ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1852 เปลี่ยนวิธีร่วมมือ

บทที่ 1852 เปลี่ยนวิธีร่วมมือ

ค่าตอบแทนไม่น้อยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อยากได้ค่าตอบแทนแบบไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ธุรกิจก็คือธุรกิจ ตอนนี้ฉินสือโอวเป็นนักธุรกิจที่มีคุณสมบัติผ่านเรียบร้อยแล้ว

หลังจากอ่านบทสคริปต์ ฉินสือโอววางสมุดลงแล้วพูดขึ้น “โอเค เพื่อนผอง โฆษณานี้ถือว่าไม่เลวเลย แต่ว่าราคาที่คุณเสนอมาน้อยไปหน่อยนะ ถ้าพวกคุณยินดีที่จะจ่าย 500,000 ผมคิดว่าเราก็พอร่วมมือกันได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คาเรนส่ายศีรษะไปยิ้มไป พูดขึ้น “นั่นเป็นไปไม่ได้ครับ คุณฉิน ราคาห้าแสนสามารถเชิญดาราเกือบระดับแถวหน้าได้เลยนะ”

ฉินสือโอวก็ส่ายศีรษะเช่นกัน “อย่ามาหลอกผมเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนเลี้ยงปลา แต่ก็ทำธุรกิจ ห้าแสนเชิญดาราเกือบแถวหน้าได้เนี่ยนะ? คุณล้อผมเล่นหรือเปล่า? บางทีคุณอาจจะเชิญดาราระดับปลายแถวได้ เพราะว่าเขาต้องอาศัยโฆษณารถ JEEP ในการทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงขึ้นมา ซึ่งก็วินวินทั้งสองฝ่าย แต่หมีที่บ้านผมไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้”

คาเรนจิบกาแฟ แล้วพูดช้าๆ ว่า “คุณบางทีอาจจะไม่รู้ คุณฉินโฆษณานี้ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวที่เรามี”

ฉินสือโอวก็จิบน้ำผลไม้เช่นกัน เลียนแบบน้ำเสียงของคาเรนแล้วพูดว่า “คุณบางทีก็อาจจะยังไม่รู้ ท่านประธาน เงินห้าแสนนี่เป็นแค่มูลค่าสินค้าที่เราใช้เวลาจับแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

คาเรนสำลักในสิ่งที่เขาพูด เขามองตรงไปที่ฉินสือโอว สันนิษฐานว่ากำลังคิดที่จะเล่นสงครามจิตวิทยา ปรากฏว่าสิ่งนี้ส่งผลให้ฉงต้ารู้สึกถึงความดุร้ายในดวงตาของเขา การรับรู้สัมผัสที่หกของสัตว์ร้ายนั้นไวกว่ามนุษย์มาก ดังนั้นมันจึงลุกขึ้นยืนทันที มันถลึงตามอง อ้าปากเผยให้เห็นฟันแหลมคมสีขาว ส่งเสียงขู่คำรามด้วยความโกรธเคือง “ฟู่! ฟู่!”

เสียงคำรามแห่งราชา! ฉงต้า

ท่าทางขู่คำรามของฉงต้าที่ยื่นหัวออกไปทำให้กลุ่มคาเรนสามคนกลัวจนตัวสั่น หลังจากนั้นทาบีสท์ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของพวกเขาก็ดีใจยกใหญ่ บอกว่า “แบบนี้แหละ ดุร้ายโหดเหี้ยมแบบนี้แหละ!”

คาเรนยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอครึ่งล้านซึ่งเกินงบประมาณของพวกเขา

ฉินสือโอวก็แสดงท่าทีไม่รู้ร้อนอะไร ให้พวกเขากลับไปคิดพิจารณาก่อน

ผลสุดท้ายปรากฏว่ายังไม่ได้กลับไป ผ่านไปสักพักฮานี่ย์ยื่นโทรศัพท์ให้เขา บอกว่า “นายกเทศมนตรีวินนี่โทรมา พอดีเธอโทรมาถามแผนงานการโปรโมตในช่วงฤดูใบไม้ผลิในเมือง ผมเลยเล่าให้เธอฟังถึงความร่วมมือในโฆษณาของ JEEP และฉงต้า เธอให้คุณคุยกับเธอหน่อย”

ฉินสือโอวรับโทรศัพท์ เสียงใสๆ ของวินนี่ก็ดังขึ้นมา “เฮ้ ที่รัก ฉันได้ยินที่ฮานี่ย์บอกแล้วนะ บริษัท JEEP แคนาดากำลังคุยเรื่องแผนการโฆษณากับคุณเหรอคะ?”

เขาเล่าให้วินนี่ฟังถึงสถานการณ์ตอนนี้ แล้วถามขึ้นว่า “คุณคิดว่าฉงต้าต้องได้เงินเท่าไรถึงเหมาะในการถ่ายโฆษณานี้?”

วินนี่ตอบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเงิน บอกคนของ JEEP นะว่าราคาคุยกันได้ แต่สถานที่ในการถ่ายทำต้องเป็นที่เกาะแฟร์เวลของเราเท่านั้น และพวกเราต้องการโฆษณาแอบแฝงไว้ในนั้น ซึ่งก็คือตอนที่ฉงต้าวิ่งต้องวิ่งชนป้ายโฆษณา ซึ่งบนป้ายโฆษณานั้นต้องมีสโลแกนของเกาะแฟร์เวลของเราอยู่”

ฉินสือโอวตะลึงกับคำพูดของภรรยา ผู้หญิงอย่างไรก็ร้ายกว่าผู้ชาย วินนี่อยากได้ผลประโยชน์โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย! แต่ทว่าสิ่งนี้น่าจะสำเร็จได้ยาก JEEP เป็นบริษัทนานาชาติขนาดใหญ่ คงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ โฆษณาแบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งอัปยศสำหรับพวกเขา!

วินนี่อธิบายต่ออีกว่า “ไม่เพียงแค่เป็นการโปรโมตเมืองเล็กๆ ของเรา สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือฉงต้าคงไม่สามารถเดินทางไกลไปออตตาวาหรือไปเทือกเขาร็อกกีสถานที่เหล่านี้เพื่อถ่ายทำได้ เพราะถ้าต้องไปถ่ายทำนอกเกาะแฟร์เวล คงจะต้องเป็นคุณไม่ก็ฉันที่ต้องไปด้วย แล้วคุณคิดว่าใครเหมาะสมที่จะไปล่ะ?”

พอได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็เข้าใจขึ้นมาทันที ก็จริงอยู่ เมื่อกี้เขาคิดไม่รอบคอบมากพอ

หลังจากนั้น ฉินสือโอวได้ถ่ายทอดสิ่งที่วินนี่ต้องการให้กลุ่มคาเรนทั้งสามคนฟัง เป็นไปตามที่เขาคาดไว้คาเรนปฏิเสธที่จะพิจารณาเรื่องนี้ทันที ไม่คิดก่อนด้วยซ้ำ

ดังนั้นฉินสือโอวจึงอธิบายให้เขาฟังว่า “ถ้าไม่ถ่ายทำที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็คงเสียดายน่าดู พวกเราคงไม่สามารถร่วมงานกันได้ครับ เพราะงานของผมก็ยุ่งมาก ฟาร์มปลาในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็มีเรื่องให้ทำมากมาย ส่วนภรรยาของผมก็เพิ่งคลอดลูกเสียด้วย ถ้าไม่มีพวกเราไปด้วย ฉงต้าคงไม่สามารถไปจากเกาะแฟร์เวลนี้ได้ครับ”

พอได้ยินชื่อตัวเอง ฉงต้าก็ยืดคอของมันและอ้าปากกว้างร้องเสียง “หวู้!”

คาเรนตอบอย่างลังเล “สถานที่ในการถ่ายโฆษณาสามารถคุยกันได้ครับ แต่เราไม่สามารถเพิ่มข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของเมืองคุณในโฆษณาได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น…”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็วินวินไง” ฮานี่ย์ตบไปที่บ่าคาเรนแล้วพูดว่า “เพื่อน ทำไมพวกคุณต้องดื้อรั้นขนาดนี้ด้วย? ก็แค่ใส่สโลแกนคำโฆษณาเข้าไปเพิ่มเท่านั้นเอง ผมให้สัญญากับคุณได้เลยว่า เมืองของพวกเราจะร่วมมือในการถ่ายทำโฆษณาของคุณอย่างเต็มที่”

“อีกอย่างค่าตัวของฉงต้ายังคุยกันได้ ผมคิดว่าหนึ่งแสนก็โอเคแล้ว” ฉินสือโอวพูดเสริม

จากการเตือนของวินนี่ พวกเขาจึงได้ผลลัพธ์ออกมาที่ดีกว่า นั่นก็คือยืมโฆษณา JEEP มาโปรโมตเกาะแฟร์เวล

JEEP เป็นผู้ผลิตรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทรงพลังที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ จุดแข็งนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับเงินทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทรัพยากรของพวกเขาด้วย เมืองนี้สามารถใช้เงินมากกว่านี้ในการถ่ายโฆษณาเพื่อโปรโมตได้ แต่พวกเขาไม่มีความสามารถเหมือน JEEP เพราะช่องทางในการปล่อยโฆษณาน้อยเหลือเกิน

หากพวกเขาสามารถใช้การโฆษณาของ JEEP เพื่อโปรโมตได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้รับทรัพยากรในส่วนช่องทางโฆษณาจำนวนมากโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพราะทรัพยากรในส่วนช่องทางการโฆษณาเหล่านี้ไม่สามารถใช้เงินเพียวๆ ในการแก้ปัญหาได้

มั่นใจได้เลยว่า โฆษณาของ JEEP ตัวนี้จะต้องกระจายไปทั่วทั้งในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น ถ้าหากจะให้พึ่งพาเกาะแฟร์เวลเพียงลำพัง พวกเขาคงไม่สามารถหาช่องทางมากมายขนาดนี้ได้

งบโฆษณาที่มากที่สุดไม่ได้อยู่ที่การจ้างดาราและขั้นตอนการถ่ายทำ แต่เป็นค่าช่องสำหรับการออกอากาศในอนาคต หากป้ายโฆษณาของเมืองแฟร์เวลสามารถอยู่ในโฆษณา JEEP ได้ก็จะสามารถประหยัดเงินไปได้มาก

ความสัมพันธ์ระหว่างคาเรนและฮานี่ย์ดูไม่ธรรมดา เขาเริ่มใจอ่อน แต่ก็ยังคงลังเล

ฉินสือโอวตัดสินใจที่จะเพิ่มตัวต่อรองเข้าไป เขาบอกว่า “ฟาร์มปลาของผมไม่ได้มีแค่หมีสีน้ำตาล แต่ยังมีหมีขั้วโลกเหนือ เต่าอัลลิเกเตอร์ กวางมูสสีทอง อินทรีทอง อินทรีหัวขาว เป็นต้น บางทีพวกคุณอาจจะเปลี่ยนสคริปต์ ราคาที่สองแสน ผมอนุญาตให้เจ้าพวกนี้ไปถ่ายโฆษณากับคุณได้หมดเลย”

ฮานี่ย์พูดต่อ “ใช่แล้วครับ รถขับเคลื่อนสี่ล้อไม่เพียงแต่มีพลัง แต่ยังต้องการความรวดเร็ว ความคล่องตัว การป้องกัน การตอบสนองได้อย่างว่องไว เป็นต้น ทำไมพวกคุณถึงทำให้มันเปลี่ยนร่างเป็นแค่หมียักษ์ล่ะ? แต่ยังเปลี่ยนเป็นสัตว์อื่นๆ ได้ด้วย ไม่ใช่เหรอ?”

คาเรนถูมืออย่างครุ่นคิด เขากระซิบคุยกับทาบีสท์ จากนั้นทาบีสท์ก็ออกไปโทรศัพท์ แล้วกลับมาพร้อมพยักหน้าให้ พอเห็นแบบนี้ คาเรนก็บอกว่า “ผมรับข้อเสนอของพวกคุณได้ แต่ไม่ใช่แค่โฆษณาเดียว สองแสนสองโฆษณา สามารถนำป้ายโฆษณาของเมืองคุณเข้ามาไว้ในโฆษณาได้หมด”

ฉินสือโอวตอบอย่างมีความสุข “ตกลง!”

ฉงต้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วร้องเสียง “อุ๋ง อุ๋ง!”

หลังจากนั้น เจ้านี่ก็ยื่นอุ้งมือไปลากฉินสือโอว มองไปที่เขาด้วยหน้าตาน่าสงสาร แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอยู่ตลอดเวลา

คาเรนถามด้วยความสงสัย “นี่มันจะทำอะไรเหรอ?”

ฉินสือโอวยิ้มแห้ง “บ้าเอ๊ย เจ้านี่หาของกินจากผม โอเค ก็ใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว เพื่อนๆ อยู่ต่อก่อนนะครับ ให้ผมต้อนรับพวกคุณด้วยอาหารกลางวันแบบชาวประมง”

ฮานี่ย์ยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข “ยินดีมากๆ เลยครับ”

คาเรนยังเกรงใจ ฮานี่ย์รั้งเขาไว้ก่อนแล้วพูดขึ้นว่า “เชื่อผมเถอะ เพื่อน อาหารมื้อนี้คุณกินหมดเกลี้ยงแน่!”

……………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท