ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1853 แม่คลอดเองหรือเปล่า

บทที่ 1853 แม่คลอดเองหรือเปล่า

ตอนที่กินอาหารกลางวัน คาเรนขอบคุณฮานี่ย์ไม่หยุด “คุณดีกับผมจริงๆ เพื่อนรัก โชคดีที่คุณรั้งผมไว้ก่อนเมื่อกี้ เพราะการปฏิเสธคำเชิญของฉินเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี บ้าจริง ตอนนั้นทำไมในหัวผมถึงคิดอะไรแบบนี้ได้? ผมจะปฏิเสธอาหารรสเลิศมื้อใหญ่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?”

“จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่คุณ ใครกันที่จะปฏิเสธได้? แม้แต่พระเจ้าถ้าได้มานั่งโต๊ะกินข้าวกับฉิน ผมคิดว่าก็คงไม่อยากจากไปเช่นกัน” ทนายความเลโอนาร์ดด้านหนึ่งก็ใช้ผ้าเช็ดมุมปาก อีกด้านหนึ่งก็ชื่นชมกับรสชาติอาหาร

“โดยเฉพาะไวน์รสเลิศนี่ นี่คือไอซ์ไวน์ยี่ห้ออะไรเหรอครับ? พระเจ้า มันทำให้ผมรู้สึกดื่มด่ำมากๆ รสชาตินี้มันสุดยอดไปเลย บางทีผมพูดแบบนี้อาจจะเกินจริงไปหน่อย แต่ผมต้องพูดมันออกมาจริงๆ นี่เป็นไอซ์ไวน์ที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยดื่มมา เยี่ยมมาก!” ทาบีสท์เห็นเพื่อนๆ ต่างพูดหมดแล้ว เขาก็คงต้องกล่าวอะไรสักหน่อยเช่นกัน ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นชื่นชมในด้านอื่นแทน

อันที่จริงนี่ไม่ใช่คำเยินยอ เพราะผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของฟาร์มปลาต้าฉินมีความโดดเด่น กุ้งเนื้อนุ่ม ปลายอดม่วงไร้ก้างนุ่มลิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารล้ำค่าอย่างปลาทูน่าครีบน้ำเงิน

คาเรนและคนอื่นๆ ต่างเอ่ยชื่นชมฝีมือทำอาหารของฉินสือโอวไม่หยุดปาก ถ้ากินอาหารทะเลคงจะบอกได้ว่าวัตถุดิบอาหารทะเลคุณภาพเยี่ยม แต่พอพวกเขาได้ทานแตงกวาผัดเนื้อ ผักกาดขาวผัดแมงกะพรุน ผัดขึ้นฉ่าย ผัดถั่วแขก อาหารคาวเหล่านี้แล้ว กลับรู้สึกว่ารสชาติดีกว่า พวกเขาจึงนึกว่านี่เป็นผักทั่วๆ ไป แต่เป็นเพราะฉินสือโอวมีฝีมือในการทำอาหารที่เลิศต่างหาก

ท้ายสุดคือซุปฟักทองที่ทำให้หลายคนติดใจมาก ฟักทองในฟาร์มปลามีกลิ่นหอมหวานของผลไม้ ดังนั้นเมื่อซดซุปเข้มข้นนี้จึงเป็นรสชาติที่ล้ำเลิศมาก

อีวิลสันก็พลอยได้รับคำชื่นชมไปด้วย อาหารหลักก็คือแก่นตะวันย่าง ไม่ว่าจะจิ้มกับซอสมะเขือเทศหรือซอสเนื้อ กลุ่มคาเรนต่างชมไม่หยุดปาก

ฮานี่ย์ชอบกินแก่นตะวันย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อละเลงด้วยน้ำมันถั่วลิสง เขาบอกว่ามันทั้งหอมทั้งหวาน ซึ่งทำให้เขาหยุดกินไม่ได้เลย ยอมท้องแตกดีกว่าทิ้งอาหารไป

ฉินสือโอวหัวเราะ “ปีที่แล้วผมปลูกเจ้านี่ไว้เยอะ อย่างไรก็ตามวันพืชผักได้มาถึงแล้ว คุณกลับไปตะโกนบอกได้เลยว่าถ้าใครชอบแก่นตะวัน ก็มาขุดเอาไปจากที่นี่ได้เลยครับ”

เมื่อได้ยินเขาพูดถึง ‘วันพืชผัก’ ฮานี่ย์ก็พูดขึ้นมาด้วยความสนใจว่า “ใช่แล้ว วันพืชผักใกล้มาถึงแล้ว แต่ปีนี้ไม่เหมือนกับที่แล้วมา ปีนี้วันพืชผักต้องสนุกแน่ๆ ถึงตอนนั้นมาร่วมงานด้วยกันนะครับ “

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องด้วยประชากรของเมืองเล็กๆ กลับคืนมาจึงมีการใช้พื้นที่รกร้างมากมายบนเกาะเพิ่มขึ้น จริงๆ แล้วที่เหล่านี้ก็ไม่ใช่ที่รกร้าง เมื่อก่อนก็เป็นพื้นที่เพาะปลูกที่ผู้คนเคยเพาะปลูก แต่เมื่อผู้คนออกจากเกาะ ที่ดินเหล่านี้ก็ว่างเปล่า

ตามการกลับมาของประชากร ที่ดินเหล่านี้จึงถูกนำมาใช้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้มันเพื่อปลูกผักหรือล้อมคอกขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ขนาดเล็ก ทั้งปลูกกินเองและขายให้กับร้านอาหารในเมืองที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อผักที่ปลูกมีมากขึ้น วันพืชผักจึงมีสีสันมากขึ้น เดิมทีไม่มีวันที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเทศกาลนี้ แต่ดูเหมือนว่าชาวเมืองต้องการให้เป็นเทศกาลใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะ

หลังจากมื้อกลางวันที่อุดมสมบูรณ์นี้ ความสัมพันธ์ของคาเรนและคนอื่นๆ กับฉินสือโอวก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ท้ายสุดฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าพวกคุณชอบอาหารที่ผมทำจริงๆ ถ้าเช่นนั้นวันหลังตอนถ่ายทำโฆษณา ยินดีต้อนรับพวกคุณมากินที่นี่ได้ทุกวันเลยครับ”

ทาบีสท์เอ่ยด้วยความเสียดายว่า “แต่ว่าผมไม่ได้ร่วมการถ่ายทำ ไม่เหมือนคาเรนนะเพื่อน คุณต้องติดตามการถ่ายโฆษณาใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นก็ลาภปากแล้วจริงๆ”

สีหน้าของคาเรนเผยให้เห็นความตื่นเต้น เขาพูดว่า “ใช่ ใช่ ถึงตอนนั้นผมจะมาที่เกาะแฟร์เวลแน่นอน ฉิน คุณพูดจริงหรือเปล่า ตอนนั้นผมสามารถมากินข้าวที่นี่ทุกวันได้ไหม”

ฉินสือโอววางมือไว้บนไหล่เขา “แน่นอนไม่มีปัญหาเลยครับ หวังว่าคุณคงไม่เบื่อไปซะก่อน แต่ว่าคุณจะมากินเปล่าก็ไม่ได้นะครับ ตอนที่ถ่ายโฆษณาช่วยเอาป้ายโฆษณาของพวกเราทำให้เด่นสะดุดตาหน่อย โอเคไหมครับ?”

คาเรนหัวเราะเสียงดัง “โอเค สบายมากครับ”

ทาบีสท์ก็พูดล้อเล่นว่า “ถ้าแบบนี้จะถือว่าใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนไหมครับ?”

คาเรนตอบว่า “พอถึงตอนนั้นผมจะยื่นขอให้คุณมาช่วยคุมกำกับโฆษณา คุณคิดว่านี่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนไหม?”

ทาบีสท์ตอบด้วยน้ำเสียงเกินจริงว่า “ไม่เลย แน่นอนว่าไม่เลยสักนิด แต่นี่เพื่อให้การถ่ายโฆษณาดีมากขึ้นกว่าเดิม เพื่องานที่ดีกว่าเดิม!”

ฉินสือโอวและฮานี่ย์ต่างหัวเราะ ฉงต้าไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากที่เลียซอสเนื้อที่ติดอยู่บนริมฝีปากจนเรียบ มันก็อ้าปากส่งเสียงร้องขึ้นมาอีก

ไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนมาขุดแก่นตะวันที่ฟาร์มปลาตลอด เริ่มแรกยังมีคนมาไม่มาก แต่ผลปรากฏว่าพอพวกเขากลับไปกินแก่นตะวันกลับพบว่ารสชาติแก่นตะวันที่ฟาร์มปลาไม่เหมือนทั่วไป ดังนั้นจึงกลับมาขุดอีก หลังจากบอกกันปากต่อปาก คนอื่นๆ ในเมืองก็ถูกล่อลวงให้มาขุดแก่นตะวัน แม้ว่าวินนี่และคนอื่นๆ จะไม่กลับมา แต่ฟาร์มปลาก็มีคนเข้าออกคึกคัก

แน่นอนว่าผู้คนในเมืองไม่ได้มาขุดแก่นตะวันฟรีๆ ทุกครั้งที่พวกเขามาจะนำอาหารที่บ้านตัวเองมาด้วย บ้างก็เป็นขนมอบสดใหม่ บ้างก็เป็นสลัดผลไม้ที่สวยงาม บ้างก็เป็นไส้กรอกที่แอบทำไว้ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าฉินสือโอวจะไม่ได้ทำอาหาร แต่ในที่สุดเขาก็ไม่จำเป็นต้องกินแก่นตะวันย่างที่ทำโดยอีวิลสันทุกมื้อแล้ว

อีวอลสันก็อยากเปลี่ยนรสชาติ แต่พอเป็นแบบนี้คนที่ไม่พอใจก็คือฉงต้า เพราะมันชอบแก่นตะวันย่างที่มีรสหอมหวานมากๆ

ปลายเดือนเมษายน อากาศเริ่มกลับไปอบอุ่น สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดมา วันพืชผักถูกกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน

ในช่วงเวลานั้นฉินสือโอวพอไม่มีงานอะไรก็ไปเซนต์จอห์นไปอยู่กับภรรยาและลูกๆ ของเขา เมื่อมีเขาอยู่ด้วยและได้พลังงานโพไซดอนที่เขาป้อนให้ตลอด ร่างกายของวินนี่หลังคลอดจึงดีมาก เดิมทีทั้งพ่อฉิน แม่ฉินและมิแรนดาอยากให้วินนี่พักที่โรงพยาบาลใกล้เคียงก่อนสักสี่เดือน แต่พอเห็นเช่นนี้จึงตัดสินใจกลับไปที่ฟาร์มปลาก่อนกำหนด

พอเป็นแบบนี้ตึกเล็กๆ ก็ไม่ได้ถูกทิ้งว่าง พาวลิสและเด็กคนอื่นๆ เรียนอยู่ที่เมืองเซนต์จอห์น พวกเขาอาศัยกันคนละห้อง เมื่อก่อนที่นี่คนอยู่อาศัยเยอะมาก ห้องจึงดูคับแคบไป แต่พอวินนี่และคนอื่นๆ จากไป ห้องจึงกว้างขึ้นมา

พอดีที่ว่าพ่อแม่ของไวส์วางแผนจะมาหาลูกเขา ที่ตึกเล็กมีห้องว่าง พวกเขาจึงตัดสินใจมาอาศัยอยู่ด้วยกันที่นี่

ก่อนถึงวันพืชผักหนึ่งวัน ฉินสือโอวพาพวกชาวประมงมาเอาของใช้ในชีวิตประจำวันของวินนี่และลูกกลับไปที่ฟาร์มปลา มีเฮลิคอปเตอร์ก็สบายหน่อย เฮลิคอปเตอร์สามลำขับออกไปพร้อมกัน เพียงรอบเดียวก็เก็บของได้ทั้งหมด อีกทั้งยังประหยัดเวลามากด้วย

แน่นอนว่าซีกวาน้อยต้องนอนอยู่กับพ่อแม่ พอเห็นแบบนี้เถียนกวาก็ไม่พอใจ เพราะเธอเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องคนเดียว จึงดึงมือวินนี่ถามด้วยความน่าสงสารว่า “หม่าม๊า หนูเป็นลูกที่แม่คลอดเองหรือเปล่า?”

วินนี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “แน่นอนสิคะ…”

“ถ้าอย่างนั้นหนูอยากนอนด้วย…”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ประมาณสองปีที่แล้วได้มั้ง ตอนปีใหม่มีครั้งหนึ่งตกปลาอยู่ทะเลกับปะป๊าหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดมาจากทะเล…”

“โอเค โอเค หนูไม่นอนด้วยก็ได้” เถียนกวางอนใส่

วินนี่พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หม่าม๊ากับปะป๊าพายเรือไปดู ที่แท้เป็นวาฬใหญ่ตัวหนึ่งนั่นเอง…”

“ถ้าอย่างนั้นหนูจะนอนกับหม่าม๊าและปะป๊า นอนด้วย!” เถียนกวาเรียกร้องขึ้นมาอีก

วินนี่พูดอย่างใจเย็นว่า “แต่ในปากของวาฬกลับมีเด็กทารกคนหนึ่ง พวกเราเลยรับเลี้ยงเด็กคนนั้นขึ้นมา และตั้งชื่อให้เธอว่า เถียนกวา!”

เถียนกวามองตาปริบๆ ด้วยความงุนงง “…”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท