ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1839 เริ่มการตกเบ็ดราว

บทที่ 1839 เริ่มการตกเบ็ดราว

การเก็บเกี่ยวแบบอวนลากเป็นงานประนีต ไม่สามารถดึงรั้งรุนแรงได้ เรือหาปลาสองลำทำการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ บนทะเล ทำการบังคับอวนอย่างเบามือให้ลอยไปตามกระแสน้ำทะเลลึก ไม่ทำการปิดอวน เพราะรอคำสั่งของฉินสือโอวอยู่

คนที่บังคับเรือทั้งสองลำคือชาวประมงเก่าแก่สองคน แซ็กกับเอลเดอร์ การตัดสินใจในตอนนี้ของพวกเขาถูกต้องมาก ใช้ความเข้าใจในการทำงานของทั้งสองฝ่าย ลากอวนล้อมไปมา การทำแบบนี้แม้ว่าจะไม่สามารถปิดอวนได้ แต่ก็ไม่ทำให้ฝูงปลาด้านในหนีออกไป

ฉินสือโอวขมวดคิ้วมองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด จงต้าจวิ้นไม่กล้ารบกวนเขา จึงถามเหมาเหว่ยหลงเสียงเบาว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นเหรอ? แกรู้ไหมว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรดี”

เหมาเหว่ยหลงเกาหัว พูดว่า “ไม่รู้ ฉันเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ รู้แค่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในฟาร์มนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องบนทะเลน่ะฉันพูดไม่ถูกหรอก”

ฟังคำพูดของทั้งสองแล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะแล้วหันกลับมาพูดว่า “พอแล้วน่า ถามฉันมาตรงๆ ก็ได้ ฉันไม่ได้กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยสักหน่อย พูดคุยกันได้ไม่เป็นไรหรอก การปิดอวนล้อมนั้นหลักๆ สามารถทำได้สองวิธี หนึ่งก็คือเน้นการล้อม อีกอันก็คือเน้นการกางออก ฉันต้องคิดก่อนว่าจะใช้วิธีไหนมาปิดอวนดี”

จับปลาในฤดูหนาว หลักๆ จะใช้วิธีการแบบกางออก โดยอ้างอิงจากทิศทางลม ทิศทางกระแสน้ำและทิศทางการเคลื่อนตัวของเป้าหมายที่ทำการหว่านอวนลงไป แล้วทำการรักษาตำแหน่งปากของอวนไว้ให้ตรงกับทิศทางเคลื่อนตัวของเป้าหมาย แล้วค่อยๆ ลากไปอย่างนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ทำการดูให้แหอวนกางออกได้เต็มที่ เพื่อทำการปิดล้อมฝูงปลาทั้งหมดไว้แล้วทำการเก็บแหขึ้นมา

แต่ว่าทิศทางลมและทิศทางกระแสน้ำในตอนนี้ไม่อำนวยต่อการเก็บแหของพวกเขา วิธีนี้จึงใช้ไม่ได้ ฉินสือโอวคิดสักพัก แล้วก็สั่งการให้เรือหาปลาสองลำให้ใช้อีกวิธีหนึ่งในการเก็บเกี่ยวปลา วิธีนี้จำต้องใช้น้ำมันเครื่องและแรงคนที่มากขึ้น แต่ว่าเหมาะสมมากกว่า

ฉินสือโอวทำการออกคำสั่งไปในโทรศัพท์ไร้สายเรื่อยๆ ทำการเลือกเรือหลักจากเรือหนึ่งในสองลำนั้น ส่วนอีกลำให้เป็นเรือรอง แรงม้าของเรือทั้งสองลำพอๆ กัน เรือของแซ็กมีท้องเรือที่กว้างกว่า จึงต้านแรงของคลื่นทะเลได้มากกว่า ดังนั้นเรือของเขาจึงเป็นเรือหลัก ส่วนเรือเอลเดอร์จะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากกว่า จึงให้เป็นเรือรอง

แซ็กสั่งการลงไปทีหนึ่ง ชาวประมงบนเรือเริ่มทำงานช่วยเหลือกันและกัน พวกเขาเอาอวนมาติดไว้ที่ซ้ายขวาของกราบเรือ แล้วแบ่งคนเฝ้าไว้ หากว่าอวนถูกดึงจนเปลี่ยนรูปร่างไปมาก เขาก็ต้องทำการผ่อนอวน เพื่อไม่ให้อวนฉีกขาด

ตอนนี้ขอบบนล่างของอวนได้ทำการกางออกทั้งหมดแล้ว ปีกขวาอยู่ด้านหน้า ปีกซ้ายอยู่ด้านหลัง เรือหลักปล่อยสมอหยุดเรือไว้ เรือรองก็หันกราบขวาไปทางเรือหลัก จากนั้นก็เก็บอวนไปด้วยหมุนตัวเรือไปด้วย

ฉินสือโอวทำการสังเกตการณ์การเคลื่อนตัวของอวนในทะเลผ่านจิตสำนึกแห่งโพไซดอน พอถึงน่านน้ำที่ความเร็วของกระแสน้ำค่อยๆ ลดลงแล้ว เขาก็ออกคำสั่งให้เริ่มเก็บอวนในทันที

ในตอนนี้ทั้งเรือหลัก และเรือรองได้ค่อยๆ ประกบเข้าหากัน เรือทั้งสองลำเข้าหากันทางกราบเรือซ้ายของตัวเอง หลังจากเรือรองเอาอวนวาร์ป แท่งเหล็กและห่วงคล้องเรือยื่นให้กับเรือหลักแล้ว ก็ทำการปรับตำแหน่งเรือ ปรับทิศทางแล้วทำการดึงปีกทั้งสองด้านพร้อมกันกับเรือหลัก

บนเรือทั้งสองลำต่างก็มีสายพาน เมื่อสายพานเดินเคลื่อนแล้ว ลวดสลิงก็จะลากอวนเพื่อเริ่มการปิดอวน

เรือปริ้นเซสเมล่อนอยู่ห่างค่อนข้างไกล เหมาเหว่ยหลงกับจงต้าจวิ้นมองสถานการณ์ของเรือทั้งสองลำได้ไม่ชัด ไม่เข้าใจว่าทำไมชาวประมงรอบๆ จึงพากันสีหน้าเคร่งเครียด

ฉินสือโอวจึงอธิบายให้พวกเขาฟัง ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาที่เต็มไปด้วยความดุดัน พวกมันสามารถเติบโตได้ถึงสามถึงสี่เมตร เพราะว่าร่างกายมีรูปร่างเหมือนกับลูกระเบิด ดังนั้นหากว่าพวกมันออกแรงพุ่งชนอย่างบ้าคลั่งแล้วล่ะก็ พลังการพุ่งชนนั้นก็พอๆ กับระเบิดลูกหนึ่งเลย หากว่าเก็บอวนได้ไม่ดี มีโอกาสสูงที่อวนล้อมจะถูกพวกมันทำให้ฉีกขาดได้

จงต้าจวิ้นยากที่จะเชื่อ เขาชี้ไปที่อวนล้อมจับพูดว่า “โอ้โอ เจ้าปลานี่แรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันเห็นตาข่ายของอวนอันนี้มีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่โป้งฉันเลยนะ ถึงจะเป็นรถคันหนึ่งก็น่าจะล้อมอยู่หรือเปล่า?”

ฉินสือโอวพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นการพุ่งชนแค่ครั้งเดียว อวนนั้นก็ไม่กลัวหรอก แต่ว่าถ้าปลาทูน่าครีบน้ำเงินเกิดคลั่งขึ้นมา พวกมันก็จะพุ่งชนแบบต่อเนื่องเลย พอแรงพุ่งชนหลายครั้งรวมกัน งั้นโอกาสที่จะทำลายอวนล้อมได้ก็ค่อนข้างมากแล้ว”

ในสถานการณ์แบบนี้ การเก็บอวนล้อมไม่จำเป็นต้องรักษาให้ปากอวนกับทิศทางกระแสน้ำอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ในระหว่างการเก็บอวนนั้น เรือสองลำจะทำการลากอวนไปตามกระแสน้ำไประยะหนึ่ง ใช้แรงของกระแสน้ำ เพื่อกางอวนให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ฝูงปลาข้างใน พยายามไม่ให้พวกปลาทูน่าครีบน้ำเงินรู้สึกตื่นตูมให้มากที่สุด

เรือสามลำออกทะเลมาในครั้งนี้นำเอาชาวประมงมาแทบจะทุกคน คนห้าสิบกว่าคนได้เข้าร่วมการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ด้วย ในนั้นนอกจากแซ็กกับเอลเดอร์ที่พาคนห้าคนทำการหว่านอวนและเก็บอวนแล้ว คนที่เหลือทั้งหมดล้วนอยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อน

พวกเขาเตรียมอุปกรณ์ไว้ครบครัน เหมือนกับนักรบที่รอจะออกรบนั่นแหละ เพื่อรอเพียงคำสั่งเดียว ทุกคนบุก!

ส่วนคำสั่งที่พวกเขารออยู่นั้น ก็คือเตรียมตกเบ็ดราว

ตอนที่เรือทั้งสองลำเริ่มเก็บอวนนั้น ได้ล่องไปตามกระแสน้ำและออกจากน่านน้ำแห่งนี้ไป และรอบๆ บริเวณนี้ก็ได้มีปลาที่หลุดรอดออกมาได้จำนวนหนึ่ง การจะเก็บเกี่ยวปลาพวกนี้ ก็ต้องพึ่งวิธีตกเบ็ดราวนี่แหละ

ฉินสือโอวปัดมือ เหล่าชาวประมงก็ทำการจัดเตรียมสายเบ็ดที่มัดกันไว้เป็นม้วนๆ พวกเขาเริ่มทำงานแล้ว

เบ็ดราวคือหนึ่งในอุปกรณ์การตกเบ็ดที่สำคัญมากที่สุด เพราะกระจายออกไปได้กว้าง ทำให้จำนวนและผลผลิตที่ได้สูงที่สุด เจ้าตัวนี้ก็คือการนำสายเบ็ดมาผูกไว้กับราวเป็นระยะเท่าๆ กัน ตรงหัวและท้ายของสายมีตะขอเกี่ยวปลากับเหยื่อล่ออยู่ เป็นการทำการติดตั้งแบบลอยและจมลงไป โดยนำมันไปผูกไว้ตรงส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนล่าง ส่วนด้านล่างก็ผูกตะขอเบ็ดเกี่ยวปลาไว้ทั้งแผง เพื่อล่อให้ปลามาติดเบ็ด

ทิศทางการปล่อยสายควรจะปล่อยไปตามแนวขวางหรือแบบทแยงจะดีที่สุด โดยปกติแล้ว ปลาทูน่าชอบล่าอาหารแบบต้านกระแสน้ำ การปล่อยสายลงไปแบบนี้จะตั้งฉากกับกระแสน้ำทะเล ทำให้สามารถดึงดูดปลาทูน่าได้ดีกว่า

เบ็ดราวเป็นวิธีการตกปลาอีกวิธีหนึ่งที่ทดสอบกำลังคน เบ็ดราวหนึ่งแท่งจะมีความยาวประมาณห้าหกกิโลเมตรหรืออาจจะยาวกว่านั้น อย่างเช่นราวที่อยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อนหนึ่งแท่งก็มีความยาวถึงแปดกิโลเมตรแล้ว บนนั้นทุกๆ สิบเมตรจะมีสายเบ็ดผูกอยู่ จำเป็นต้องให้คนงานไปทำการผูกตะขอกับเหยื่อบนสายพวกนั้น

หรือก็คือว่า เบ็ดหนึ่งแท่งจะมีสายเบ็ดกว่าแปดร้อยเส้น ด้านหน้าและหลังของสายเบ็ดอันหนึ่งมีตะขออยู่สองอัน ทั้งหมดต้องทำการผูกตะขอกับเหยื่อล่อถึง 1600 อัน ปริมาณงานแบบนี้ถือว่าเป็นงานที่ใหญ่พอดูเลย!

แต่ว่างานแบบนี้จำเป็นต้องไปทำหน้างานเท่านั้น ไม่สามารถทำการผูกสายกับตะขอไว้ล่วงหน้าได้ เพราะสายเบ็ดที่มีความยาวแปดกิโลเมตรนั้นไม่มีทางม้วนเก็บสายไว้ได้เลย แต่ถ้าเกิดสายเกิดพันกันขึ้นมาแล้วก็จะกลายเป็นการพันกันที่ยุ่งเหยิงมาก ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะแกะอย่างไรก็แกะไม่ออกแน่นอน

เรือปริ้นเซสเมล่อนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วหกนอต เหล่าชาวประมงรีบทำงานกันอยู่ตรงท้ายเรือ ราวกับไลน์การผลิตสายหนึ่ง ราวเบ็ดลงไปในทะเลแล้ว จำต้องทำการผูกตะขอและเหยื่อล่อปลาก่อนที่เบ็ดจะลงไปในน้ำทะเล ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการสูญเสียทรัพยากรสายเบ็ดพวกนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์

นอกจากตะขอและเหยื่อล่อแล้ว ยังมีคนรับผิดชอบผูกทุ่นลอยน้ำอีกด้วย ประมาณทุกสิบเมตรจะมีสายเบ็ดเส้นหนึ่ง และประมาณทุกสายเบ็ดห้าเส้น จะต้องทำการผูกทุ่นลอยน้ำไว้เพื่อรักษาการลอยตัว แถมทุกสองครั้งที่ผูกทุ่นเสร็จ ก็ยังต้องติดเครื่องแจ้งเตือนแรงดันไว้อีกด้วย

เครื่องแจ้งเตือนอันนี้สำคัญที่สุด หลังจากที่พวกปลาติดเบ็ดแล้วพวกมันจะทำการดึงสายเบ็ดให้จมลงไป เมื่อเครื่องแจ้งเตือนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงดันแล้ว ก็จะทำการกะพริบไฟออกมา เท่านี้ชาวประมงจะได้รู้ว่าปลาติดเบ็ดได้ทันเวลาเพื่อจะได้ทำการเก็บขึ้นมา

ปลาทูน่าดุดันและอุกอาจ พอพวกมันติดเบ็ดแล้วหากว่าไม่ทำการจับขึ้นมาได้ทันเวลาแล้วล่ะก็ เจ้าพวกนี้ก็จะคิดหาวิธีหนีอีก และแม้ว่าจะไม่หนี พวกมันก็จะทำการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งทำให้สายเบ็ดพันกันขึ้นมา หากว่าตะขอเบ็ดแต่ละอันเกิดพันกันขึ้นมาแล้วล่ะก็ จะเป็นการให้เหล่าชาวประมงต้องใช้แรงมากขึ้นอย่างมาก

ชาวประมงยี่สิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำงานอีกกลุ่มพักผ่อน พวกเขาเป็นราวกับแขนกลในสายการผลิต แต่ละคนได้ทำการนำตะขอตกปลา เหยื่อล่อ ทุ่นลอยน้ำและเครื่องแจ้งเตือนผูกไปบนเชือกอย่างแม่นยำและชำนาญ

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท