ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1845 ควรสอบใบขับขี่แล้ว

บทที่ 1845 ควรสอบใบขับขี่แล้ว

เสร็จสิ้นการจับปลาทูน่าครีบน้ำเงินครั้งที่หนึ่งของปีใหม่ ช่วงนี้ฉินสือโอวก็ไม่มีเรื่องอะไรให้สนใจแล้ว ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และบูลจะช่วยเขาดูแลฟาร์มปลาเอง ส่วนเรื่องของธุรกิจร้านอาหารต้าฉิน ก็มีนีลเซ็นและเบิร์ดดูแล เขาจึงว่างขึ้นมาอีกครั้ง

บัตเลอร์เชิญเขาไปเข้าร่วมงานประมูลปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่โตเกียว ให้เขาไปเป็นสักขีพยานภาพที่อาหารทะเลแบนด์ต้าฉินยืดครองตลาดผลิตภัณฑ์ทางทะเลระดับไฮเอนด์ของญี่ปุ่นด้วยกัน แต่ว่าฉินสือโอวไม่สนใจ เขาจะอยู่กับภรรยาและลูกที่บ้าน

หลังจากฉินสือโอวกลับมาถึงฟาร์มปลา หารือธุรกิจปลาแห้งกับจงต้าจวิ้นก่อน เขาให้จงต้าจวิ้นยืมเงินหนึ่งล้านหยวนเป็นเงินลงทุนเริ่มแรก ไม่เก็บดอกเบี้ย ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นเก่าในการสร้างธุรกิจ จงต้าจวิ้นนำเงินทุนส่วนนี้กลับไปเช่าหน้าร้านในประเทศ ปลาแห้งจะขนส่งไปทางทะเลในภายหลัง ฉินสือโอวได้ติดต่อบริษัทโลจิสติกส์เซนต์จอห์นไว้แล้ว ปลาแห้งล็อตแรกห้าสิบตันกำลังจะขึ้นเรือบรรทุกสินค้า

หลังจากที่เหมาเหว่ยหลงอยู่ที่ฟาร์มปลาหลายวันก็กลับไปยังฟาร์มของเขา ฤดูใบไม้ผลิมาถึง สรรพสิ่งฟื้นคืน ได้เวลาทองในการทำฟาร์มเกษตรอีกครั้ง เขาไม่มีเวลาเล่นแล้ว

หลังส่งพี่น้องทั้งสองคนไป ฉินสือโอวพาพวกหู่เป้าฉงหลัวแมวป่าไปบ้านใหม่ที่นครเซนต์จอห์น ไปเยี่ยมวินนี่และลูก

วินนี่ย้ายเข้ามาแล้ว และยังฟื้นฟูได้ดีมาก ตอนที่ฉินสือโอวไปหา เธอกำลังอ่านหนังสืออยู่บนพื้นหญ้าหน้าประตู รถเข็นเด็กมีที่บังแดดอยู่ข้างๆ เถียนกวาและตั๋วตั่วคลานอยู่สองข้างรถเข็นเด็ก ยื่นนิ้วหยอกล้อเสี่ยวซีกวาที่อยู่ข้างใน

พอเห็นฉินสือโอว เถียนกวาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น อ้าแขนพุ่งขึ้นมาพร้อมตะโกนว่า “ปะป๊าๆ ทำไมปะป๊าไม่มาหาเถียนกวาหลายวันเลย? ครั้งนี้ปะป๊ามาหาเถียนกวาใช่หรือเปล่าคะ?”

ฉินสือโอวยิ้มบอก “ใช่จ้ะ ปะป๊ามาหาเถียนกวาแน่นอนอยู่แล้ว เถียนกวาคิดถึงปะป๊าไหมคะ?”

ยัยตัวเล็กส่ายหัว บอกอย่างซื่อตรงว่า “ไม่คิดถึง หนูและตั๋วตั่วยังมีน้องชายเป็นเพื่อนเล่น ไม่คิดถึงปะป๊าเลยสักนิด”

ฉินสือโอวโกรธมากหลังได้ยิน พูดอย่างโมโหว่า “ไม่คิดถึงปะป๊าหนูยังจะวิ่งมาอย่างตื่นเต้นแบบนี้ทำไมกัน?”

เถียนกวาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หนูก็แค่เช็กว่าปะป๊ามาหาหนูหรือว่ามาดูน้องชายก็เท่านั้น มีแขกมาที่บ้านเยอะมาก แต่พวกเขาต่างก็มาดูน้องชาย ปะป๊าดีที่สุดเลย ไม่ลืมมาหาเถียนกวา”

วินนี่ยื่นมือไปรั้งเธอมาอยู่ข้างๆ อย่างอ่อนโยน บีบแก้มอ้วนของยัยตัวเล็กแล้วพูดว่า “เถียนกวาเด็กดี คุณอาคุณป้าล้อเถียนกวาเล่น พวกเขามาหาเถียนกวากับซีกวาด้วยกันนะคะ”

เถียนกวาฉลาดเจ้าเล่ห์มาก ตอนนี้หลอกยากแล้ว เธอพูดอย่างโมโหว่า “ไม่ใช่ พวกเขามาหาซีกวา คุณอาวิล คุณลุงแฮมเล็ต แล้วก็คนอีกมากมาย พวกเขามาหาซีกวา ไม่ได้มาหาเถียนกวา”

ฉินสือโอวถาม “หนูรู้ได้ยังไง? ความจริงแล้วพวกเขามาหาเถียนกวานั่นแหละ”

ยัยตัวเล็กมองเขาอย่างสงสัยแล้วพูดว่า “ถ้ามาหาเถียนกวา ทำไมไม่เอาของขวัญมาให้เถียนกวา แต่เอาของขวัญมาให้แต่ซีกวาล่ะคะ?”

ในยามคับขันฉินสือโอวก็คิดหาวิธีการดีๆ ออกมาได้อย่างฉับพลัน “เพราะว่าเถียนกวาเป็นเด็กโตแล้ว เด็กโตไม่ต้องการของขวัญ”

ยัยตัวเล็กจ้องมองต่อเขาอย่างสงสัย แล้วพูดว่า “แต่แม่บอกว่า พวกท่านจะให้ของขวัญหนึ่งที่ดีมากกับพี่พาวลิส พี่พาวลิสไม่ใช่เด็กโตเหรอ?”

ฉินสือโอวยอมแพ้แล้ว ยัยตัวเล็กเติบโตได้เร็วมาก ฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? เขามีลางสังหรณ์ อีกหน่อยคงหลอกยัยตัวเล็กไม่ได้แล้ว เขาที่เป็นพ่อต้องลำบากแล้ว

เขาและวินนี่ได้เตรียมของขวัญไว้ให้กับพาวลิสจริง ของขวัญชิ้นนี้ก็คือใบขับขี่

เออร์บักเคยไปตรวจสอบข้อมูลของเด็กทั้งสี่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พอถึงสิ้นเดือนเมษายน พาวลิสก็อายุครบสิบหกบริบูรณ์แล้ว ในแคนาดานี่เป็นช่วงอายุที่สำคัญมาก พอถึงอายุนี้โดยพื้นฐานก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถทำอะไรได้มากมาย อย่างเช่นดื่มเหล้าหรือสอบใบขับขี่

ฉินสือโอวยื่นสมัครให้กับพาวลิสแล้ว ช่วงท้ายของการตั้งครรภ์วินนี่ไม่มีอะไรทำ จึงช่วยสอนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับจราจรให้กับเด็กทั้งสี่บ่อยๆ เพื่อให้พวกเขาไปสอบใบขับขี่ได้สะดวก พาวลิสเป็นคนแรกที่ต้องสอบ

พวกเด็กๆ เปิดเทอมกันแล้ว ฉินสือโอวนัดสอบในวันเสาร์อาทิตย์ให้กับพาวลิส ตอนที่เขาสอบใบขับขี่เคยเสียเปรียบ เคยถูกโรงเรียนสอนขับรถเถื่อนหลอก ตอนนี้พาวลิสสอบใบขับขี่ไม่ต้องสมัครกับโรงเรียนสอนขับรถ ภาคทฤษฎีเขาได้เตรียมพร้อมดีแล้วผ่านการสอนของวินนี่ ส่วนภาคการปฏิบัติ? พาวลิสตั้งใจจะพัฒนาไปทางนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันมืออาชีพจริงๆ ตอนนี้เขาขับรถได้นิ่งและคล่องกว่าฉินสือโอวอีก!

ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉินสือโอวซื้อบ้านหลังนี้ นั่นก็คือใกล้โรงเรียนมัธยมที่พวกเด็กๆ เข้าเรียน พวกเขาและชาร์ค เชอร์ลี่ย์ คราเคนน้อย ไวส์สามารถพักที่นี่ด้วยกันได้ไม่ต้องอยู่หอพักโรงเรียน อีกหน่อยแม้ว่าวินนี่และลูกกลับฟาร์มปลาไป บ้านหลังนี้ก็จะไม่ว่าง

เย็นวันศุกร์ โรงเรียนเลิกเรียนเร็ว แม้ว่าจะถึงมัธยมแล้ว ชั่วโมงเรียนของนักเรียนในแคนาดาก็ยังคงสบายมาก หลักๆ แล้วพวกนักเรียนจะเข้าร่วมกิจกรรมนอกห้องเรียนและกีฬาประเภทต่างๆ

มิเชลและกอร์ดอนอยู่ที่โรงเรียนไม่ได้กลับมา มิเชลเป็นแกนหลักของทีมบาสเกตบอลโรงเรียน การแข่งขันบาสเกตบอลระดับมัธยมของนิวฟันด์แลนด์กำลังจะเริ่มขึ้น มิเชลจึงจำเป็นต้องอยู่ที่โรงเรียนเพื่อฝึกซ้อมเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันนี้ กอร์ดอนก็เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมบาสเกตบอล นอกจากนี้เขายังเป็นตัวหลักของทีมอเมริกันฟุตบอล เขาสัมผัสกีฬานี้เพียงแค่หนึ่งปี ก็ปกครองโรงเรียนทั้งหมดในนครเซนต์จอห์นได้แล้ว ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอเมริกันฟุตบอล

พาวลิส เชอร์ลี่ย์ ไวส์วิ่งลงมาจากรถประจำทาง พวกชาร์คหัวเราะไล่ตามอยู่ด้านหลัง พวกเด็กๆ หันหลังให้กับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่อบอุ่น สะบัดกระเป๋าและแขนเล่นกัน พลังของวัยรุ่นนั้น ทำให้ผู้คนต่างหันไปมอง

ฉินสือโอวเตรียมเตาย่างที่จะใช้สำหรับคืนนี้ไว้หน้าประตู พาวลิสเข้ามาช่วย พร้อมกับอธิบายว่า “ที่จริงพวกเราสามารถกลับมาได้เร็วกว่านี้ แต่ว่ารถโรงเรียนเกิดปัญหาขึ้น และรถประจำทางก็ไม่ตรงเวลา ดังนั้นเลยเสียเวลาไปหน่อย”

พาวลิสเป็นพี่ใหญ่ที่ค่อนข้างมีความรับผิดชอบ เขามีความคิดรอบคอบ พิจารณาเรื่องครบทุกด้าน ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือว่าในชีวิต ก็ดูแลน้องชายน้องสาวได้ครบถ้วน เป็นตัวเชื่อมสำคัญในการเชื่อมโยงของครอบครัวและพวกเด็กๆ

ฉินสือโอววางเตาย่างลง บอกกับเขาว่า “ไม่เป็นไร พาวลิส อีกเดี๋ยวพวกนายก็จะไม่ช้าหน่อยแล้ว อีกหน่อยพวกนายไปเรียนไม่ต้องขึ้นรถโรงเรียน และไม่ต้องขึ้นรถประจำทางแล้ว…”

“พระเจ้า!” พาวลิสตะโกนดีใจออกมา ฉลาดอย่างเขา แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของฉินสือโอวอยู่แล้ว เขาจะสอบใบขับขี่แล้ว หลังสอบใบขับขี่ได้ก็สามารถขับรถไปเรียนเองได้แล้ว

ที่จะสอบใบขับขี่พร้อมกันยังมีเสี่ยวชาร์ค ปีนี้เขาเองก็อายุครบสิบหกปี แบบนี้รถเอสยูวีสองคันพอดี สามารถรองรับพวกเด็กๆ ได้

ฉินสือโอวเรียกเสี่ยวชาร์คมาหา แล้วบอกว่า “คืนนี้กินให้อร่อย พรุ่งนี้เช้าฉันจะพาพวกนายไปสอบใบขับขี่ เป็นยังไงบ้างพวกหนุ่มน้อย ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

เสี่ยวชาร์คไม่ใช่พาวลิสที่สงบนิ่ง พอได้ยินว่าจะได้ใบขับขี่แล้ว เขาก็ร้องตะโกนอย่างดีใจว่า “อย่างเจ๋ง แน่นอนว่าไม่มีปัญหาๆ จะต้องไม่มีปัญหา! ผมรอวันนี้มานานมากแล้ว ในที่สุดก็สอบใบขับขี่ได้แล้ว!”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท