ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1830 ซื้อบ้านสักหลัง

บทที่ 1830 ซื้อบ้านสักหลัง

ตอนที่ครอบครัวของเหมาเหว่ยหลงกับจงต้าจวิ้นมาถึงโรงพยาบาลนั้น ฉินสือโอวกำลังปลอบลูกสาวอยู่ ใจบางราวกับกระจกของยัยตัวเล็กอ่อนไหวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลย พอน้องชายปรากฏตัวเท่านั้น เธอก็รู้สึกว่าสถานะของตัวเองในบ้านได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เลยกำลังเสียใจอยู่

ฉินสือโอวไม่อยากเพียงเพราะลูกชายคลอดออกแล้วทำให้ในใจของลูกสาวบอบช้ำ ดังนั้นจึงอุ้มยัยตัวเล็กแล้วพูดปลอบใจอยู่ตรงนั้น แถมยังพาเธอไปดูลูกชายคนเล็กที่หน้าตาน่าเกลียด แล้วก็พูดว่า “ดูสิ น้องชายของหนูน่าเกลียดขนาดนี้ พวกเราต้องรักและปกป้องเขาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นจะยังมีใครชอบเขาอีกล่ะ?”

เมื่อเห็นว่าน้องชายน่าเกลียดจริงๆ ยัยตัวเล็กจึงคลายคิ้วที่ขมวดออกในที่สุด เธอตบอกเบาๆ แล้วพูดอย่างดีใจว่า “ดีที่ลูกสาวจะหน้าตาเหมือนแม่ ลูกชายจะหน้าตาเหมือนพ่อ ถ้าเกิดว่าลูกสาวเหมือนพ่อน่ะน่ากลัวเกินไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครชอบเถียนกวาแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว ท่านชายฉินก็สำลักในทันที ยังดีที่ยั้งใจไม่ไปจัดการยัยตัวเล็กได้

แต่ว่าต่อหน้าจงต้าจวิ้นและเหมาเหว่ยหลงแล้ว แน่นอนว่าฉินสือโอวต้องวางมาดว่าได้ใจเต็มที่ เขาชี้ไปที่ห้องเด็กอ่อนข้างหลังแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เห็นหรือยัง ลูกชายฉัน มีครบทั้งลูกชายลูกสาว ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องเสียใจแล้ว!”

จงต้าจวิ้นหัวเราะเหอๆ พูดว่า “นี่ไม่ถือว่าเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบนะ นายยังต้องมีคนรู้ใจสาวสวยที่คอยสนับสนุน แล้วก็ต้องมีสาวน้อยอีกคนที่ทำให้ร่างกายนายกระชุ่มกระชวยด้วย นี่สิถึงจะเป็นชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริงๆ”

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “ดีๆ หัวหน้าห้องต้าจวิ้นไว้รอตอนที่นายแต่งงาน ฉันจะต้องเอาคำพวกนี้ไปพูดให้กับเจ้าสาวฟังแน่นอน”

เหมาเหว่ยหลงเอาของขวัญมอบให้กับฉินสือโอว เป็นเครื่องประดับทองที่เขาเอามาจากประเทศจีน มีกำไลข้อมือทองของเด็กอ่อน สร้อยข้อเท้าทอง แล้วก็จี้ทองอายุยืน เป็นต้น เป็นเซ็ตตั้งแต่หัวจรดเท้า ราคาอย่างต่ำก็ต้องมีเลขหกหลัก

ฉินสือโอวปัดมือแล้วพูดว่า “อันนี้เก็บไว้ให้ลูกของต้าจวิ้นในอนาคตแล้วกัน เครื่องประดับทองน่ะหนักเกินไป ลูกชายฉันไม่ใช่ลูกวัวสักหน่อย จะไปใส่ของเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร? นายจะล่ามวัวหรือไง”

จงต้าจวิ้นพูดเหน็บตัวเองว่า “ข้อเสนอของนายดีมาก ฉันเต็มใจรับของขวัญชิ้นนี้แทนลูกของฉันนะ แต่ว่าให้ตายสิตอนนี้ฉันยังไม่มีภรรยาเลย จะไปหาเด็กมาจากไหนล่ะ?”

เหมาเหว่ยหลงยัดให้ฉินสือโอว แล้วพูดว่า “อย่ามา ลูกของต้าจวิ้นคลอดก็มีของอย่างอื่นอยู่ เซ็ตนี้เป็นของที่ฉันตั้งใจไปหาช่างใหญ่จากจีนทำให้เลยนะ แถมยังส่งไปให้อาจารย์ในวัดเจิมให้แล้วด้วย ดูสิ ข้างบนมีชื่อลูกชายของนายด้วย”

ฉินสือโอวเอาจี้อายุยืนขึ้นมาดู บนนั้นมีเพียงคำว่า ‘โชคดี’ อยู่เท่านั้น แต่มีรูปทรงกลมอยู่อันหนึ่งด้วย เขาชี้ไปที่รูปแล้วถามว่า “อันนี้เหรอ? นี่คือแตงโมเหรอ?”

สำหรับชื่อของลูกชาย ฉินสือโอวกับภรรยากับฉินเฟยและแม่ของฉินสือโอวได้มีความเห็นตรงกันในที่สุด ฉินสือโอวบอกว่าในเมื่อลูกสาวชื่อเถียนกวา งั้นลูกชายก็ต้องชื่อซีกวา (แตงกวา) เพราะคำนึงถึงว่าเขาเกิดอยู่ในประเทศฝั่งตะวันตก แถมแตงโมยังเป็นผลไม้ที่คนชื่นชอบ งั้นชื่อซีกวานี่แหละที่เป็นชื่อที่เหมาะสมที่สุด

วินนี่เห็นด้วยกับจุดนี้ เธอก็รู้สึกว่าชื่อของเด็กจะต้องเรียกง่ายจำง่ายสำคัญที่สุด ชื่อที่ต้องมีกลิ่นอายวัฒนธรรมหรือพวกที่ตั้งตามยศศักดิ์และหลักการทั้งห้านั้นไม่จำเป็นต้องสนใจ

สำหรับชื่อเรียกของเด็กก็คือชื่อเล่นนั่นเอง ท่าทีของมิแรนด้ากับมาริโอ้จึงปล่อยวางไม่สนใจนัก ลูกชายของลูกสาว จะชื่ออะไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขา

ตอนแรกพ่อแม่ของฉินสือโอวไม่เห็นด้วย อุตส่าห์ตั้งตารอจนได้หลานชายคนโตมาแล้วทั้งที แต่สุดท้ายกลับรอได้แตงโมมาเหรอ? แต่ฉินสือโอวบอกกับพวกเขาว่า ชื่อเถียนกวาก็เป็นของกินเหมือนกัน แต่ว่าตั้งแต่ยัยตัวเล็กเกิดมาจนถึงตอนนี้ทุกอย่างราบรื่นมาก บ่งบอกว่าชื่อนี้ตั้งได้ดีแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ พ่อแม่ของฉินสือโอวจึงทำได้แต่เก็บความเห็นของตัวเองไว้ คนแก่มีความเชื่อในเรื่องนี้มาก ฉินสือโอวได้จี้ตรงจุดสำคัญของพวกเขาแล้ว

ฉินสือโอวได้บอกชื่อลูกชายของตัวเองในกลุ่มเพื่อนไปตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว ดังนั้นพวกเหมาเหว่ยหลงจึงรู้ว่าเด็กผู้ชายที่เพิ่งคลอดนั้นมีชื่อว่าซีกวา แถมพวกเขายังรู้อีกว่า ถ้าเด็กคนนี้เกิดเร็วอีกนิดคือเกิดในฤดูหนาวแล้วล่ะก็ ชื่อของเขาต้องเป็นตงกวา (ตงแปลว่าฤดูหนาว) อย่างแน่นอน…

ชื่อเล่นของลูกชายคือซีกวา ส่วนชื่อภาษาอังกฤษคือมาริโอ้ ใช้ชื่อเดียวกับคุณตาของเขา นี่เป็นความคิดของวินนี่และพ่อแม่ของเธอ ฉินสือโอวเห็นด้วย เพราะว่านี่เป็นวัฒนธรรมของคนผิวขาว ชื่อของคุณปู่คุณตาเป็นเหมือนสมบัติ ลูกหลานต้องสืบทอดต่อ

ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะกันอยู่ เถียนกวาก็วิ่งตุบๆเข้ามา พูดว่า “ป่าป๊า หม่าม๊าให้เรียกไปหาค่ะ”

หลังจากคลอดลูกเสร็จแล้ววินนี่ก็หลับไปตื่นหนึ่ง เพื่อนอนเติมน้ำตาลกลูโคสชดเชยพลังงาน ในตอนนี้จึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้างแล้ว

เมื่อเห็นฉินสือโอว เธอก็ยิ้มแล้วถามว่า “เฮ้ ที่รัก เจ้าตัวน้อยของพวกเราเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “ดีมาก เขากำลังหลับอยู่น่ะ หลับปุ๋ยเลย ร่างกายปกติทุกอย่าง แค่ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กน้อยที่แข็งแรงคนหนึ่ง”

วินนี่พูดว่า “คุณรู้ความหมายของฉันค่ะ ฉันถามว่า เด็กคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินสือโอวถอนหายไปไปที พูดว่า “น่าเกลียดกว่าตอนเถียนกวาเกิดมาอีก!”

เขานึกว่าที่ภรรยาเรียกเขามาก็เพื่ออยากจะหวานกันเสียอีก ที่ไหนได้ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไร้เดียงสาเกินไป เหตุผลที่แท้จริงที่วินนี่เรียกเขามาคือ ครั้งนี้เธอจะออกโรงพยาบาลก่อนกำหนด หลังจากคลอดเถียนกวาแล้วเธอก็ยอมทำตามความต้องการของพ่อกับแม่ฉินสือโอวโดยการอยู่เดือน ตอนนั้นเกือบจะทำเธอเบื่อจนตายไปเลย เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่น่าเบื่อนั้นแล้ว คนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายแต่ก็รักอิสระอย่างวินนี่ก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

ท่านชายฉินลำบากใจแล้ว พ่อกับแม่ของฉินสือโอวไม่มีวันยอมให้วินนี่ออกไปแบบนี้แน่ แถมพวกเขาก็มีเหตุผลด้วย ตอนที่วินนี่คลอดเถียนกวาร่างกายฟื้นฟูได้เร็วมาก นี่ก็คือผลของการอยู่เดือนนั่นเอง

สำหรับเรื่องนี้ฉินสือโอวมีเรื่องจะพูดเหมือนกัน นี่เป็นผลงานของพลังเทพแห่งท้องทะเลเถอะ วินนี่จะอยู่หรือไม่อยู่เดือนไม่มีผลเลย พลังเทพแห่งท้องทะเลสามารถปกป้องดูแลได้ครบทุกด้าน ร่างกายของวินนี่จึงอยู่ในโหมดที่ดีที่สุดตลอดแบบนี้

เป็นไปตามนั้น เขาไปหารือกับพ่อแม่ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ตกลงให้ลูกสะใภ้คลอดลูกเสร็จแล้วก็กลับบ้าน ครั้งนี้มิแรนด้ากับมาริโอ้ก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขาด้วย หลักๆ คือสภาพแวดล้อมของฟาร์มปลาเย็นชื้น ไม่ส่งผลดีต่อการพักฟื้นร่างกายของคนที่เพิ่งคลอดลูกเสร็จ

ฉินสือโอวจึงเลือกใช้วิธีที่ประนีประนอมที่สุด นั่นก็คือทำการซื้อคอนโดห้องหนึ่งแถวๆ โรงพยาบาล ให้วินนี่ทำการพักฟื้นในคอนโดนั้น ถ้าหากรู้สึกว่าร่างกายไม่สบายตรงไหนจะได้มาโรงพยาบาลได้ทันท่วงที แถมการทำแบบนี้วินนี่จะได้มีพื้นที่ให้ยืดเส้นยืดสายได้ด้วย ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องผู้ป่วย

หลังจากข้อเสนอนี้ออกมา ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงยอมความกันทันที ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่มีเวลาดูแลเพื่อนเก่าอย่างจงต้าจวิ้น เพราะต้องไปหาบ้านก่อน

จงต้าจวิ้นแสดงออกมาว่าไม่เป็นไร เขาจะได้ตามไปดูด้วยเลย ความจริงเขาเองก็รู้สึกสงสัยเรื่องการเช่าและซื้อบ้านในต่างประเทศเหมือนกัน การตามไปซื้อบ้านด้วยจะได้เป็นการเปิดวิสัยทัศน์ไปในตัวด้วย

แต่เรื่องที่เกิดหลังจากนั้นทำให้เขาผิดหวังแล้ว ฉินสือโอวไม่ได้ไปหานายหน้าขายบ้านหรือไปหาบ้านบนอินเทอร์เน็ต เขาไปหาเรค บิ๊กฟุตกับฮิวจ์ ให้ทั้งสองคนหาเพื่อนมาช่วยเขาหาบ้าน พื้นที่ยิ่งใหญ่ยิ่งดี ราคาก็ยิ่งแพงยิ่งดี

ราคาบ้านในเซนต์จอห์นอยู่ในระดับต่ำในแคนาดา โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง ด้านข้างมีสวนสาธารณะสองแห่ง เล็กหนึ่งใหญ่หนึ่ง เป็นพื้นที่สีเขียวที่ดีมาก สาธารณูปโภคพื้นฐานก็ครบครัน สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตก็สะดวกมาก แต่ราคาของคอนโดอยู่ที่แค่ตารางเมตรละประมาณหกพันดอลลาร์แคนาดาเท่านั้น

จงต้าจวิ้นฟังฉินสือโอวพูดจบแล้วก็อึ้งไปเลย พูดว่า “นายซื้อบ้านทีง่ายแบบนี้เลยเหรอ?”

ฉินสือโอวมองเขาอย่างแปลกใจแล้วพูดว่า “ไม่นะ ไม่ง่ายเลย นายไม่เห็นเหรอว่าฉันไปหาเพื่อนให้มาช่วยหาบ้านด้วยน่ะ?”

“หลังจากหาเจอแล้วล่ะ?”

“ฉันก็ไปดูบ้าน ถูกใจก็ซื้อเลย ไม่ถูกใจก็หาต่อไป ก็วุ่นวายอยู่นะ หวังว่าจะสามารถทำเสร็จได้ในสามวันแล้วกัน” ฉินสือโอวพูดพร้อมขมวดคิ้ว

จงต้าจวิ้น “…”

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน