ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1872 เป็นโพไซดอน

บทที่ 1872 เป็นโพไซดอน

ฉินสือโอวมองไปที่รัฐมนตรีแมทธิวด้วยความประหลาดใจ เหงื่อไหลท่วมหลังอย่างรวดเร็ว ถามด้วยสีหน้าไร้ความเป็นมิตรว่า “พระเจ้า อย่าบอกนะว่าคุณจะให้งานนี้กับผม?”

แมทธิว จินยักไหล่พร้อมรอยยิ้ม “แล้วคุณคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

แน่นอนว่าฉินสือโอวไม่เต็มใจ แต่ทิญามองไปที่เขาด้วยสีหน้าปลาบปลื้มราวกับว่าเขากำลังหยิบได้ของราคาชิ้นถูกอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาไม่อยากยอมรับของชิ้นราคาถูกแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดคำพูดที่จะตอบแล้วพูดขึ้นว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งมากที่คุณมองเห็นคุณค่าของผม คุณแมทธิว คุณเป็นเหมือนผู้ดึงความสามารถของผมออกมาจริงๆ นะครับ แต่ม้าอย่างผม ไม่ใช่ม้าที่มีความสามารถอะไรเลย…”

ฟังคำพูดที่ดูน้อยใจของเขา แมทธิวก็พูดว่า “ไม่นะ ฉิน คุณเป็นม้าพันไมล์ที่มีความสามารถจริงๆ คุณเป็นเหมือนราชาแห่งม้าที่แข่งขันชนะติดต่อกันตลอด แน่นอนว่าเมื่อมาอยู่ในการประมง คุณก็คือราชาแห่งท้องทะเล!”

ฉินสือโอวหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่คำเรียกว่าราชาแห่งท้องทะเลยังพูดออกมาได้ แมทธิวคือจะคิดเยินยอเขาจนตายหรืออย่างไร?

แมทธิวพูดว่า “เดี๋ยวผมจะแนะนำโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรให้คุณก่อน จากชื่อคุณก็น่าจะพอรู้ นี่เป็นโครงการที่มีเป้าหมายจะฟื้นฟูระดับการประมงของแคนาดา โครงการนี้ไม่เพียงแต่ต้องรับประกันว่าฟาร์มปลาของเราจะฟื้นฟูกลับไปสู่สถานการณ์ที่รุ่งเรืองดั่งสมัยก่อน แต่ต้องมีโอกาสให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้พัฒนา พวกเราจับปลาอะไรได้ ก็ต้องรับประกันได้ว่ารุ่นลูกรุ่นหลานจะจับชนิดนั้นได้เช่นกัน”

ฉินสือโอวถอนใจแล้วพูดว่า “นี่เป็นการทำความดีที่มีส่วนช่วยในปัจจุบันและเป็นประโยชน์ต่ออนาคต” แต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อแคนาดาไม่ได้ล้นหลามขนาดนั้น เขามาเพื่อมาใช้ชีวิตที่ดี ไม่ได้มาเพื่อให้บริการประชาชนของแคนาดา เขาชื่อว่าฉินสือโอว ไม่ได้ชื่อว่านอร์แมน บีธูน

ทิญาอยากจะพูดอะไร แต่แมทธิวใช้สายตาห้ามเธอไว้ หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณไม่ยินดีที่จะเป็นประธานดำเนินการโครงการนี้เหรอ?”

ภรรยาของแมทธิวเดินเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีความสง่ามากคนหนึ่ง เธอเตรียมเหล้ายินให้กับฉินสือโอวและทิญา บอกว่านี่เป็นเหล้าที่หมักเองในบ้าน พวกคุณต้องลิ้มลองให้ได้

ตอนที่เดินออกไป ภรรยาของแมทธิวก็พาทิญาออกไปด้วย ปล่อยให้ฉินสือโอวและแมทธิวมีเวลาคุยกันสองคนอย่างอิสระ

ฉินสือโอวดื่มเหล้ายินอย่างเงียบๆ แมทธิวถามขึ้นอีกครั้ง “คุณไม่ยินดีที่จะเป็นประธานดำเนินการโครงการนี้เหรอ?”

ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงคำถามนี้ได้ ฉินสือโอวตอบได้เพียงว่า “คุณอยากฟังความจริงหรือว่าคำหลอกลวงล่ะ?”

แมทธิวมองเขาด้วยความสนอกสนใจแล้วถามขึ้นว่า “ความจริงคืออะไร? คำหลอกลวงคืออะไร?”

ฉินสือโอวพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความจริงก็คือผมไม่คิดจะจัดการพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์อะไรนี่เลย คำหลอกลวงก็คือผมหลงรักพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์นี้ แต่ไม่อยากไปยุ่งกับโครงการอะไรนั่นเลย”

เขาก็ไม่ได้ติดค้างอะไรแมทธิว และก็ไม่ได้ขอร้องอะไรเขา ดังนั้นจึงสามารถพูดความจริงได้เต็มปากเต็มคำ

สีหน้าของแมทธิวยังคงเช่นเดิม ไม่ได้ดูร้อนรน เขายิ้มกว้างแล้วพูดว่า “โอเค งั้นเราถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่ต้องให้คุณมาเป็นประธานโครงการนี้ แต่ว่าคุณต้องเข้าร่วม ต้องแสดงผลงานของคุณออกมา”

”อย่างเช่นอะไรครับ?” ฉินสือโอวลองหยั่งเชิงถาม

“อย่างเช่น อืม ผมได้ยินมาว่าคุณทำระบบเก็บรวบรวมสถิติขนาดใหญ่ตอนที่อยู่พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ ผมหวังว่าคุณจะสามารถทำโมเดลออกมาได้ กรมประมงของพวกเราต้องการทำระบบแบบนี้ทั่วทั้งประเทศ หรือว่าอย่างเช่น อืม ผมได้ยินมาว่าโรงงานอาหารปลาของคุณสร้างไลน์ผลิตเพิ่มอีก 8 สาย? อาหารปลาที่ผลิตจากไลน์ผลิต 8 ไลน์นี้ขายให้กับกรมประมงดีไหม?” แมทธิวพูดอย่างสบายๆ

ตัวอย่างแรกไม่มีปัญหาอะไร ก็แค่จัดหาโมเดลและการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีให้ก็เท่านั้น ฉินสือโอวรับปากได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวอย่างที่สองอาจจะยากหน่อย เพราะการที่ฉินสือโอวเริ่มสร้างไลน์ผลิตอีก 8 สายในภายหลังนั้นก็เพื่อเติมเต็มความต้องการของอาหารปลาภายในพันธมิตร

แมทธิวอธิบายว่า “ผมรู้ว่าตอนนี้อาหารปลาของคุณได้รับความนิยมมาก กรมประมงคงจะไม่ได้แค่ซื้ออาหารปลาของคุณเปล่าๆ เท่านั้น นอกเหนือจากจะดำเนินการตามราคาตลาดแล้ว ทางกรมประมงจะรับผิดชอบการสร้างและการลงทุนในไลน์ผลิต 8 สายนี้ พวกเราแค่ต้องการสิทธิ์ในการได้ซื้อก่อน แล้วสิทธิ์ในการซื้อก่อนนี้ พวกเราก็ไม่ได้คิดที่จะมาทำกำไรจากการผลัดเปลี่ยนมือ แต่จะทุ่มอาหารปลาพวกนี้ให้กับฟาร์มปลาแห่งชาติไป”

ฉินสือโอวถามด้วยความตกใจว่า “จะทุ่มอาหารปลาให้กับฟาร์มปลาแห่งชาติไปเปล่าๆ เลยเหรอ?”

ชายฝั่งแคนาดามีความยาวที่สุดในโลก มีความยาวมากกว่า 240,000 กิโลเมตร จากการยอมรับจากนานาชาติในเรื่องฟาร์มปลาแห่งชาติ นอกชายฝั่ง 200 กิโลเมตรสามารถทำเป็นฟาร์มปลาได้ ซึ่งมีขนาด 48 ล้านตารางกิโลเมตร! แน่นอนว่าตอนเหนือของแคนาดาคืออาร์กติกเซอร์เคิล ไม่เหมาะที่จะทำฟาร์มปลาคุณภาพดี แต่ถึงแม้จะเป็นครึ่งหนึ่ง แต่ประเทศนี้ก็ยังคงมีฟาร์มปลาเนื้อที่ถึง 24 ล้านตารางกิโลเมตร!

จากสถิติการใช้อาหารปลาของพันธมิตรนิวฟันด์แลนด์ชายฝั่ง ต้องลงทุนอาหารปลาอย่างน้อยหนึ่งตันต่อหนึ่งตารางกิโลเมตรของฟาร์มปลาทุกสัปดาห์ ถึงจะสามารถปรับปรุงสภาพการเจริญเติบโตของทรัพยากรการประมงในน่านน้ำแห่งนี้ได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกรมประมงต้องลงทุนอาหารปลา 24 ล้านตันทุกสัปดาห์ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าถึงจะสามารถปรับปรุงการประมงของทั้งประเทศได้

ถ้าฉินสือโอวขาดเงิน เขาตอนนี้คงดีใจจนแทบคลั่ง รู้ไหมว่านี่หมายถึงอะไร? เอาแค่อาหารปลา 1 ตันกำไร 100 ดอลลาร์แคนาดาก็พอ ขอเพียงแค่เขามีกำลังในการผลิตที่แข็งแกร่ง เขาก็สามารถทำรายได้ได้ถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์แคนาดาจากกระเป๋าของประเทศต่อสัปดาห์!

นี่ไม่ใช่การหารายได้ แต่เป็นการปล้นรายได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารแบรนด์ต้าฉิน อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินหรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมอย่างบอมบาร์เดียร์หรือทิฟฟานี่ เป็นต้น ยังไม่สามารถหารายได้แบบเขาอย่างนี้ได้เลย

แต่แน่นอนเขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน และเขาก็รู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีความสามารถในการผลิตแบบนี้ กรมประมงก็ไม่ได้มีเงินทุนที่จะลงทุนให้ฟาร์มปลาแห่งชาติได้มากขนาดนี้ ฟาร์มปลาที่พวกเขาต้องลงทุนคร่าวๆ ก็คงเป็นเฉพาะจุดที่สำคัญ ต่อให้เป็นแบบนี้ จากการประมาณการแบบอนุรักษนิยมสุดๆ ฉินสือโอวก็ยังสามารถทำรายได้ได้หลายร้อยล้านดอลลาร์จากอาหารปลา

ในใจก็คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขาลองหยั่งเชิงพูดกับแมทธิวว่า “ท่านรัฐมนตรี ถ้าเป็นแบบนี้ ไลน์การผลิต 8 สายก็คงไม่พอล่ะมั้งครับ? ไลน์ผลิต 80 สายยังไม่พอเลยนะครับ!”

แมทธิวจิบชาดำอย่างใจเย็น “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มดำเนินการไลน์ผลิต 80 สายได้เลย เพราะถ้าเทียบกันแล้วกับการพัฒนาฟาร์มปลาแห่งชาติ พวกนี้ก็ไม่นับว่าเท่าไรหรอกใช่ไหม?”

เป็นความจริง ถ้าสามารถปรับปรุงฟาร์มปลาแห่งชาติของแคนาดาทั้งหมดได้ จะลงทุนเท่าไรก็คุ้ม เพราะการประมงก็เหมือนกับอาหาร ผัก การเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชีวิตพื้นฐานของประชาชนในประเทศ

เมื่อเห็นฉินสือโอวไม่เอ่ยปาก แมทธิวก็พูดอีกว่า “ฉิน คุณยังไม่เข้าใจเหร? หากโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จแสดงว่าคุณเป็นราชาแห่งท้องทะเลในแคนาดาจริงๆ หรือแม้กระทั่งว่าว่าโครงการนี้สามารถขยายไปทั่วโลก ถ้าเช่นนั้นคุณก็คือโพไซดอน!”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ฉินสือโอวรู้สึกสั่นสะท้านอย่างรุนแรง โพไซดอน ใช่เขาสามารถเป็นโพไซดอนแบบนี้ได้! เขาจำความทะเยอทะยานครั้งใหญ่ที่เขาทำเมื่อเผชิญกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ตอนนั้นได้ มันก็คือการเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลไม่ใช่หรือ?!

“เพิ่มขนาดการผลิตอาหารปลาเถอะ ฉิน นี่เป็นโครงการที่จะทำให้โลกจดจำ พวกเราทำสำเร็จแล้ว พวกเราก็จะสามารถจะฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของมนุษยชาติได้! เนื่องจากการประมงของเราอาจช่วยแก้วิกฤตอาหารในหลายประเทศและภูมิภาคได้!” แมทธิวมอบลูกระเบิดอีกลูกให้เขาอีกแล้ว

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท