ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1835 ฤดูจับทูน่า

บทที่ 1835 ฤดูจับทูน่า

เหล่าชาวประมงล้วนเป็นพวกคอเบียร์ทั้งนั้น ชีวิตบนท้องทะเลทั้งลมพัดแดดเผาอากาศก็ชื้นมาก ดื่มเบียร์สามารถต้านลมหนาวได้ ดังนั้นแต่ละคนจึงคอแข็งมาก เหมาเหว่ยหลงทำได้ถูกที่ดึงจงต้าจวิ้นไว้ พวกเขามารวมตัวกัน ไม่พูดพล่ามทำเพลง แต่ละคนได้เริ่มดื่มเบียร์กันก่อนคนละขวด

ต้องรู้ก่อนว่า การดื่มเบียร์ของคนเหล่านี้ล้วนใช้แต่แก้วเบียร์ขนาดใหญ่ทั้งนั้น เบียร์แก้วหนึ่งก็มีปริมาณถึงแปดร้อยมิลลิลิตรเลย!

จงต้าจวิ้นแอบแหยปาก เขามองไปที่เหมาเหว่ยหลงยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “นี่พวกเขาดื่มเบียร์หรือว่าดื่มน้ำกันเนี่ย ถึงจะดื่มน้ำก็เถอะ ก็ไม่มีการดื่มแบบบ้าคลั่งแบบนี้หรือเปล่า?”

เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นฉันถึงบอกไง ถ้านายไม่อยากตายก็อย่าเข้าไปใกล้พวกเขา มาๆๆ หัวหน้า น้องพี่คนนี้พาพี่ไปเดินเล่นในปาร์ตี้เอง ในชุมชนเล็กๆ นี้มีสาวสวยไม่น้อยนะ ไปดูสิว่าสามารถหาให้พี่ได้สักคนหรือเปล่า”

“ไม่มีประโยชน์น่า หาเจอฉันก็เอาไม่อยู่หรอก ไม่มีเงินแล้วยังไม่หล่อ ภาษาก็ไม่ได้!”

“ไม่เป็นไรหรอก บางทีอาจจะมีสาวฝรั่งที่อยากจะเปลี่ยนรสชาติก็ได้ ไม่แน่พวกเขาอาจจะชอบรสชาติแบบนายนะใช่ไหม?”

“แต่ภาษาอังกฤษของฉันไม่ค่อยดี”

“ถึงตอนนั้นก็แกล้งใบ้ไป สาวผิวขาวพวกนี้ขึ้สงสารมาก ไม่แน่อาจจะสงสารนายแล้วจัดให้นายสักทีก็ได้”

“ฟัคยู โคโกโร่!”

ฟัคยูทู นายก็ได้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ?”

ผลสุดท้ายก็คือแน่นอนว่าคืนนี้จงต้าจวิ้นก็ยังนอนโดดเดียวเหมือนเดิม แต่ว่าก็ไม่ถึงขั้นนอนไม่หลับ เพราะว่าความสามารถในการดื่มเบียร์ของเขาอยู่ในระดับธรรมดา ยังวนไม่ครบรอบเลย เขาก็เมาพับไปแล้ว

เก็บกวาดตึกอพาร์ทเม้นท์เสร็จแล้ว วินนี่ก็พาลูกออกโรงพยาบาล แล้วย้ายเข้ามาอยู่เลย พวกพ่อแม่ฉินสือโอว มิแรนด้ากับมาริโอ้และคนอื่นๆ ก็มาอยู่ที่นี่ด้วย ส่วนฉินสือโอวก็พาเหมาเหว่ยหลงกับจงต้าจวิ้นกลับไปพักที่ฟาร์มปลา

ก่อนจะแยกกัน ฉินสือโอวถามเถียนกวาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกับน้องชายที่นี่หรือว่าจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อ เถียนกวาส่ายมืออ้วนๆ พูดว่า “หนูจะอยู่เป็นเพื่อนพี่ตั๋วตั่ว พี่ตั๋วตั่วสวยที่สุด สนุกที่สุด”

ความจริงถ้าไม่มีเรื่องอะไร ฉินสือโอวก็อยากจะอยู่ข้างกายศรีภรรยาเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรได้ที่ฟาร์มปลามีแขกมาใหม่ นั่นก็คือคุณลุงหนวดดำบัตเลอร์นั่นเอง เขามาที่ฟาร์มปลาเพื่อจะหารือกับฉินสือโอวว่าจะจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินอย่างไรดี

ปลาทูน่าครีบน้ำเงินของฟาร์มปลาได้กลายเป็นฝูงปลาขนาดใหญ่ ตลอดสี่ฤดูของปลานี้ไม่เคยจับพวกมันเลย ทำให้ปลาเล็กโตเป็นปลาใหญ่ ปลาใหญ่ก็ทำการวางไข่ได้สำเร็จโดยการนำเอาฝูงลูกปลาออกมา ระบบนิเวศน์ที่ดีได้ปรากฏมาแล้ว เท่านี้แม้จะทำการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

งานประมูลปลาทูน่าภาคฤดูใบไม้ผลิในโตเกียวกำลังจะเริ่มแล้ว บัตเลอร์หวังว่าจะสามารถนำปลาทูน่าครีบน้ำเงินล็อตใหญ่เข้าประมูลในครั้งนี้ด้วย ไปแข่งกับตลาดท้องถิ่น ทำการกวาดล้างบริษัทการประมงจำพวกซัมมัยให้ราบคาบ และครอบครองตลาดปลาทูน่าระดับสูง

เมื่อก่อนฉินสือโอวใช้วิธีการตกเบ็ดในการจับปลาทูน่า แต่หากว่าจะทำการจับในปริมาณมาก ก็ต้องพึ่งการจับปลาโดยใช้อวนล้อมจับที่เป็นวิธีการจับปลาต้องห้ามในทะเลหลวงแล้วล่ะ นอกเหนือจากนี้ เขายังต้องใช้วิธีเบ็ดราวในการเก็บตกปลาที่หลุดลอดไปด้วย เมื่อรวมการจับปลาทั้งสองวิธีนี้เข้าด้วยกันแล้ว แม้ว่าฝูงปลาที่หมายตาไว้จะมีพระเจ้าคุ้มครองอยู่ ก็ยากที่จะหนีออกไปได้

ดังนั้น กรมการประมงของประเทศอย่างแคนาดาและอเมริกาจึงได้ออกกฏห้ามใช้การจับปลาแบบใช้อวนล้อมจับขึ้น แต่ว่าการจับแบบเบ็ดราวยังสามารถเหลือทางรอดไว้ให้เหล่าปลาน้อยได้ แต่เมื่อรวมวิธีการจับปลาหลากหลายวิธีเข้ามาด้วยกันแล้ว นั่นก็คือการจองล้างจองผลาญปลาน้อยนั่นเอง

พอบัตเลอร์มาถึงแล้วก็สวัสดีปีใหม่กับฉินสือโอวก่อน เขารู้ว่าซีกวาคลอดแล้ว จึงนำจี้หยกกวนอิมกับหยกแกะสลักรูปแตงโมขนาดนิ้วโป้งมาให้ด้วย

ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นจี้หยกหรือว่าหยกแกะสลัก ก็ล้วนเป็นสีเขียวสด มีการไล่เฉดสีกันเป็นระดับ สีเขียวของแตงโมเขียวได้ใจคนมาก ส่วนแท่นดอกบัวของเจ้าแม่กวนอิมนั้นเป็นสีเขียวเข้มผสมกับสีฟ้าอ่อน ทั้งเหมือนดอกบัว แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นทะเลด้วย

อย่างไรเสียก็เป็นถึงคณะกรรมการบริหารของบริษัททิฟฟานี่นี่นะ ฉินสือโอวมองดูจี้นี้แล้วก็รู้ถึงความล้ำค่าของมันทันที เขาหยิบขึ้นมาส่องดูใต้แสงอาทิตย์ หินหยกก็ได้เผยความกึ่งใสราวกับละอองน้ำออกมา ถือไว้ในมือแล้วมีความรู้สึกที่เย็นสบาย เห็นได้ชัดว่าเป็นหยกล้ำค่าที่ชื่อว่าหยกกระจกโบราณนั่นเอง

บัตเลอร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้ชายห้อยกวนอิมผู้หญิงห้อยพระ ฉันไปถามอาจารย์ในถนนคนจีนที่ซานฟรานซิสโกมาโดยเฉพาะเลย จึงตั้งใจเอาจี้อันนี้มาให้เสี่ยวซีกวาของบ้านนาย ส่วนหยกแกะสลักแตงโมอันนี้ พูดได้เพียงว่าพระเจ้าอวยพรพวกเรา ฉันได้มาโดยบังเอิญ ก่อนจะมาฉันได้ไปร่วมงานประมูลการกุศลต้อนรับปีใหม่ที่ทำเนียบขาวมา แล้วก็ไปเห็นแตงโมอันนี้ที่นั่น ฉันคิดว่า ลูกของนายชื่อซีกวา งั้นเจ้าของชิ้นนี้ก็ควรจะเป็นของเขาไม่ใช่เหรอน่ะ?”

ตอนที่พูดถึง ”งานประมูลการกุศลต้อนรับปีใหม่ที่ทำเนียบขาว’ บัตเลอร์ได้ผายมือเผยท่าทีภาคภูมิใจออกมา เห็นได้ชัดว่าผู้ประกอบการที่สามารถเข้าร่วมงานประมูลนี้ได้ล้วนเป็นพวกที่ตำแหน่งไม่ธรรมดากันทั้งนั้น

ฉินสือโอวรับของขวัญทั้งสองชิ้นไว้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฉันขอบคุณนายแทนลูกกับภรรยาฉันนะ เพื่อน ของขวัญที่นายให้มานั้นสุดยอดมากเลย ฉันต้องตอบแทนนายบ้าง พูดมา นายอยากได้อะไรตอบแทน?”

บัตเลอร์ฉีกยิ้มออกมา เผยให้เห็นฟันสีขาวดั่งหิมะ ว่า “งั้นก็ เป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงินหลายสิบตัวเป็นอย่างไร?”

ฉินสือโอวตบไหล่เขาเบาๆ พูดอย่างมั่นใจว่า “เพิ่มความทะเยอะทะยายของนายขึ้นนิดหนึ่ง หลายสิบตัวน้อยเกินไป หลายร้อยตัวเลยเป็นอย่างไร?”

“ชิทฉันยอมแล้ว!” แม้จะเป็นบัตเลอร์ที่เห็นโลกกว้างมาก่อนก็ถูกคำพูดนี้ทำให้อึ้งไปเลย

ฉินสือโอวกลับมาในครั้งนี้ก็เพื่อมาเป็นคนนำเหล่าชาวประมงไปจับปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ให้เรือปริ้นเซสเมล่อนเป็นเรือนำทาง พวกชาร์คก็ขับเรือหาปลามาจากเมืองอีกสองลำ เรือหาปลาทั้งหมดสามลำออกทะเลพร้อมกัน

เหมาเหว่ยหลงกับจงต้าจวิ้นก็ถูกพาขึ้นเรือไปด้วย ฉินสือโอวพูดว่า “ฉันพาพวกนายไปลองสัมผัสชีวิตของชาวประมงดู ให้พวกนายได้เห็นว่าจะจับปลาทองคำในทะเลอย่างไร!”

จงต้าจวิ้นไม่เคยออกทะเลไปเก็บเกี่ยวปลามาก่อน จึงค่อนข้างสนใจกับทริปออกทะเลในครั้งนี้ เหมาเหว่ยหลงเคยไปแล้วและก็เคยเจอกับความลำบากนี้มาก่อนแล้ว เขารู้ว่าการออกทะเลไปจับปลานั้นเหนื่อยกว่าการทำงานอยู่ในฟาร์มมาก จึงส่ายหัวรัวๆ แต่น่าเสียดายที่ก็ยังถูกฉินสือโอวลากขึ้นเรือไปจนได้

ไม่เพียงแต่พวกเพื่อนๆเท่านั้น ฉินสือโอวยังพากลุ่มเจ้าตัวน้อยหู่เป้าฉงหลัวไปด้วย ส่วนเจ้าสามตัวเล็กบนฟ้าก็บินสยายปีกตามอยู่บนท้องฟ้าเหนือเรือ หมีสองตัวนอนอยู่ที่ราวมองลงไปข้างล่าง หู่จือกับเป้าจือกำลังเล่นสนุกกันอยู่บนกราบเรือ หลัวปัวกับพี่น้องเฟอเรทกำลังตื่นเต้นจนตัวแนบชิดกัน พอมีคลื่นซัดมา พวกมันก็จะร้องออกมาอย่างหวาดกลัว

จงต้าจวิ้นมองดูพวกเจ้าตัวเล็กที่วุ่นวายกัน พลางดื่มกาแฟร้อนพลางหัวเราะ พูดว่า “เฮ้ ให้ตายสิเลี้ยงเจ้าพวกนี้นี่ไม่เลวจริงๆ ดูขนฟูฟ่องของพวกมันสิน่าสนุกจริงๆ”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าแล้วถามว่า “ไม่เลวจริงๆ นายชอบสุนัขไหม? ที่ฉันมีเจ้าอเมริกันพิตบูลอยู่หลายตัวเลย นายเลี้ยงสุนัขหรือเปล่า? เดี๋ยวรอมีลูกหมาฉันจะเก็บไว้ให้ตัวสองตัวนะ”

จงต้าจวิ้นเคยเห็นพิตบูลที่หน้าตาน่าเกรงขามพวกนั้นของเขาแล้ว จึงพยักหน้าอย่างดีใจ พูดว่า “ดีๆๆ เก็บไว้ให้ฉันสองตัวนะ สุนัขตัวนั้นของนายน่ะน่าสนุกจริงๆ แต่ว่าดูแล้วค่อนข้างร้ายอยู่ ไม่กัดคนใช่ไหม?”

เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างได้ใจว่า “เรื่องนี้นายวางใจได้ ขอแค่นายไม่สั่ง พวกมันก็จะไม่ลงเขี้ยวแน่นอน สุนัขบ้านฉันไอคิวสูงมาก อย่างน้อยก็ฉลาดกว่าเจ้าขนเหลืองสองตัวนั่นเยอะ”

แน่นอนว่าเขาพูดถึงหู่จือกับเป้าจือ แลบราดอร์ไม่เคยรู้สึกดีกับเขาเลย เรื่องนี้ทำให้พี่ใหญ่ตัวขนไม่พอใจแล้ว

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน