ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1823 เพื่อนสนิทมาเยี่ยม

บทที่ 1823 เพื่อนสนิทมาเยี่ยม

บิลลี่ เบลค และแบรนดอนสามคนพากันจูงมือมาหาถึงบ้าน นอกจากเบลคแล้ว อีกสองคนล้วนพาแฟนสาวหรือภรรยามาด้วย บวกกับฉินสือโอวกับวินนี่ทำให้อยู่คู่กันเป็นคู่ๆ เหลือแค่เบลคคนเดียวที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว

“พวกนายพากันกดดันฉันแบบนี้ ดีจริงเหรอ?” เบลคจงใจทำทีว่างอนไม่พอใจ

“ฉันก็แค่พาอีกครึ่งหนึ่งของฉันมาด้วยเท่านั้นเอง จะให้ฉันห่วงความรู้สึกนายแล้วไม่สนใจความรู้สึกของแม่ของลูกฉันเลยก็คงไม่ได้ไหม?” บิลลี่มองไปที่แฟนสาวที่อยู่ข้างๆ อย่างมีความสุขทีหนึ่ง

เมื่อได้ฟังแบบนี้แล้วฉินสือโอวก็เข้าใจในทันที บิลลี่จะเป็นพ่อคนแล้ว เขามองไปยังลินดาที่อยู่ข้างๆ ท้องน้อยที่ปกติจะแบนราบของลินดาดูป่องออกมานิดหน่อยจริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้เธอใส่เสื้อขนเป็ดไว้ทำให้มองไม่ออก พอถอดเสื้อขนเป็ดออกเหลือแต่เสื้อเชิ้ตขนแกะจึงทำให้ดูออก

วินนี่ถามอย่างประหลาดใจว่า “เฮ้ ลินดา เธอจะเป็นคุณแม่แล้วเหรอ?”

ลินดาพยักหน้าด้วยท่าทีเขินอาย ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วพูดว่า “ขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอทันทีนะ วินนี่ ความจริงฉันอยากจะบอกเธอตั้งแต่ที่รู้เลย แต่ว่าบิลลี่ไม่อนุญาต เขาอยากจะมาประกาศข่าวนี้ด้วยตัวเองน่ะ เห็นบอกว่าจะเซอร์ไพรส์พวกเธอ”

บิลลี่หัวเราะเหอๆ พูดว่า “แน่นอนสิ นี่น่ะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุด พวกเธอไม่รู้หรอกว่าตอนที่ฉันบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของฉันน่ะปฏิกิริยาของพวกเขาเป็นอย่างไร”

“เจ้าตัวดี นายทำเรื่องใหญ่ของตระกูลสเต็มเมอร์สำเร็จได้อย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะ” บิลลี่พูดเลียนแบบเสียงผู้ชายที่พูดด้วยเสียงเรียบ นี่น่าจะเป็นปฏิกิริยาของพ่อเขาในตอนนั้น

วินนี่แท็กมือกับลินดาเพื่อฉลอง หากไม่ใช่เพราะท้องใหญ่เกินไป ฉินสือโอวมั่นใจว่าเธอจะต้องโอบกอดลินดาด้วยความยินดีอย่างแน่นอน

แบรนดอนเป็นคนที่อึ้งที่สุด เขามองบิลลี่อย่างตกใจพูดว่า “เอาเถอะ ดูไม่ออกว่านายจะเป็นพวกเสือปืนไวนะเนี่ย งั้นฉันคงต้องรีบหน่อยแล้ว ฉันกะว่าอีกสองปีถึงจะมีลูกนะเนี่ย”

ฉินสือโอวแอบคิดในในว่าแบรนดอนยังจะกล้าพูดแบบนี้อีก เขาอายุเกินสี่สิบแล้ว ยังจะรออีกสองปีกว่าจะมีลูกอีกเหรอ? ห้าสิบปีเหรอ?

เพราะเหตุผลเรื่องผลประโยชน์ ทำให้ทั้งสี่คนมารวมกลุ่มกัน ฉินสือโอวให้พวกบิลลี่คุยกันไปก่อน ตัวเขาไปต้มกาแฟให้ วินนี่มาช่วยเขา แต่ฉินสือโอวไม่กล้ารับหรอก พูดว่า “ไม่ต้อง ที่รัก คุณจะคลอดลูกอยู่เร็วๆ นี้แล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”

วินนี่ปัดมืออย่างไม่ใส่ใจ พูดว่า “แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก คุณดูสิลินดาก็ท้องเหมือนกัน แต่บิลลี่ยังวางแผนว่าจะพาเธอไปเที่ยวรอบโลกอยู่เลย”

ฉินสือโอวลูบคางไปมา พูดว่า “จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะ โรงเรียนสตรีของพวกคุณสอนให้พวกคุณต้องแต่งงานก่อนจึงจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายได้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณกับลินดากลับท้องก่อนแต่งกันล่ะ? หรือว่านี่เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนพวกคุณเหรอ?”

ตอนที่กำลังคาดเดาไปเองอยู่นั้น สายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาที่ค่อนข้างแปลกขึ้นมา

วินนี่ตบท้องเบาๆ อย่างนุ่มนวล ชี้ไปที่ฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ลูกรักดูไว้นะ ก็คือผู้ชายคนนี้นี่แหละ เขาถือโอกาสตอนที่ลูกไม่อยู่มาดูถูกแม่กับโรงเรียนของแม่ ต่อไปลูกต้องแก้แค้นให้แม่นะ ต้องจัดการเขาให้ถึงที่สุดนะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “เขาก็เป็นลูกชายผมเหมือนกันนะ จะมาเอาคืนผมได้ลงคอเหรอ?”

วินนี่ตบไปที่หน้าเขาเบาๆยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ได้เอาคืนคุณ คุณเองก็เป็นสามีของฉันเหมือนกัน ฉันจะทำใจให้คนอื่นมาเอาคืนคุณได้อย่างไรคะ? ให้ทรมานคุณต่างหาก ฟังให้ดีนะคะ หลังจากลูกชายคลอดออกมาแล้ว จะต้องนอนกับพวกเราเท่านั้น คุณเป็นคนดูแล ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ดูแลแล้ว!”

ทันใดนั้น ท่านชายฉินก็อึ้งไปเลย “ไม่นะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”

จากนั้น วินนี่ก็พาลินดากับซุยฉีออกไปให้พวกผู้ชายได้มีเวลาส่วนตัว เหล่าภรรยาจากไป เบลคก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “วันนี้เป็นวันตรุษจีน ฉิน นี่เป็นวันแรกของพวกนายใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพยักหน้า พอเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาจึงถามออกไปอย่างระมัดระวังว่า “นายคิดจะทำอะไร?”

เบลคหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “พวกเราต้องทำการฉลองปีใหม่ไง แบบนี้แล้วกัน พวกเราไปเมากันที่ไนท์คลับในเซนต์จอห์นเถอะ คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง ไปสนุกสุดเหวี่ยงกัน!”

“สุดเหวี่ยงกับผีน่ะสิ ฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนเมียฉัน” บิลลี่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ก่อนเป็นคนแรก

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “เมียฉันใกล้จะคลอดอยู่แล้ว ฉันจะไปเล่นอะไรแบบนี้ได้อย่างไร? เพราะฉะนั้นพวกเรามาคุยเรื่องที่เป็นไปได้ดีกว่า อย่างเช่นว่า ปีนี้พวกเราจะงมสมบัติสักเท่าไรดีเป็นต้น?”

เรื่องเดียวที่ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วสนใจก็คือทรัพย์สมบัติ แน่นอนว่าทรัพย์สมบัติไม่ได้หมายถึงแค่เงินทองเท่านั้น ทั้งฐานะ ครอบครัวก็ล้วนถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติในชีวิตของมนุษย์ทั้งนั้น แต่ว่า ณ ตอนนี้ สมบัติที่ฉินสือโอวพูดถึงน่ะเป็นทรัพย์สมบัติที่สุดยอดมากกว่า สติของคนทั้งกลุ่มจึงตื่นตัวขึ้นมาในทันใด

เบลคเองก็จริงจังขึ้นมา เขาพูดว่า “เรือซานโฮเซ เพื่อน ขอแค่ไปงมเรือซานโฮเซขึ้นมาได้ ให้ตายเถอะ งั้นปีนี้พวกเราก็สามารถไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย แค่นับเงินก็พอแล้ว!”

“เรือซานโฮเซ? เรือในขบวนเรือของพระเจ้าฟิลีปที่ห้าของสเปนน่ะเหรอ? เรือลำเลียงสมบัติที่ถูกกองเรืออังกฤษจมลงที่ทะเลแคริบเบียนในปี 1780 น่ะนะ? มีข่าวของมันแล้วเหรอ?” บิลลี่ถามอย่างประหลาดใจ

ตอนแรกที่เบลคเอาข้อมูลของเรือซานโฮเซมาบอกฉินสือโอวนั้น เพราะว่าข้อมูลที่ได้มายังไม่ได้ถูกตรวจสอบ บวกกับตอนนั้นบิลลี่กำลังยุ่งอยู่กับการงมเรือลำเลียงสมบัติขวานดำที่อับปางอยู่ส่วนแบรนดอนก็ยุ่งอยู่กับการแต่งงาน เขาจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับทั้งสองคน ความจริงพิสูจน์แล้วว่าที่ทำแบบนี้น่ะถูกแล้ว ฉินสือโอวหาเรืออับปางลำนี้ไม่เจอ แถมไม่มีข่าวอะไรของมันอีกเลย แม้จะยกมาพูดก็คงดีใจเสียเปล่า

เขาพูดด้วยความกังวลว่า “เรือซานโฮเซไม่ได้เรื่องหรอก วาฬเบลูก้ากับโลมาของฉันได้ค้นไปทั่วทะเลแคริบเบียนแล้ว ก็ยังหาเรืออับปางลำนี้ไม่เจอเลย แต่ว่าในทะเลแคริบเบียนคงมีเรืออับปางอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน เหมือนว่าจะมีหลายลำนะที่ได้เรื่องอยู่ แต่ว่าเรือไม่ใหญ่ ไม่รู้ว่าจะคุ้มที่จะให้บิลลี่ลงมือหรือเปล่า”

ตั้งแต่ร่วมงานกับฉินสือโอวมา งานที่บิลลี่ทำล้วนเป็นการงมสมบัติที่มูลค่าสูงทั้งนั้น ทำให้สมบัติที่มีมูลค่าแบบปกติทั่วไปไม่อยู่ในสายตาเสียแล้ว เขาพูดว่า “หากว่ามูลค่าน้อยกว่าสิบล้าน ก็ไม่คุ้มให้พวกเราไปงมหรอก เพราะยิ่งลึกค่าใช้จ่ายในการงมก็มากเกินไป ทำเงินได้ไม่เท่าไรหรอก”

ฉินสือโอวค้อนเขาไปทีหนึ่ง พูดว่า “นายล้อฉันเล่นเหรอ? วาฬเบลูก้ารู้แค่ว่าที่ไหนมีเรืออับปาง พวกมันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของบนเรือมีมูลค่าเท่าไร? แต่ถ้ามีทองคำยังดี พวกมันรู้จักทองคำอยู่”

อย่างไรเสียจุดนี้ก็เป็นช่องโหว่จริงๆนั่นแหละ ความจริงหากว่าพวกเบลคทำการคิดวิเคราะห์กันจริงๆ ก็สามารถรู้ได้ถึงความไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าให้วาฬเบลูก้ากับโลมาไปค้นหาเรืออับปาง แต่ว่าพวกเขาไม่ได้คิดถึงด้านนี้ เพราะว่าตอนนี้ยังทำเงินได้แถมได้ไม่น้อยด้วย จึงไม่จำเป็นต้องไปทุบหม้อตัวเองโดยการถามความลับของฉินสือโอว

พวกเขาชอบกินปลาทูน่า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ว่าปลาทูน่าเติบโตอย่างไร

เมื่อได้ฟังคำของฉินสือโอวแล้ว แบรนดอนก็หัวเราะออกมา รีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนว่า “นั่งคุยกันไปก็ไม่ได้อะไร ไปเดินเล่นในเมืองกันเถอะ? ครั้งนี้ฉันก็มาเพื่อพักร้อนด้วย ฉันกับซุยฉีชอบเมืองที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเมืองแฟร์เวลมาก มันมักจะทำให้ฉันผ่อนคลายได้เสมอเลย”

ช่วงวันตรุษจีนในเมืองคึกคักกว่าช่วงวันคริสต์มาสเสียอีก มีนักท่องเที่ยวมากมายที่ปกติงานจะยุ่งมาก มีแค่ช่วงตรุษจีนเท่านั้นที่สามารถหยุดยาวได้ ดังนั้นในช่วงนี้พวกเขาจึงพาภรรยามาที่เกาะแฟร์เวลเพื่อฉลองเทศกาลตรุษจีนกัน

สำหรับผู้คนที่อาศัยในเมืองแล้ว จะฉลองตรุษจีนในหรือนอกประเทศก็ไม่ต่างกันมาก เพราะในเมืองใหญ่ไม่ค่อยมีบรรยากาศปีใหม่เท่าไรนัก แล้วก็ไม่มีญาติพี่น้องให้ไปหามากมายด้วย แต่กลับเป็นเมืองแฟร์เวลเสียอีก เพราะให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยว ทำให้เทศกาลวันตรุษจีนครึกครื้นมาก เมืองเล็กในต่างประเทศนี้กลับมีบรรยากาศปีใหม่เสียยิ่งกว่าอีก

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท