ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1819 ใครกินใคร

บทที่ 1819 ใครกินใคร

เถียนกวาอายุยังน้อยแต่กลับฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างมาก ท่านชายฉินเองก็เริ่มมึนแล้ว เขามั่นใจว่าตอนเด็กตัวเองไม่ได้เจ้าเล่ห์แบบนี้แน่นอน งั้นถ้าเกิดว่ากันตามหลักกรรมพันธุ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนเด็กวินนี่ต้องไม่ใช่พวกเด็กเรียบร้อยอย่างแน่นอน

แต่ทว่าอย่างไรเสียก็ยังเป็นเพียงเด็กซื่ออายุไม่ถึงสามขวบเท่านั้น ภายหลังฉินสือโอวได้ลากเธอเดินไปพร้อมแนะนำของเล่นแต่ละชนิดให้รู้จัก ยัยตัวเล็กก็ตกหลุมพลางอย่างรวดเร็ว ยื่นมือน้อยๆ ออกไปตะโกนตลอดว่า “หนูเอาหนูเอาหนูเอา!”

“ซื้อๆๆ!” ฉินสือโอวสปอร์ตมาก ของที่ยัยตัวเล็กชอบเขาซื้อให้ทั้งหมด แต่ของที่ใหญ่ไปจะไม่ซื้อ เพราะของชิ้นเล็กสามารถให้ยัยตัวเล็กถือได้ แต่ถ้าใหญ่เขาจะต้องเป็นคนถือ ถ้าหากเขาถูกของเล่นพวกนี้พันตัวอยู่ล่ะก็ จะทำให้ไม่สามารถดูแลเด็กได้

ว่ากันว่าผู้หญิงสามคนอยู่รวมกันทำให้เกิดเรื่องดราม่าได้ แต่ฉินสือโอวรู้สึกว่าเด็กนิสัยเสียสามคนนี้อยู่ด้วยกัน ก็คือสงครามหนึ่งนี่เอง สงครามที่กินกันไม่ลงด้วย!

ในตอนท้ายเถียนกวาไปถูกใจเข้ากับพลุดอกไม้ไฟ นี่เป็นธรรมชาติของเด็ก นิวฟันด์แลนด์ไม่อนุญาตให้จุดพลุดอกไม้ไฟในพื้นที่สาธารณะ ดังนั้นแผงขายเหล่านี้จึงไม่สามารถสาธิตให้ดูได้ แต่ว่าพวกเขามีวิธีอยู่ นั่นก็คือทำการอัดวีดีโอไว้ล่วงหน้า แถมที่อัดไว้ยังสวยงามตระการตากว่าปกติมากด้วย ทำให้เด็กๆ ทั้งกลุ่มพากันล้อมดูอยู่รอบด้านอย่างใจจดใจจ่อ

ฉินสือโอวควักเงินซื้อดอกไม้ไฟขนาดเล็กหลากหลายรูปแบบกับพลุขนาดเล็กที่ไม่มีอันตรายใดๆ อันนี้เขาต้องเป็นคนถือเอง เพราะซื้อมาลังใหญ่เลย

หลังจากซื้อดอกไม้ไฟเสร็จ พวกเด็กนิสัยเสียก็หมดความสนใจในเรื่องอื่นแล้ว พวกเขาสามคนโวยวายอยากจะกลับบ้าน กลับบ้านไปจุดดอกไม้ไฟเล่นกัน คำร้องขอนี้แหละที่ท่านชายฉินรออยู่ จึงหันหลังกลับอย่างไม่ลังเล

แต่ว่าวันนี้คนเยอะจริงๆ ก่อนนี้เขาไม่สังเกตเลยว่าเซนต์จอห์นจะมีคนเยอะแบบนี้ ถนนสี่เลนส์สองสายที่กว้างขวาง ถูกพ่อค้าและชาวเมืองเบียดจนไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ ผู้คนเบียดกันไปมา ทำให้ฉินสือโอวพาพวกเด็กนิสัยเสียเบียดออกไปอย่างยากลำบาก

หลังจากเบียดฝูงชนออกมาอย่างยากลำบากแล้ว ท่านชายฉินเพิ่งจะได้พักหายใจเท่านั้น พวกเด็กนิสัยเสียก็วางของเล่นในมือลงแล้วมองกลับไปในฝูงชนอีกครั้ง สายตาที่มองออกไปนั้น ยังเป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อีกด้วย

นี่ทำเอาท่านชายฉินตกใจขึ้นมา ทำไมเจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้ถึงสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียหมดนี่?

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว เขาก็รีบขู่พวกเด็กนิสัยเสียว่า “พวกเธอวางของเล่นลงทำไม? รีบหยิบขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณลุงคุณป้าทำความสะอาดมาถึงแล้วกวาดไปหมดนะ ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ดูแลพวกมันให้ดี ก็จะมีเด็กคนอื่นมาเอาของเล่นพวกเธอไปอีกด้วย!”

เถียนกวาแหงนหน้าแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ซื้อใหม่สิคะ”

ฉินสือโอวทำทีจะจากไป พูดว่า “งั้นพวกเธอซื้อเองแล้วกัน บนตัวของปะป๊าไม่มีเงินแล้ว”

เมื่อเป็นแบบนี้เถียนกวาจึงจนปัญญา เธอกัดนิ้วมืออย่างสลดใจ ตาดวงโตเลิ่กลั่กไปมา มองไปที่ผู้คนที่สัญจรไปมาทั้งสี่ทิศ เหมือนกำลังดูว่ามีคนสนใจของเล่นของตัวเองอยู่หรือเปล่าอย่างไรอย่างนั้น

ฉินสือโอวเรียกรถแท็กซี่มาคันหนึ่ง เขารีบเอาดอกไม้ไฟใส่เข้าไปในรถ แล้วพูดขู่พวกเด็กนิสัยเสียที่ยังไม่อยากกลับว่า “พ่อจะกลับแล้ว ถ้าพวกเธออยากจะอยู่เที่ยวต่อ งั้นก็ไปเที่ยวเองแล้วกัน พ่อจะไปหาแม่ของพวกเธอแล้ว”

พอนึกถึงคุณแม่ ในที่สุดเถียนกวาก็เริ่มมีความคิดอยากกลับขึ้นมา เธออุ้มของเล่นแล้วเดินหน้าหงอยขึ้นไปบนรถ หลังจากนั่งลงแล้วก็เปรยออกมาประโยคหนึ่งว่า “เวลาผ่านไปเร็วจังเลย จะได้เจอหม่าม๊าอีกแล้ว”

ฉินสือโอวใช้สายตาที่แปลกใจจ้องไปที่เธอ ยัยตัวเล็กนี่หมายความว่าอย่างไร? รู้สึกว่ากับวินนี่แล้ว จะไม่ค่อยสนิทกันมากเท่าไรเลย

แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ความจริงในบ้านเถียนกวาก็คือถุงความสุขกับของเล่น ทั้งสองคนชอบหาความสุขให้ตัวเองโดยการแกล้งแหย่ลูกสาวเป็นที่สุด แน่นอนว่าเถียนกวาไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นของเล่น…

กลับถึงวิลล่าของวิล เด็กสามคนเอะอะโวยวายอยากจุดดอกไม้ไฟ คราวนี้ถือว่าฉินสือโอวได้ถูกปลดปล่อยแล้ว เพราะคุณนายวิลจ้องตาเขม็งทีหนึ่ง เจ้าตัวเล็กผิวดำของเธอสงบเสงี่ยมลงก่อน “เล่นดอกไม้ไฟอะไร? กฎหมายกำหนดว่าในช่วงเทศกาลห้ามจุดดอกไม้ไฟไม่รู้เหรอ? ยังจำปีที่แล้วตอนที่แอบเล่นดอกไม้ไฟแล้วถูกคุณพ่อตีก้นได้ไหม?”

แมรี่แลนด์กับเคธี่พยักหน้ากันรัวๆ แมรี่แลนด์อ้าปากค้างแล้วใช้มือนวดก้นเบาๆ ราวกับว่ายังรู้สึกปวดอยู่

เถียนกวาถูกคุณนายวิลที่ดุดันสะกดไว้แล้ว เธอหลบไปอยู่ในอ้อมกอดของวินนี่อย่างเกรงกลัว หัวเล็กๆ ของเธอแนบไว้กับท้องที่โตออกมาของวินนี่ แล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด พูดว่า “หนูรู้สึกถึงน้องชายแล้ว!”

แมรี่แลนด์กับเคธี่ก็กรูเขาไปอย่างสนใจ เถียนกวาชี้ไปที่ท้องของวินนี่ด้วยท่าทีโอ้อวดแล้วพูดว่า “ท้องของหม่าม๊าของหนูมหัศจรรย์มากเลย คุณพ่อบอกว่า น้องชายของหนูซ่อนอยู่ข้างใน ไม่นานก็จะออกมาเล่นกับหนูแล้ว”

เคธี่ไม่เข้าใจ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “งั้นให้เขาออกมาเล่นตอนนี้เลยดีไหม?”

เถียนกวาส่ายหัว พยายามคิดแล้วคิดอีก แล้วอธิบายว่า “ไม่ได้ หนูยังไม่ชอบเขา ให้เขาออกมาไม่ได้ รอให้หนูชอบเขาก่อน เขาก็จะออกมาเองแหละ” พูดเสร็จ เธอก็พูดเสริมอย่างเสียดายอีกว่า “ถ้าคุณแม่ของหนูสามารถคลอดแมวน้ำออกมาได้ก็ดีสิ หนูอยากเล่นกับแมวน้ำมากกว่า อ้วนใหญ่กับอ้วนเล็กเป็นเพื่อนที่ดีของหนู หนูอยากได้น้องชายแมวน้ำสักตัว”

คุณนายวิลถูกความไร้เดียงสาและความเป็นเด็กของเธอทำให้หัวเราะออกมา จากนั้นพอลูกสาวของเธอเห็นหัวเราะแล้ว ก็นึกว่าเธออารมณ์ดี จึงรีบพุ่งเข้าไปอย่างกระตือรือร้นแล้วถามว่า “คุณแม่ แล้วคุณแม่สามารถคลอดแมวน้ำได้ไหมคะ? คุณแม่คลอดน้องชายแมวน้ำให้หนูตัวหนึ่งนะคะ น้องชายแมวคิตตี้ก็ได้ หนูชอบแมวคิตตี้ที่ขนเต็มตัว!”

วินนี่พูดอย่างหมดทางเลือกว่า “พวกเรารีบกลับกันเถอะค่ะ ถ้ายังอยู่ต่ออีก ไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้ยังอยากได้อะไรอีก ไม่แน่ว่าแมรี่แลนด์อาจจะอยากได้น้องชายรถปิกอัพก็ได้นะคะ”

สีหน้าแมรี่แลนด์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พูดว่า “แบบนั้นได้ไหมครับ? ทรานส์ฟอร์มเมอร์สล่ะ? คุณแม่ คุณแม่สามารถคลอดน้องชายทรานส์ฟอร์มเมอร์สได้ไหมครับ? ผมหวังให้เป็นออพติมัส ไพรม์นะครับ เขาเท่มากเลย ผมชอบเขา!”

ตอนที่ฉินสือโอวกับวินนี่กลับไป แมรี่แลนด์กับเคธี่ก็เถียงกันขึ้นมา พี่ชายอยากได้น้องชายทรานส์ฟอร์มเมอร์ส น้องสาวอยากได้น้องชายแมวน้อย กลายเป็นว่าทรานส์ฟอร์มเมอร์สกับแมวคิตตี้ก็เริ่มทะเลาะกันขึ้นมา

เด็กน้อยสองคนไม่ได้สังเกตเห็น สีหน้าแม่ของทรานส์ฟอร์มเมอร์สกับแมวคิตตี้ที่กำลังโกรธอยู่ โศกนาฏกรรมในครอบครัวได้เริ่มเปิดม่านออกแล้ว

พอถึงตอนบ่าย พ่อแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็กลับเข้าบ้านมาอย่างมีครื้นเครง พวกเขาซื้อของมามากมาย มีพลุดอกไม้ไฟที่เสี่ยวฮุยซื้อรวมอยู่ในนั้นด้วย

ฟาร์มปลาห่างไกลจากตัวเมือง สามารถจุดดอกไม้ไฟได้ตามใจชอบ รอจนฟ้ามืดมาเยือน เสี่ยวฮุยถามฉินสือโอวกับวินนี่ พอได้รับอนุญาตแล้วก็เอาดอกไม้ไฟวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไป เริ่มจากจุดพลุจรวดไฟก่อน หลังจากจุดเสร็จก็ได้ยินเสียง ‘ฟิ้ว’ ทีหนึ่ง พลุจรวดบินออกไปบนฟ้าแล้วระเบิดออกมา

พลุจรวดพวกนี้มีสารเรืองแสงผสมอยู่ หลังจากระเบิดกลางอากาศแล้วสวยงามมาก แสงสีเขียวสว่างไสว

หลังจากเถียนกวาได้เห็นแล้ว ดวงตาคู่โตก็เบิกกว้าง วิ่งตึงตังออกไปยืนดูอยู่ข้างๆ เสี่ยวฮุย

เสี่ยวฮุยเอาผีเสื้อเรืองแสงตัวหนึ่งออกมาขู่เถียนกวา ว่า “หลังจากจุดไฟแล้วมันจะมากินเด็กด้วยล่ะ เธอกลัวหรือเปล่า?”

เถียนกวามองไปที่เขาอย่างงงงวย แล้วถามด้วยความกลัวว่า “จุดไฟอย่างไรเหรอ?”

เสี่ยวฮุยสอนเธอว่า “เธอดูนะ ตรงนี้มีสายชนวนอยู่ เอาไฟแช็กมาจุดมันก็พอแล้ว”

เถียนกวายังคงมีสีหน้างงงวยอยู่ ยื่นมือที่นุ่มและอ้วนออกไปถามว่า “หนูขอดูหน่อยได้ไหมคะ พี่ชาย?”

เสี่ยวฮุยหัวเราะเหอๆ แล้วยื่นให้เธอ ยังคงขู่ต่ออีกว่า “เธอดูแวบเดียวแล้วต้องรีบคืนมาให้พี่นะ ไม่อย่างนั้นมันจะกินเธอเข้า…”

พูดยังไม่ทันจบ หลังจากเถียนกวารับมาแล้วก็ใช้ไฟแช็กในมือ ‘แช็ค’ ทีหนึ่งจุดไปที่ชนวนของผีเสื้อเรืองแสงนั้น จากนั้นก็โยนไปใต้เท้าของเสี่ยวฮุยแล้วก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน วิ่งไปด้วยพลางตะโกนออกไปด้วยว่า “แย่แล้ว พี่ชายถูกกินไปแล้ว…”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท