ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1815 มื้อใหญ่กลางทะเล

บทที่ 1815 มื้อใหญ่กลางทะเล

ฉินสือโอวจับปลาไหลได้มาสิบกว่าตัว ตอนที่ดึงกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมา ในนั้นก็มีปลาไหลตัวเล็กอยู่หลายตัวแล้ว นี่ไม่ใช่ปลาที่เขาตกได้ แต่เป็นปลาที่มุดเข้ามาเอง บนผิวน้ำเองก็มีปลาไหลโผล่มาให้เห็นอยู่เป็นพักๆ เช่นกัน

นี่เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากในน่านน้ำแถบอื่น ในปัจจุบันปลาไหลอเมริกันเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทะเลที่ล้ำค่าในมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุผลที่มันล้ำค่าขนาดนี้ ก็เกี่ยวกับที่มันมีปริมาณที่น้อย แต่ว่าในฟาร์มปลาแล้วปลาไหลไม่ถือว่าเป็นของหายากขนาดนั้น

จับปลาไหลตัวเล็กขึ้นมา ฉินสือโอวให้เถียนกวาโยนกลับลงไปในทะเล เถียนกวากะพริบตาปริบๆ อย่างงงงวยถามว่า “ทำไมคะ? ตัวเล็กก็อร่อยเหมือนกัน นุ่มมากด้วย!”

ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจว่า “หนูเคยกินปลาไหลเหรอ? ใครให้หนูกินคะ?”

เถียนกวาส่ายหัว กัดนิ้วน้อยๆ ที่เนียนนุ่มนั้นแล้วพูดพึมพำออกมาว่า “เถียนกวาไม่เคยกิน เถียนกวากินแค่ผลไม้กับเนื้อ คุณแม่บอกว่าอันเล็กอร่อย”

ฉินสือโอวลูบหัวเล็กๆ ของเธอ ยิ้มแล้วพูดว่า “อื้ม คุณแม่พูดถูก แต่ว่าปลาเล็กสัตว์เล็กกินไม่ได้นะ พวกมันก็เหมือนกับเถียนกวา ยังไม่โต ยังไม่เคยเห็นโลกที่สวยงามมาก่อน ถ้ากินพวกมันไปทั้งอย่างนี้เลยจะโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ? ไป ปล่อยพวกมันลงไปในทะเลเถอะ “

เถียนกวาพยักหน้าเหมือนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง จับปลาไหลขึ้นมาแล้วไปนั่งปล่อยอยู่ตรงริมชายฝั่งเกาะล่องแก่ง ขาสั้นๆนั้นวิ่งไปมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ปล่อยปลาไหลจนหมด

ฉินสือโอวชมไปทีว่าเป็นเด็กดีจริงๆ เถียนกวายิ้มอย่างได้ใจออกมา

เขาจับปลาตัวเมียพวกนี้ขึ้นมาเพื่อเตรียมทำอาหาร เถียนกวาดึงเขาไว้ แล้วเงยหน้ามองอย่างคาดหวังว่าพร้อมพูดว่า “ป่าป๊า ป่าป๊า ชมกวาๆ อีก ชมอีกสิคะ”

ฉินสือโอว “…”

พี่สาวของฉินสือโอวมองดูแล้วก็ยิ้มอยู่ข้างๆ เธอรับปลาไหลมาแล้วพูดว่า “พวกเธอสองพ่อลูกอยู่เล่นกันเถอะ พี่มาจัดการปลาพวกนี้เอง ก็แค่ตัดหัวกับล้างท้องข้างในเองใช่ไหม?”

ฉินสือโอวส่ายหัว พูดว่า “ผมมาทำเองดีกว่าครับ ปลาไหลเตรียมยาก จะต้องระวังดีปลาไหล มันซ่อนอยู่ในเครื่องใน ถ้าไม่ระวังก็จะทำให้มันแตก ถ้าเป็นแบบนั้นเนื้อก็จะไม่อร่อยแล้ว “

หนังของปลาไหลตามธรรมชาติมีความเหนียวมาก แถมยังมีเมือกเหนียวคลุมอยู่อีกชั้นหนึ่งเหมือนกับปลาไหลน้ำจืดอีกด้วย ทำให้กะตำแหน่งได้ยากมาก นี่จะต้องใช้น้ำแร่มาล้างก่อนรอบหนึ่ง เพื่อล้างเอาเมือกเหนียวออกแล้วค่อยตัดหัว จากนั้นก็ใช้มีดผ่าปลาผ่าตรงกลางออกอย่างเบามือ แล้วใช้ปลายมีดงัดเครื่องในออกมา สุดท้ายยังต้องใช้มีดหัวตัดเลาะเอากระดูกสันหลังออกมาอีก อีกหนึ่งเหตุผลที่ปลาไหลเป็นที่นิยมของคนผิวขาวอย่างยุโรปและอเมริกาก็คือก้างน้อย นอกจากกระดูกสันหลังใหญ่แล้ว ก้างที่เหลืออยู่ก็มีแต่พวกก้างปลาเล็กๆ บนหลังของมันเท่านั้น สามารถกินได้

หลังจากรอเขาผ่าท้องปลาไหลเสร็จแล้ว พี่สาวของฉินสือโอวก็มารับเอาไปล้างน้ำเปล่าต่อ บนเรือมีเครื่องแปลงน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดอยู่ แม้ว่าน้ำจืดที่ได้จะไม่ถึงมาตรฐานที่สามารถนำมาดื่มได้เลย แต่สามารถเอามาอาบน้ำและล้างผักได้ สะดวกเป็นอย่างมาก

เนื้อปลาไหลที่ล้างจนสะอาดแล้วมีสีชมพูอ่อนที่สวยงาม ใช้นิ้วกดลงไปที่เนื้อเบาๆ เนื้อจะยุบลงไป แต่พอยกนิ้วขึ้นเท่านั้นเนื้อปลาก็จะเด้งกลับขึ้นมาทันที นี่ก็คือสิ่งที่เนื้อปลาไหลที่เลี้ยงเองไม่สามารถทำได้

ปลาไหลพวกนี้แต่ละตัวล้วนมีความยาวหกสิบเซนติเมตรขึ้นไปทั้งนั้น ปลาแต่ตัวตัดแบ่งออกเป็นสิบส่วน พวกมันมีกระดูกสันหลังแค่ส่วนเดียว แถมกระดูกส่วนนี้ยังถูกเลาะออกมาแล้วอีก ทำให้เนื้อปลาแบะออก ราวกับแผ่นเนื้อทั่วไป ที่หนาบางเท่าๆ กัน นี่ก็เป็นจุดเด่นของปลาไหลธรรมชาติเช่นกัน เนื้อทุกส่วนในร่างกายเติบโตได้ดีเท่าๆ กัน

ถือโอกาสที่เนื้อปลายังสดอยู่ ฉินสือโอวตั้งน้ำมันให้ร้อนแล้วนำเนื้อไปทอดในนั้นสองสามที รอจนเนื้อปลามีสีออกเหลืองแล้วเขาก็นำขึ้นทันที เขาเติมน้ำมัน ซีอิ๊ว ซอสเปรี้ยวและเมเปิ้ลไซรัปลงไปนิดหน่อย เครื่องปรุงใช้เพียงเท่านี้ไม่จำเป็นต้องเติมอย่างอื่นเข้าไปอีก เพราะจะต้องรักษารสชาติที่หอมหวานของเนื้อปลาไหลไว้

พอนำเนื้อปลาไปหมักแล้ว เขาก็ไปเตรียมของอย่างอื่น โดยนำสาหร่ายคอมบุและสาหร่ายโนริแห้งที่นำมาจากบนฝั่งมาซอยให้เป็นเส้นๆ แล้วนำไปผสมกับต้นหอม พอเนื้อปลาหมักได้ที่แล้ว ก็ตั้งน้ำมันเริ่มการทอดอีกรอบ การทอดครั้งนี้จำเป็นต้องคุมระดับไฟให้ดี หลังนำเนื้อปลาลงไปทอดได้สักพักแล้วก็ทำการเทซอสที่เตรียมไว้ลงไปต้มด้วย อาหารจานนี้ไม่สามารถพึ่งแต่การทอดอย่างเดียวได้ ไม่อย่างนั้นเนื้อปลาที่นุ่มละมุนนั้นจะถูกทอดจนแข็งได้

ซอสปรุงรสสีดำแดงกำลังเดือด ‘ปุดๆ’ กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารทะเลได้ลอยฟุ้งออกมา เถียนกวาที่เล่นอยู่ข้างนอกสูดจมูกไปมา แล้วก็รีบวิ่งเข้ามาหาถ้วยเล็กของตัวเอง แล้วอุ้มถ้วยเล็กนั้นนั่งรออยู่ข้างโต๊ะกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยม

พี่เขยและพ่อของฉินสือโอวทำการเตรียมปลาชนิดอื่นๆ มีปลาหิมะขนาดกลางตัวหนึ่ง ปลาลิ้นหมาตัวหนึ่ง ปลากะพงญี่ปุ่นตัวอ้วนสองตัวและปลาแฮร์ริ่งอีกจำนวนหนึ่ง เนื้อปลาจำนวนมากมาย บวกกับผักสดที่เอามาจากสวนผัก เพียงพอให้คนทั้งกลุ่มกินกันแล้ว

เนื่องด้วยมีแสงดาวที่ส่องแสงเป็นประกายแต่ก็ดูเยือกเย็นอยู่ พี่สาวของฉินสือโอวยืนพิงประตูห้องโดยสารแล้วมองออกไปข้างนอก แล้วพูดชมออกมาว่า “ที่แท้ค่ำคืนบนทะเลสวยแบบนี้นี่เอง แถมพี่ยังเคยคิดว่าอากาศบนทะเลจะเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวเสียอีก ฤดูร้อนปีที่แล้วพี่กับพี่เขยของนายไปเที่ยวกันที่เมืองไหเต่า ก็รู้สึกว่าน้ำทะเลที่นั่นกลิ่นไม่ค่อยดีเลย แต่ว่าที่นี่ถือว่าไม่เลว”

ฉินสือโอวพลิกเนื้อปลาไหลไปพลางหัวเราะไปพลางพูดว่า “ความจริงปกติก็มีกลิ่นคาวนั่นแหละ แต่ว่าไม่มีกลิ่นเหม็น พวกปลากุ้งกับสาหร่ายของผมที่นี่พอตายแล้วจะไม่เน่าจนส่งกลิ่นเหม็นออกมา แต่จะถูกสัตว์ที่กินซากสัตว์กินแทน แต่ว่าพวกพี่โชคดี ก่อนหน้านี้เพิ่งมีลมพายุไป กลิ่นคาวบนทะเลก็ถูกพัดหายไปด้วย เมื่อไม่มีการหมุนเวียนของกระแสน้ำ ทำให้กลิ่นคาวของทะเลไม่ลอยขึ้นมา ดังนั้นผมถึงได้พาพวกพี่มาออกทะเลไงครับ นี่น่ะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการออกทะเลในฤดูหนาวเลย”

ซอสปรุงรสถูกต้มจนข้นหนืดแล้ว เขาปิดไฟปิดฝาครอบไว้ให้น้ำซอสซึมเข้าไปในตัวปลาไหลอีกสักพัก ทำแบบนี้จะได้ถึงรสถึงชาติมากขึ้น

ต่อไปก็คือการทำเมนูปลาจานอื่นต่อ ปลากะพงมีตัวหนึ่งนำไปทอดอีกตัวนำไปย่าง ปลาค็อดนำมานึ่งทั่วๆ ไป ปลาลิ้นหมานำมาทาน้ำมันกับซอสแล้วใส่เข้าไปอบในเตาจนสุก ส่วนปลาแฮร์ริ่งกับปลาซาบะนำมาตัดหัวผ่าท้องแล้วเอาไปทอด

มองดูพ่อของฉินสือโอวทอดปลาแล้ว เสี่ยวฮุยก็ยิ้มให้กับเชอร์ลี่ย์แล้วพูดว่า “คุณย่าของฉันทำปลาทอดอร่อยมากเลย เดี๋ยวเธอต้องกินเยอะๆ นะ”

กอร์ดอนแหย่เสี่ยวฮุย เบะปากพูดว่า “ทำไมนายบอกแค่กับเชอร์ลี่ย์ล่ะ? ให้เชอร์ลี่ย์กินเยอะๆ แล้วฉันล่ะ? ฉันเองก็อยากกินเยอะๆ บ้าง ได้ไหม?”

เสี่ยวฮุยเป็นคนขี้อาย จึงเกาหัวอย่างเกร็งๆ แล้วพูดว่า “มันก็ได้นะ”

เชอร์ลี่ย์เตะขาไปข้างหลังเงียบๆ เตะไปโดนเข่าของกอร์ดอนอย่างจัง ทำเอาเขาเจ็บจนอ้าปากค้างไว้ รวบรวมแรงพูดออกมาว่า “เชอร์ลี่ย์ เธอเป็นบ้าอะไรอีก…”

“นายออกมานี่ ฉันจะบอกนายเองว่าฉันเป็นบ้าอะไร” เชอร์ลี่ย์ยิ้มหวานไปทีหนึ่ง แล้วก็หันหลังไปยื่นมือดึงหูของกอร์ดอนอย่างรวดเร็วแล้วลากเขาออกไปจากห้องอาหารบนเรือ กอร์ดอนร้องอย่างเจ็บปวดไปด้วยร้องขอชีวิตไปด้วย เถียนกวาที่อุ้มถ้วยข้าวอยู่เอียงคอมองดูอย่างตั้งใจ ตาดวงโตกะพริบปริบๆ ไปมา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ฉินสือโอวเห็นสภาพน่าอนาถของกอร์ดอนแล้ว ก็ตบมือแล้วพูดว่า “เชอร์ลี่ย์ปล่อยเขาไปเถอะ เธอไปล้างมือ พวกเรากินข้าวกัน รีบกินข้าวกันเถอะ”

เชอร์ลี่ย์ใช้มือตบเบาๆ ไปที่หน้าของกอร์ดอน ยิ้มแล้วพูดว่า “ไปขอบคุณฉินที่ช่วยชีวิตนายไว้ซะนะ” จากนั้นเธอก็ไปล้างมือหัวหน้าตาที่ดุร้าย เธอกดสบู่ล้างมืออยู่หลายครั้ง และพูดอยู่ตลอดว่าหูของกอร์ดอนสกปรก

เมื่อกินอาหารบนทะเลแล้วก็ต้องดื่มเหล้าด้วย ทะเลในฤดูหนาวเย็นชื้นมาก สามารถเย็นเข้าไปถึงกระดูกคนได้เลย ฉินสือโอวหยิบเอาบรั่นดีออกมาขวดหนึ่ง ปริมาณแอลกอฮอล์สูง ความแรงได้ที่ รสชาติทั้งเผ็ดทั้งแรง นี่คือเหล้าที่เหล่าชาวประมงเตรียมไว้ดื่มตอนออกทะเล มีเอกลักษณ์มาก

นอกจากตั่วตั่วแล้ว ทุกคนรวมถึงเหล่าวัยรุ่นก็ล้วนได้มากันคนละแก้ว การมาค้างคืนบนทะเลแล้วได้ดื่มเหล้าแรงๆสักนิดส่งผลดีต่อร่างกาย

กลิ่นหอมของเหล้ากับรสชาติที่หอมหวานของปลากุ้งนั้นเข้ากันได้อย่างที่สุด ยิ่งถ้าได้แกล้มกับความหอมของผักสดแล้ว เท่ากับมื้อใหญ่กลางทะเลได้เริ่มขึ้นแล้ว

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน