ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1843 ปลาสะบัดฝ่ามือ

บทที่ 1843 ปลาสะบัดฝ่ามือ

การลากปลาทูน่าครีบน้ำเงินขึ้นมาจากน้ำดื้อๆนั้ นเป็นงานที่หนักมาก ปลาพวกนี้เป็นสัตว์ดุร้ายในน้ำอยู่แล้ว ตอนนี้พวกมันบาดเจ็บเพราะติดเบ็ดอยู่ ทำให้นิสัยดุร้ายกว่าเดิมมาก เป็นธรรมดาที่พลังที่ปะทุออกมาจะน่ากลัวกว่าเดิม

เหมือนกับที่ฉินสือโอวเปรียบเปรยไว้ หลังจากนี้พวกเขาก็เริ่มการชักเย่อในทะเลกัน ฝั่งหนึ่งของการชักเย่อคือพวกเขาไม่กี่คน ส่วนอีกฝั่งก็คือปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่โกรธจัดอยู่ มันอุกอาจอยู่ในน้ำ ราวกับรถกระบะที่วิ่งไปบนผืนดินอย่างไรอย่างนั้น

พลังและความอดทนของปลาทูน่าถือเป็นอันดับหนึ่งในอันดับหนึ่งเลย แต่ว่าในตอนนี้พวกมันกัดโดนตะขอเบ็ดอยู่ ยิ่งขัดขืนมากเท่าไร แผลของพวกมันก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งรู้สึกเจ็บ เลือดยิ่งไหลมาก และในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงานไปได้มากเช่นกัน

นี่ไม่เหมือนกับการเย่อกับปลาตอนที่ใช้เบ็ดตกปลา ครั้งนี้ใช้เวลาไปไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น สัตว์ดุร้ายในน้ำตัวนี้ก็หมดแรงจะขัดขืนแล้ว ผิวน้ำรอบๆ ได้กลายเป็นสีแดงไปทั่ว นี่ล้วนเป็นเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากปลาทูน่าครีบน้ำเงินทั้งนั้น

สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำก็คือลากปลาขึ้นมาจากในน้ำ แต่ว่าไม่ได้ลากขึ้นบนเรือสปีดโบ๊ท แต่มัดไว้กับเรือแทน รอจนเรือปริ๊นเซสเล่อนมาถึงแล้วค่อยลากมันออกมา แล้วทำการฆ่าแล้วใส่เข้าไปในกล่องเก็บอุณหภูมิ ไม่อย่างนั้นหากว่าปลาทูน่าตายไปก่อนแล้วล่ะก็ จะเป็นการทำลายคุณภาพเนื้อให้เสียหายได้

ด้วยความพยายามของชาร์คกับฉินสือโอว ในที่สุดปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวนี้ก็เผยโฉมหน้าออกมา และเหมือนกับที่นีลเซ็นพูดไว้ นี่เป็นเจ้าตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มีความยาวระหว่างสามเมตรครึ่งถึงสี่เมตรได้ พออยู่ในน้ำแล้วจึงทำให้ดูเหมือนปลาฉลามตัวเล็ก

จงต้าจวิ้นมองแล้วรู้สึกสงสัย จึงทำท่าว่าเขาจะเข้าไปลองจับปลาใหญ่ตัวนี้ แล้วให้ฉินสือโอวถ่ายรูปให้เขา กลับไปจะได้ไปอวดในไทม์ไลน์กับกลุ่มเพื่อน

ฉินสือโอวรับปาก ส่งเชือกให้กับจงต้าจวิ้น ตอนนี้ปลาตัวนี้ไม่มีแรงแล้ว จึงไม่กลัวว่ามันจะหนีไปพร้อมกับเชือก

แต่ว่าในตอนที่จงต้าจวิ้นยกปลาออกมาจากน้ำอย่างสุดความสามารถนั้น ปลาทูน่าครีบน้ำเงินในน้ำกลับใช้หางปลาตบน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง สภาพของน้ำที่ถูกตีไปมานั้นราวกับว่ามังกรที่กำลังโกรธจัดออกมาจากทะเลอย่างไรอย่างนั้น นำพาเอาคลื่นน้ำทะเลพุ่งขึ้นมาพร้อมกับร่างของมันด้วย

หลังจากกระโดดขึ้นจากผิวน้ำแล้ว เหมือนกับว่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวนี้จะหวาดกลัวเล็กน้อย จึงทำการสะบัดหางอย่างแรงอีกที จงต้าจวิ้นไม่ทันหลบ ถูกหางปลาฟาดไปบนไหล่ทีหนึ่ง…

ตอนแรกเพราะคลื่นทะเลที่ม้วนเกลียวเป็นเหตุ ทำให้เรือสปีดโบ๊ทเอนไปมาไม่หยุด จงต้าจวิ้นยืนได้ไม่ค่อยมั่นนัก ทีนี้เมื่อถูกหางอันมหึมาของปลาทูน่าตบโดนแล้ว จงต้าจวิ้นที่โชคร้ายจึงราวกับถูกรถชนอย่างไรอย่างนั้น ร้องเสียงหลงออกมาทีหนึ่งแล้วก็ลอยออกไปจากดาดฟ้าของเรือสปีดโบ๊ดไป เสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้นมาทีหนึ่งแล้วก็ตกลงไปในทะเลเลย

ฉินสือโอวที่มองเห็นฉากนี้แล้วก็ตกใจขึ้นมา เขาไม่สนเรื่องถอดเสื้อผ้า กระโดดตามลงทะเลไปราวกับปลากระโดด ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเล็งจงต้าจวิ้นไว้ เข้าไปใช้แขนทั้งสองข้างอุ้มเขาไว้เตะขาทั้งสองเพื่อลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ แล้วทำการส่งเขาขึ้นบนเรือสปีดโบ๊ดอีกครั้ง

ชาร์คกับอีวิลสันรับเขาขึ้นไป จนถึงตอนนั่งลงแล้วจงต้าจวิ้นยังไม่ได้สติกลับมา เขาร้องออกมาอย่างหวาดกลัวและมึนงงแล้วพูดว่า “เฮ้ยๆๆ สวรรค์คุ้มครอง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย?”

ฟังเสียงร้องตะโกนที่เสียงดังฟังชัดของเขาแล้ว ในใจของฉินสือโอวก็สบายใจขึ้นมานิดหน่อย เขาพูดด้วยความรู้สึกที่ยังตกใจไม่หายว่า “นายต้องขอบคุณที่สวรรค์คุ้มครองจริงๆ นั่นแหละ ที่หางของปลาตัวนี้ตบไปโดนไหล่ของนายไม่ใช่หัวของนาย…”

คำพูดหลังจากนี้เขาไม่ได้พูดต่อ ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องพูดอยู่แล้ว คนอื่นๆล้วนเข้าใจความหมายของเขา หากว่าหางปลาตบไปที่หัวของจงต้าจวิ้นจริงๆ แล้วล่ะก็ ด้วยพลังอันน่ากลัวของปลาทูน่าครีบน้ำเงิน สามารถตบจนคอเขาหักได้เลย!

ตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาถึงเกาะแฟร์เวล เขาได้ไปแทงปลาที่ทะเลสาบเฉินเป่ากับเออร์บัก นั่นเป็นการแทงปลาครั้งแรกของเขา ตอนนั้นมีปลาคาร์ฟตัวหนึ่งที่ตกใจกระโดดขึ้นมาแล้วตบหางไปที่หน้าของเขาก็ตบจนเขาเกือบตายเลย แน่นอน ขอความร่ำรวยต้องขอตอนเสี่ยงอันตราย หลังจากเจอเรื่องใหญ่แล้วไม่ตายต้องมีเรื่องดีตามมาแน่นอน เพราะในครั้งนั้นน่ะแหละที่หัวใจโพไซดอนของฉินสือโอวได้ตื่นขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าจงต้าจวิ้นไม่มีความโชคดีเหมือนกับเขา หลังจากเจ้าคนน่าสงสารนี้ถูกปลาทูน่าตบเข้าแล้ว ได้มาก็แค่รอยเขียวช้ำรอยใหญ่บนไหล่เท่านั้น นอกนั้นแล้วแม้แต่ขึ้หมาก็ไม่ได้เลย

แต่ว่าแค่ไม่เป็นไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากในโชคร้ายแล้ว ชาร์คกับนีลเซ็นถึงกับวาดท่าไม้กางเขนบนหน้าอกเพื่อขอบคุณพระเจ้าด้วย หลังจากจงต้าจวิ้นได้รู้ถึงความอันตรายของสถานการณ์นี้แล้วก็ประสานสองมือขึ้นมาโค้งคำนับไปทางตะวันออกรัวๆ ปากก็พูดพล่ามไม่หยุดว่า “พระท่านคุ้มครอง สวรรค์คุ้มครอง…”

ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจว่า “นายสรรเสริญพระเจ้า ไม่ใช่ว่าควรจะหันไปทางทิศตะวันตกเหรอ? นายหันไปทางตะวันออกนี่นับด้วยเหรอ?”

จงต้าจวิ้นรีบหันกลับมาทันที พึมพำว่า “โดนตบจนมึนแล้ว เมื่อกี้ฉันมึนไปแล้ว ฉันยังนึกว่านั่นเป็นฝั่งตะวันออกเสียอีกแหนะ”

เรื่องราวหลังจากนั้นราบรื่นทุกอย่าง เมื่อกี้ท่ากระโดดขึ้นผิวน้ำของปลาใหญ่ตัวนี้ได้ผลาญพลังเฮือกสุดท้ายของร่างกายมันไปแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีแรงเหลือให้ขัดขืนอีก ชาร์คจึงทำการมัดมันไว้กับเรือสปีดโบ๊ดได้อย่างง่ายดาย

กลับถึงเรือ ฉินสือโอวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเริ่มเตรียมอาหารค่ำต่อ เขาเอาเนื้อปลามาหั่นเป็นแผ่นเล็กๆ ปรุงซอสปรุงรสไว้เพื่อนำมาจิ้มกิน มีเพียงแบบนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงรสชาติที่เลิศรสและเนื้อที่นุ่มลิ้นของปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้

เหมาเหว่ยหลงหาสเปรย์สำหรับแผลภายนอกบนเรือแล้วทำการทำแผลที่ไหล่ของจงต้าจวิ้นให้ จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งอยู่บนโต๊ะเล็กใบหนึ่งดื่มเหล้าขาวกินกับแกล้มกัน พร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ สมัยมหาวิทยาลัย

ในวงเหล้า พวกเขาทำการเผยเรื่องน่าอายและฉาวโฉ่ของกันและกันออกมา ยิ่งกินก็ยิ่งมีความสุข จนกินกันตั้งแต่ช่วงพลบค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน

จงต้าจวิ้นคอแข็งมาก อย่างไรเสียก็คนเคยทำงานสายการตลาดมาก่อน หลายปีมานี้แม้ว่าจะหาเงินไม่ได้มากนัก แต่ว่าก็ได้ฝึกฝนจนคอแข็งเลย เขากับฉินสือโอวยื้อจนถึงตอนท้าย แล้วมอมเหล้าเหมาเหว่ยหลงจนเละเทะไม่เป็นท่า

สุดท้ายเหมาเหว่ยหลงดื่มจนเมาแล้ว นอนคลานอยู่บนกราบเรือแล้วร้องไม่หยุดว่าคืนนี้จะไปตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินเพื่อแก้แค้นให้กับจงต้าจวิ้น

หู่จือกับเป้าจือที่กินอิ่มดื่มหนักแล้วได้นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน ใช้หางตาที่ไม่สบอารมณ์มองไปทางเหมาเหว่ยหลง ราวกับกำลังหัวเราะเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

จงต้าจวิ้นจุดบุหรี่มามวนหนึ่งยื่นให้ฉินสือโอว ปกติฉินสือโอวไม่สูบบุหรี่ แต่ว่าตอนนี้หลังจากกินเหล้ากินข้าวแถมยังมีความสุขอีก มาสักมวนหนึ่งก็ไม่เป็นไร ดังนั้นจึงรับมามวนหนึ่งคาบอยู่ในปากแล้วสูบไปทีหนึ่ง

มองเห็นทั้งสองคนสูบบุหรี่แล้ว เหมาเหว่ยหลงก็มาขอมวนหนึ่ง แต่ว่าเขาไม่ได้เอามาสูบเอง หลังจากสูบไปทีหนึ่งแล้วก็วิ่งไปข้างหน้าหู่จือกับเป้าจือ พ่นควันออกมารมแลบราดอร์

การรับกลิ่นของแลบราดอร์ไวอย่างมาก ดังนั้นจึงทนควันบุหรี่ไม่ได้ เจ้าตัวเล็กสองตัวถอยหลังอย่างร้อนรน จากนั้นก็ใช้สายตาที่โกรธเคืองจ้องไปที่เหมาเหว่ยหลง

เหมาเหว่ยหลงรู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบ จึงพิงเสาเรือไว้แล้วหัวเราะร่าออกมา แถมยังขู่แลบราดอร์โดยการพ่นควันบุหรี่ต่ออีก

แต่เขาดื่มมากเกินไปแล้วจริงๆ พอถูกกลิ่นบุหรี่มากระตุ้นเท่านั้น น้ำเหล้าในกระเพาะก็เอ่อขึ้นมา โอบเสาเรือไว้แล้วอ้วก ‘อ๊อกๆ’ ออกมา

ในตอนนี้ หู่จือกับเป้าจือที่จ้องเขาอย่างไม่พอใจราวกับว่าเห็นอะไรเข้าสักอย่าง พวกมันสองพี่น้องใช้สายตาที่แปลกใจจ้องกันทีหนึ่ง แล้วก็แอบวิ่งเข้าไปเงียบๆ ตัวละข้าง ยกขาขึ้นมาฉี่ไปที่ขาของเหมาเหว่ยหลง

ทางฝั่งเหมาเหว่ยหลงกำลังอ้วกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ จะทันสังเกตว่ากางเกงตัวเองได้เปียกชุ่มไปแล้วได้อย่างไร?

ฉินสือโอวเห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงปัดมือแล้วพูดว่า “พวกนายสองตัวทำอะไรน่ะ? รีบไปอยู่อีกฝั่งไป ห้ามทำแบบนี้อีกนะ!”

หู่จือสะบัดก้นน้อยๆ ไปที จากนั้นก็เชิดหน้ายิ้มมุมปากแล้วเดินไปทางห้องโดยสาร ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนกำลังได้ใจอยู่เลย ทำเอาจงต้าจวิ้นที่มองอยู่ข้างๆ พูดออกมาอย่างแปลกใจว่า “โอ้โห เจ้าสองตัวนี้นี่เป็นงานจริงๆ นะเนี่ย…”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท