ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1873 ผู้ขี่หมาป่า

บทที่ 1873 ผู้ขี่หมาป่า

ฉินสือโอวยักไหล่ แมทธิวแสดงสีหน้าผิดหวัง “คุณก็ยังไม่เต็มใจอยู่ดีเหรอ?”

“ไม่ใช่แน่นอนครับ” ฉินสือโอวนายใหญ่เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ผมคิดว่าที่คุณพูดเชื่อถือได้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามนี้แหละครับ ผมคงต้องขยายขนาดการผลิตของอาหารปลาต้าฉินของผมแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น การที่อาหารปลาของผมมีประโยชน์เฉพาะต่อสัตว์ทะเล นั่นก็เพราะสาหร่ายทะเลและพืชน้ำที่ผมปลูกไม่เหมือนใคร ดังนั้นนี่จะเป็นโครงการในระยะยาว”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แมทธิวดีใจขึ้นมาในทันที เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอน แน่นอน นี่เป็นโครงการระยะยาวแน่นอน พวกเราจะรีบร้อนไม่ได้ รีบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรด้วย”

ขณะที่พูดไป เขาก็โอบไปที่บ่าของฉินสือโอวอย่างสนิทสนม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฉิน พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ ผมมั่นใจว่ากิจการที่เรากำลังจะเริ่มทำจะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แน่นอน! หรือบางทีสักวันหนึ่ง เราก็อาจจะได้รางวัลโนเบลหรือรางวัลคล้ายๆ กันก็เป็นได้”

ฉินสือโอวยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ช่างมันเถอะครับ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ”

ถึงแม้ว่าจะมีหัวใจโพไซดอน ถึงแม้ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ แต่ฉินสือโอวในความเป็นจริงแล้วไม่เคยคิดว่าเป็นบุคคลสำคัญที่เปลี่ยนโลกอะไรทั้งนั้น ความฝันของเขายังคงเรียบง่ายเสมอ สามารถอยู่กับพ่อแม่ วินนี่และคนรอบข้างได้อย่างมีความสุขไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างไร้ทุกข์แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ตอนที่ยังไร้ซึ่งเงินหรืออำนาจก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดี แต่เมื่อใดที่สมหวังดั่งปณิธานไว้แล้วก็ควรดูแลพสกนิกรใต้หล้าให้เป็นสุขเช่นกัน นี่เป็นกฎแห่งชีวิตของชาวจีนผู้มีการศึกษาในสมัยก่อน แต่ฉินสือโอวไม่ได้มีความทะเยอทะยานแบบนี้

เมื่อสองคนตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แมทธิวก็ไปต้อนรับคนอื่นๆ ต่อ เมื่อเห็นฉินสือโอวอยู่คนเดียว ทิญาจึงค่อยๆ เดินเข้ามาหา ยิ้มน้อยๆ แล้วถามขึ้นว่า “เฮ้ บอส คุณตกหลุมกับดักที่ท่านรัฐมนตรีวางไว้แล้วเหรอคะ?”

ฉินสือโอวจ้องไปที่เธอ แสร้งทำเป็นโกรธ “พูดอะไรออกมาเนี่ย? สาวน้อย อะไรคือกับดัก? อีกอย่างผมดูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าเขามีกับดักอะไรจริงๆ ผมจะดูไม่ออกเลยเหรอ?”

ทิญายักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันรู้ว่าคุณไม่โง่ บอส แต่ฉันต้องบอกคุณว่า คำพูดของท่ารัฐมนตรีแมทธิวคือหยอกล้อคุณตั้งแต่แรก อย่างโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรก็ถูกเสนอโดยกรมประมงตั้งแต่ 14 ปีที่แล้วแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเริ่มปฏิบัติการโครงการใหญ่นี้เลย แต่อย่างไรก็ตามคนที่รับผิดชอบโครงการนี้ก็คือรัฐมนตรีของประเทศมาโดยตลอด!”

“ซึ่งก็หมายความว่า บอสที่ฉลาดของฉัน แม้แต่ท่านรัฐมนตรีแมทธิวยังเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ไม่ได้เลย เขาจะมากำหนดให้คุณมาเป็นผู้รับผิดชอบได้อย่างไรกัน? ดังนั้นฉันจึงคิดว่า เขารู้จักนิสัยของคุณดี ก่อนอื่นเลยเขาใช้ฐานะผู้รับผิดชอบมาเป็นตัวต่อรองกับคุณ ซึ่งคุณก็ต้องไม่ยอมเป็นผู้รับผิดชอบแน่ๆ พอเป็นเช่นนี้เขาก็ค่อยให้คุณมาเป็นหัวหน้าตัวเล็กๆ หรือให้คุณรับผิดชอบอะไรบางอย่าง ถ้าเช่นนั้นคุณก็ต้องรับปากแล้วอย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะคะ?”

จ้องไปที่สายตาที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มของทิญา ดวงตาของฉินสือโอวค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น ทิญายังคงพูดต่อ “สิ่งนี้ในวัฒนธรรมจีนของคุณเขาเรียกว่าอะไรนะ? คนขายเสนอราคาแพงลิบลิ่ว คนซื้อก็ต่อรองราคาลากดิน ใช่ไหมคะ? ถ้าเช่นนั้น บอสคะ คุณต่อราคาได้ถึงไหนคะ?”

ฉินสือโอวดื่มเหล้ายินหมดแก้วทีเดียวรวด ชาและขมหน่อยๆ…

แต่ทว่าเรื่องนี้ แมทธิวไม่ได้คิดจะทำร้ายเขา แต่แค่วางกับดักเขานิดหน่อย ทิญาพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ชายชราวางกับดักไว้ แล้วเขาก็กระโดดลงไปในนั้นอย่างเต็มใจ

ดังนั้นจึงไม่สามารถคิดได้ว่าเขามีหัวใจโพไซดอนแล้วจะไร้ซึ่งศัตรูบนโลกใบนี้ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีสติปัญญา นั่นหมายถึงว่าคนที่จะชนะได้ไม่ใช่มาจากพละกำลังแต่มาจากมันสมอง

ฉินสือโอวมักจะถ่อมตนและเก็บตัวและคิดในด้านนี้มาโดยตลอด เขารู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ใช่คนฉลาด หรือเป็นคนที่มีอีคิวสูงอะไรมาก ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะเก็บตัวมาตลอด

การเก็บตัวเป็นวิธีในการปกป้องตัวเองวิธีหนึ่ง ถ้าหลังจากที่เขามีหัวใจโพไซดอนแล้วหยิ่งยโส โอ้อวด ป่านนี้คงโดนคนอื่นเล่นงานเขาจนแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือแล้ว

สองวันผ่านไปหลังจากคืนงานเลี้ยง การประชุมใหญ่ก็เริ่มขึ้น ทิญาพูดถูก นี่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่และผู้ที่รับผิดชอบคือนายกรัฐมนตรีแคนาดา

ในวันแรกของการประชุมสองวัน เจ้าภาพคือท่านนายกรัฐมนตรีและวันที่สองถึงเป็นแมทธิว จิน และผู้ที่สามารถเข้าร่วมการประชุมสองวันนี้ได้ล้วนเป็นนักสมุทรศาสตร์ชาวแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมง และผู้อาวุโส เจ้าหน้าที่ของกรมประมงและเจ้าของฟาร์มปลาชื่อดัง

การประชุมครั้งนี้กำลังหารือกันว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ที่จะเริ่มโครงการฟื้นฟูมหาสมุทร ท้ายที่สุดหลังจากปรึกษาหารือกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญมาสองวันก็ตกลงเห็นว่าถึงเวลาเริ่มโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรแล้ว เพราะถ้าพวกเขายังไม่ลงมือทำอะไรบางอย่างกับมหาสมุทรอีก การประมงของแคนาดาก็คงตกอยู่ในอันตรายจากการล่มสลาย

หลังจากประชุมเสร็จสิ้น ฉินสือโอวและทิญาก็นั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปที่เมืองเซนต์จอห์น ถึงแม้ว่าโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรจะใกล้เริ่มขึ้นแล้ว แต่งานที่ต้องเตรียมในเบื้องต้นยังซับซ้อนวุ่นวายมาก ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา

เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ จอดลงบนฟาร์มปลา หู่เป้าฉงหลัวรีบวิ่งมาต้อนรับเขาอย่างมีความสุข

หลังจากที่ฉินสือโอวกระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ หู่จือและเป้าจือพุ่งตัวเข้าหาเขาก่อนใครเพื่อน เขากอดเจ้าสองตัวที่แข็งแรงไว้ หัวเราะเสียงดังแล้วถามว่า “คิดถึงพ่อไหมเนี่ย หนุ่มน้อยทั้งหลาย คิดถึงฉันไหมฮะ? เดาสิว่าฉันมีเตรียมของขวัญให้พวกเราหรือเปล่า?”

ฉงต้า หมีโลลิ ปอหลัว พี่น้องเฟอเรทและเจ้าสามเวหาต่างก็มาอยู่ข้างกายเขาหมด ไม่ได้เจอเขามาสักระยะหนึ่งแล้ว พวกมันจึงคิดถึงเขาอย่างแน่นอน แม้แต่เสี่ยวหมิงก็ยังพาเด็กน้อยขนอ่อนนุ่มมาหาเขาเช่นกัน

ฉินสือโอวให้เสี่ยวหมิงปีนขึ้นมาอยู่บนบ่าเขา เขาย่อตัวลงและมองไปที่กระรอกอเมริกาเหนือสีแดง เขาเหยียดนิ้วออกเพื่อหยอกล้อแล้วก็หัวเราะ เสี่ยวหมิงกลายเป็นพ่อคนแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วมาก ดูเหมือนว่าฉากที่เขาได้พบกับเสี่ยวหมิงเมื่อห้าปีก่อนตอนมาที่ฟาร์มปลาต้าฉินเพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อวาน

ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นหมาป่าสีขาวที่แข็งแกร่งก็วิ่งออกมาอย่างช้าๆ และที่ด้านหลังของหมาป่าสีขาวก็มีหญิงสาวที่สวมชุดยีนส์และหมวกคาวบอยขี่อยู่ด้านหลัง แน่นอนว่านี่คือเถียนกวา และเจ้าตัวที่ถูกเถียนกวาขี่อยู่ก็คือหมาป่าผู้โชคร้าย

ไม่ได้เจอมาสักระยะหนึ่ง หมาป่าผู้โชคร้ายตัวนี้อ้วนขึ้นและแข็งแรงขึ้น มีโครงกระดูกที่หนา เพราะมีพลังโพไซดอนช่วยพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นบวกกับมีไก่ เป็ด ห่าน วัว แพะกินทุกวัน กล้ามเนื้อจึงเจริญเติบโตได้ไว ตอนนี้ดูท่าแล้ว จะตัวใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งลงเขามาใหม่ๆ

จริงๆ ถ้าพูดแล้ว หมาป่าผู้โชคร้ายมีลักษณะของราชาแห่งหมาป่าอยู่ มันมีดวงตาที่คมกริบ ฟันที่แหลมคม แขนขาแข็งแรงและใบหน้าที่น่าเกรงขาม แต่น่าเสียดายที่นิสัยไม่ดีจริงๆ มีความหยิ่งผยองตอนที่ลงจากภูเขา และตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าชายตัวน้อยที่เศร้าโศกแล้วและยังถูกขี่โดยเถียนกวาอีกด้วย…

อานหนังนุ่มถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหลังของหมาป่าผู้โชคร้าย อานยังมีที่วางแขนและที่วางขา ขาสั้นของเถียนกวาเหยียบอยู่บนที่วางขา โดยใช้มือข้างหนึ่งจับที่วางแขนและอีกข้างหนึ่งถือแส้ขนาดเล็กที่ไม่รู้ว่าได้มาจากไหนด้วยท่าทางที่ร่าเริง หลังจากที่ได้เห็นฉินสือโอวเธอก็ตะโกนว่า “ปาป๊า คิดว่าหนูเก่งไหม? หนูเป็นผู้ขี่หมาป่า!”

ฉินสือโอวจ้องตาค้างไปที่หมาป่าผู้โชคร้ายที่ถูกขี่อยู่โดยที่ไม่มีอารมณ์โกรธเคืองเลยสักนิด ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หนูทำได้อย่างไรเนี่ย? ใครให้หนูขี่หมาป่ากันนะ?”

หมาป่าผู้โชคร้ายมองเขาอย่างเจ็บปวด ในอดีตการจ้องมองที่หยิ่งผยองนี้ กลายเป็นความไม่พอใจที่ไม่สามารถบรรยายได้เหมือนกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกเอาเปรียบ ฉินสือโอวไม่สามารถทนจ้องได้อีกต่อไป…

……………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน