที่ลานว่างของสวนสาธารณะด้านหน้าอาคารสำนักงานพันธมิตร เขาแสดงท่าทีสนับสนุนการป้องกันตัวเองของเจ้าของฟาร์มปลาให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจากนี้ฟาร์มปลาไหนพบว่ามีเรือขโมยปลาก็สามารถเรียกเฮลิคอปเตอร์ไปสนับสนุนได้

หลังจากเหตุการณ์การลงโทษกับมาตรการการป้องกันออกมา พฤติกรรมการขโมยปลาที่ระบาดอยู่ในทะเลที่นิวฟันด์แลนด์ก็หยุดลง และหลังจากนั้น 10 กว่าวันก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับการขโมยปลาเผยแพร่อีกเลย

กลางเดือนมกราคม ฉินสือโอวกลับมาที่ฟาร์มปลา ครั้งนี้การกระทำที่ตั้งใจจะแสดงอำนาจของตัวเองเพื่อข่มขู่ให้ผู้อื่นกลัวประสบความสำเร็จมาก เขาไม่จำเป็นต้องทนอยู่ในสำนักงานเพื่อจัดตารางเวลาอีกแล้ว อย่างน้อยสัปดาห์หน้าก็ยังไม่จำเป็น เพราะสำนักงานอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า จะมีพายุหิมะจู่โจมรัฐนิวฟันด์แลนด์และรัฐโนวาสโกเชียอีกครั้ง

หิมะในฤดูหนาวก็เหมือนกับการขโมยปลา จำนวนครั้งเยอะเป็นพิเศษ หิมะที่ปกคลุมเมืองยังไม่ละลาย ก็มีหิมะตกหนักลอยมาอีกครั้ง

ทางหลวงหลายสายในนครเซนต์จอห์นถูกปิด โชคดีที่ผิวน้ำทะเลไม่ถูกแช่แข็ง ท่าเรือที่ฟาร์มปลาจึงเป็นท่าเรือที่น้ำไม่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี หิมะที่ตกหนักก็ส่งผลกระทบต่อการจราจรในเมืองไม่มากเหมือนกัน ในเมืองไม่ใช้รถสักเท่าไหร่ แต่ใช้ม้า ซึ่งม้าพวกนี้สามารถลากรถม้าและก็สามารถลากรถลากเลื่อนหิมะได้

หลังจากฉินสือโอวกลับมาถึงบ้าน เถียนกวาก็เหมือนกับกระต่าย กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นก็เปิดปากร้องไห้ “ปะป๊าๆ ทำไมปะป๊าเพิ่งกลับมา? หนูคิดว่าปะป๊าไม่ต้องการเถียนกวาแล้ว…ฮือๆ”

เด็กน้อยคิดจะฆ่าเขาแล้ว ไม่เจอกันหลายวัน เธอเหงามากช่วงนี้

วินนี่ตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนกว่าแล้ว รูปร่างเปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนนี้เธอไม่สามารถเล่นกับลูกสาวได้ และก่อนวันปีใหม่เหมาเหว่ยหลงก็พาตั๋วตั่วกลับไปแฮมิลตัน แมวน้ำก็มีพลังงานไม่เพียงพอในฤดูหนาว ฝูงนากทะเลยิ่งไม่กล้าเจอผู้คนเลย ดังนั้นเด็กน้อยจึงทำได้แค่เล่นกับหู่เป้าฉงหลัว

หู่เป้าฉงหลัวต่างก็เป็นเด็กโต ในโลกของพวกมัน พวกมันจัดเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้รักการเล่นเหมือนตอนเป็นเด็ก โดยเฉพาะฉงต้ากับหมีโลลิ ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำ พวกมันจะชอบไปหลบอยู่ข้างเตาผิงและอิงแอบกันเพื่อให้ตัวเองอบอุ่น และไม่วิ่งออกไปเล่นกับเด็กน้อย

ฉินสือโอวเตรียมของขวัญมากมายมาให้ลูกสาว เขาให้นีลเซ็นกับเบิร์ดขนของขวัญเข้ามา ของขวัญพวกนี้ใช้กระดาษสีกับริบบิ้นหลากสีห่อ เด็กน้อยรีบไปเปิดของขวัญ ระหว่างที่เปิดของขวัญเด็กน้อยก็ยังสะอื้นและร้องไห้เป็นระยะๆ

วินนี่ช่วยเขาจัดกระเป๋าเดินทางอย่างบรรจง เธอจัดเสื้อผ้าที่ควรซักกับของใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหมวดหมู่ และถามเขาว่า “หลังจากนี้ยังต้องไปทำงานที่นั่นอีกนานแค่ไหนคะ?”

ฉินสือโอวยักไหล่ “ไม่ต้องแล้ว ผมจะอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยก็รอจนกว่าลูกจะอายุขวบครึ่ง ผมจะไม่ออกไปจากฟาร์มปลา จริงสิ ลูกชายยังทำตัวดีอยู่ใช่ไหม?”

วินนี่ยิ้ม “ทำตัวดีกว่าเถียนกวาเยอะ เขาเป็นเด็กดี เมื่อถึงตอนกลางคืนเขารู้ว่าคุณแม่ต้องนอน ก็จะนิ่งเงียบตลอด มีแค่ตอนกลางวันถึงจะยืดแขนยืดขา”

พลังแห่งความรักของผู้เป็นแม่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อพูดถึงลูกชายที่อยู่ในครรภ์ ใบหน้าของวินนี่ก็เต็มไปด้วยความสุข

ฉินสือโอวกอดเธอและขอโทษ “ช่วงนี้ผมไม่ได้อยู่บ้าน คุณต้องดูแลเด็กๆ ด้วยตัวเองคนเดียว ขอบคุณมากๆ นะครับ”

วินนี่ส่ายหัว “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ คุณไม่อยู่บ้านพอดี ฉันปล่อยให้เถียนกวาอยู่คนเดียว หลังจากนั้นก็ดูแลลูกชายโดยเฉพาะ สบายมาก ดังนั้นถ้าคุณยังยุ่งอยู่ งั้นก็ไปยุ่งให้เสร็จ ส่วนเรื่องครอบครัวก็อย่าไปกดดันอะไรมาก”

ฉินสือโอว “…”

ครอบครัวกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวมีความสุขมาก และเตรียมอาหารดีๆ หรูหราไว้เป็นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองในวันนี้

พ่อของฉินสือโอวยังบอกข่าวดีกับเขาอีกด้วย “เสี่ยวฮุยใกล้จะถึงวันหยุดแล้ว พี่สาวกับพี่เขยของแกจะพาเขามา หลังจากนั้นก็อยู่เฉลิมฉลองวันตรุษจีนที่นี่ หลังจากเฉลิมฉลองวันตรุษจีนเสร็จก็ค่อยกลับ”

ฉินสือโอวฟังแล้วดีใจมาก ช่วงเฉลิมฉลองวันตรุษจีนนั้นเป็นกำหนดคลอดของวินนี่พอดี เขาไม่สามารถพาวินนี่กับพ่อแม่กลับบ้านเกิดได้แน่นอน ดังนั้นถ้าพี่สาวกับพี่เขยมา ทุกคนในครอบครัวก็จะได้เฉลิมฉลองวันตรุษจีนด้วยกันอย่างมีความสุขแน่นอน

…………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท