ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1833 ธุรกิจอบปลา

บทที่ 1833 ธุรกิจอบปลา

สามีภรรยาชาวซีเรียได้ซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ไปหลายชิ้น ยังเหลือของใช้ในชีวิตประจำวันจำพวกเครื่องครัว พรม และเครื่องกรองน้ำอยู่ ยุ่งกันมาสักพักเลยหิวกันขึ้นมา หลังจากฉินสือโอวติดต่อไปที่ศูนย์ขายอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านเพื่อสั่งของใช้ในชีวิตประจำวันครบชุดแล้ว ก็เอาเก้าอี้เอนมาตั้งไว้หน้าประตูเพื่อพักผ่อน

เหมาเหว่ยหลงเข้ามายื่นเบียร์ให้เขากับจงต้าจวิ้นคนละขวด จงต้าจวิ้นเปิดขวดดื่มไปอึกหนึ่ง พูดว่า “เฮ้ย รสชาติไม่เลว ความหอมของเบียร์นี่เข้มข้นจริงๆ เลย มีของกินไหม จะว่าไปยุ่งมาตลอดช่วงบ่ายแล้วฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ”

ฉินสือโอวถามว่าสั่งเดลิเวอรี่กันเถอะ เหมาเหว่ยหลงบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันเอาเป็ดย่างจากที่บ้านมาให้พวกนายด้วย รสชาติดีมาก แล้วก็ไม่ใช่ของจีนจากร้านเฉวียนจี้เต๋อจำ (ภัตตาคารอาหารจีนเก่าแก่) อะไรเทือกนั้นด้วยนะ”

“นานขนาดนี้แล้วไม่เสียเหรอ?” ฉินสือโอวแปลกใจ เป็ดย่างมีแค่แบบเพิ่งย่างเสร็จใหม่ๆ เท่านั้นถึงจะอร่อย ไม่นับว่าพวกเขามาที่เซนต์จอห์นเป็นเวลาสองวัน แต่แค่นั่งเครื่องบินมาก็เป็นเวลาวันหนึ่งแล้ว ก็สามารถทำลายรสชาติของเป็ดย่างได้ด้วยเหมือนกัน

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะแล้วพูดว่า “ซีลสุญญากาศ สามารถเก็บได้ห้าวันไม่มีปัญหา แต่ว่าก็แน่นอนนะ รสชาติก็จะนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

ย้ายมาอพาร์ทเม้นท์ใหม่ ฉินสือโอวยังไม่ได้เตรียมวัตถุดิบอาหาร ตู้เย็นยังส่งมาไม่ถึงเลย เลยไม่สามารถเตรียมได้ แต่ว่าเซนต์จอห์นมีร้านจำหน่ายอาหารทะเลต้าฉินอยู่ เขาโทรไปแค่กริ๊งเดียวก็สามารถส่งวัตถุดิบอาหารทะเลมาให้ได้ เดินวนไปวนมาในห้องครัว เขาก็หาเครื่องย่างสไตล์ยุโรปกับถ่านจนเจอ เท่านี้พอตั้งเตาเสร็จก็สามารถทำปิ้งย่างกินเองได้แล้ว

ตอนแรกเขาอยากออกไปกินข้างนอก แต่หลังจากจงต้าจวิ้นเห็นเตาย่างแล้วก็ให้เขาทำปิ้งย่างง่ายๆ ให้กินก็พอแล้ว บอกว่าตั้งแต่มาถึงเซนต์จอห์นเขาก็ตามไปกินแต่ในร้านอาหาร ยังไม่ได้ชิมฝีมือทำอาหารของฉินสือโอวเลย

คิดอยู่สักพัก ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองย่างเองก็ได้ เขาโทรศัพท์ให้ชาร์ค ให้เขาส่งเนื้อกับผักมา นี่ไม่เพียงแต่เตรียมไว้สำหรับอาหารมื้อนี้เท่านั้น ช่วงเวลาหลังจากนี้ พวกพ่อแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็ต้องมาอยู่ดูแลวินนี่ที่นี่ด้วย จะต้องเตรียมพร้อมให้กับวันหลังจากนี้ด้วย

เขายังให้ชาร์คไปเอาปลาน้ำจืดแห้งจากห้องแช่แข็งมาให้ด้วย หรือก็คือปลาอบแห้ง ปลาซ่ง ปลาคาร์ฟ ปลาเฉาฮื้อ ปลาลิ่น แล้วก็ปลาคาร์ฟสีดำล้วนเอามาอย่างละตัว แล้วก็ยังมีปลาน้ำจืดพันธุ์ดีของท้องถิ่นด้วย

หลังจากปลาอบกลายเป็นปลาแห้งแล้ว ขนาดตัวก็หดลงนิดหน่อย หน้าตาก็ไม่ได้สวยเหมือนเดิม แต่เทียบกับปลาตากแห้งที่ขายกันทั่วในตลาดแล้ว ก็ยังดูดีกว่ามาก เพราะว่าพวกมันได้รับการเก็บรักษาอย่างดี

ฉินสือโอวจุดไฟในเตาย่าง คนหลายคนพากันนั่งอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าประตู พอดีกับที่เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแสงอาทิตย์อบอุ่น พวกเขาจึงปิ้งย่างไปพลางดูธุรกิจแผงของมือสองไปพลาง ดีกันทั้งสองฝ่าย

ชาร์คดูภายนอกหยาบกระด้างแต่ภายในละเอียดมาก ที่เขารับสายไปคือให้ส่งมาแค่เนื้อปลาและผักเท่านั้น แต่ตอนที่มาถึง เขายังเอาเครื่องปรุงรสต่างๆ นานามาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแป้งอีกหนึ่งถุงเพื่อเอาไว้ใช้ในการอบขนมปังอีกต่างหาก

ฉินสือโอวเอาปลาแห้งให้จงต้าจวิ้นดู พูดว่า “ก็คือปลาแบบนี้ นายลองคิดดูก่อน ถ้าธุรกิจนี้ทำได้ ฉันสามารถส่งปลาแห้งให้นายได้เดือนละประมาณสิบตัน เงินทุนต่ำมาก หลักๆ คือค่าขนส่ง นายลองดูสิว่าธุรกิจนี้ทำได้ไหม”

แม้ว่าจงต้าจวิ้นจะไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน แต่การที่เป็นการตลาดมาหลายปี รู้จักคนเยอะ งานที่เคยไปก็มีมาก เขาหยิบปลาเฉาฮื้อแห้งมาตัวหนึ่งใช้มีดผ่ามาแผ่นหนึ่งแล้วเคี้ยวในปากเพื่อชิมดู แล้วก็พยักหน้าพูดว่า “ปลาแห้งนี่รสชาติดีมากเลยนี่ ค่าส่งเท่าไร? ฉันรู้สึกว่าธุรกิจนี้สามารถทำได้”

พูดจบ เขาก็กางนิ้วออกเริ่มคำนวนอย่างสนอกสนใจ พูดว่า “ก่อนจะมาฉันไปดูตลาดมาแล้ว ปลาแห้งที่ทำจากปลาน้ำจืดมีให้เห็นน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นปลาแห้งที่ทำจากปลาทะเล ราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละหนึ่งร้อยหยวน ฉันซื้อกินดูแล้ว ปลาแห้งจากปลาทะเลรสชาติไม่ดีเท่าอันนี้ ดังนั้นพวกเราก็ขายกิโลกรัมละหนึ่งร้อยหยวนไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”

ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดว่า “แบบนั้นทำกำไรได้ไม่เยอะ ปลาแห้งเก็บรักษาได้ง่ายแถมขนาดกระทัดรัดไม่กินพื้นที่ สามารถส่งทางทะเลได้ ถ้าส่งทางทะเล ของหนึ่งกิโลกรัมส่งจากเซนต์จอห์นไปที่เมืองไห่เต่า อย่างน้อยก็ต้องยี่สิบหยวน แล้วก็บวกกับค่าคนงานกับค่าเช่าร้าน ราคาต้นทุนน่าจะห้าสิบหยวนได้? ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้กำไรอะไร”

จงต้าจวิ้นมองเขาด้วยความตกใจ พูดว่า “นี่ยังไม่เรียกว่าได้กำไรอีกเหรอ ขอแค่สามารถได้กำไรก็พอ กำไรห้าสิบหยวนไม่ถือว่าน้อยเลย กำไรหนึ่งเท่าเลยนะ! ถ้าหนึ่งเดือนขายออกได้หนึ่งพันกิโลกรัม นั่นก็คือรายได้ห้าหมื่นหยวน ปีหนึ่งก็หกแสน แม้จะไม่ถึงล้านแต่ก็ไม่ไกลแล้ว”

เหมาเหว่ยหลงที่กำลังพลิกเป็ดย่างอยู่ได้หันหลังกลับมา พูดว่า “ตาฉิน นายอย่ายืนดูธุรกิจนี้จากที่สูงของนายสิ หัวหน้าห้องในตอนนี้เดือนหนึ่งก็ได้เงินแค่หมื่นกว่าหยวนเท่านั้น มาเป็นเจ้านายตัวเองทำกำไรได้เหนาะๆ ห้าหมื่นหยวน ฉันรู้สึกว่าธุรกิจนี้ก็ใช้ได้แล้ว”

ฉินสือโอวพูดว่า “งั้นก็ลองทำดูแล้วกัน ช่วงแรกฉันลงทุนให้นายก่อน ถ้านายไม่คาดหวังสูงล่ะก็ฉันรู้สึกว่าก็ไม่มีปัญหาอะไร ด้วยคุณภาพของปลาแห้งนี้ ถ้าได้เปิดตลาดแล้ว อย่าว่าเดือนหนึ่งหนึ่งพันกิโลกรัมเลย สิบตันก็ไม่มีปัญหาหรอก”

นี่ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีที่คิดไปเอง นี่เป็นบทสรุปที่พี่สาวกับพี่เขยของเขาคิดกันออกมา เพราะว่างานในประเทศจีนที่พวกเขาทำในสองปีก่อนนี้ก็คือธุรกิจปลาน้ำจืด พอได้ชิมรสชาติของปลาแห้งพวกนี้แล้วจึงสามารถฟันธงได้ว่าอนาคตของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดีมาก

เป็ดย่างเอามาอุ่นให้ร้อนก็พอแล้ว เหมาเหว่ยหลงสวมถุงมือกันความร้อนแล้วก็เริ่มหั่นเนื้อเป็ดขึ้นมา ฉินสือโอวนำปลาแห้งมาหั่นเป็นแผ่นๆ แล้วก็วางไปบนเตาเพื่อเริ่มย่าง เมื่อวานซืนเขากับพี่สาวและครอบครัวได้ย่างกินกันบ้างแล้ว ตอนนี้จึงมีประสบการณ์

ปลาพวกนี้เพราะแยกน้ำออกไปแล้ว พอนำมาย่างจึงจำเป็นต้องใช้น้ำมันปริมาณมาก ถ้าน้ำมันน้อยไปเนื้อจะแห้งมาก ไม่สามารถแสดงศักยภาพของมันออกมาได้

ถ่านไฟสีแดงแจ๋ใต้เตาได้คุขึ้นมา ฉินสือโอวมือข้างหนึ่งถือที่คีบอีกข้างถือแปรง ได้ทำการพลิกปลาแห้งไม่หยุด จากนั้นก็ใช้น้ำมันถั่วลิสงทาไปด้านบนตัวปลา น้ำมันถั่วลิสงที่ทาลงไปเป็นชั้นๆ ย่างบนเตาไฟที่ไฟแรง น้ำมันร้อนได้ซึมลงไปในเนื้อปลา ส่งเสียงซู่ๆออกมา

เนื้อปลาสีขาวหิมะได้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวทำการทาน้ำมะนาวและน้ำเชื่อมเมเปิลลงไป รอจนเนื้อปลากลายเป็นสีเหลืองทองแล้ว ค่อยโรยงาดำและมะแขว่นอีกนิดหน่อย เท่านี้ปลาย่างก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

เขาย่างเนื้อปลาคาร์ฟสองแผ่นก่อนแล้วยื่นให้จงต้าจวิ้น ฝ่ายหลังใช้มีดหั่นออกแล้วก็เอาเข้าปาก ทำให้ลวกปากจนปากแหยจนเห็นฟัน แต่ว่าหลังจากนั้นเขากลับไม่ได้ลดความเร็วในการกินลง เขาเป่าปากไปพลางยัดเนื้อปลาเข้าปากไปพลาง แล้วก็พูดเสียงอู้อี้ว่า “ธุรกิจนี้ต้องทำได้อย่างแน่นอน ให้ตายสิอร่อย อร่อยจริงๆ!”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “เนื้อปลาคาร์ฟนี่ค่อนข้างหยาบ ไม่ดีเท่าปลาคาร์ฟของจีน เดี๋ยวนายลองชิมปลากะพงนี่ดู ฉันรู้สึกว่าอันนี้สิถึงจะอร่อย”

เขาหยิบปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือผู้ใหญ่นิดหน่อยให้จงต้าจวิ้น ฝ่ายหลังไม่เคยเห็นปลาชนิดนี้มาก่อน จึงถามว่านี่คืออะไร ฉินสือโอวแนะนำให้เขาว่า “ดูรอบตากับลายบนตัวของมัน นี่เรียกว่าปลาเบสสีขาว เป็นเจ้าตัวกินเนื้อ เนื้อนุ่มแล้วก็ละเอียดมาก คนแคนาดาชอบกินมากเลย”

เพิ่งจะตัดแบ่งปลาเบสออกเป็นสองแผ่น ก็มีหญิงคนหนึ่งพาเด็กสองคนมาถามราคาของพรมปูพื้น ฉินสือโอวไม่มีเวลาดูแล จึงตะโกนว่า “ราคาตามป้ายเลยครับ ขายถูกๆ พรมสะอาดมาก คุณซื้อไปแล้วไม่มีเสียเปรียบแน่นอน”

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มๆ วางเงินจำนวนหนึ่งไว้ในกล่องหน้าพรม แล้วก็พาเด็กจากไปเอง

จงต้าจวิ้นถามอย่างแปลกใจว่า “นี่เขาทำอะไรน่ะ? ทำไมวางเงินแล้วก็จากไปล่ะ?”

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน