ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1889 การติดตามเรือซานโฮเซ

บทที่ 1889 การติดตามเรือซานโฮเซ

ฉินสือโอวก่อกวนเหมาเหว่ยหลง จนในที่สุดเหมาเหว่ยหลงก็หมดความอดทน เขารับปากว่าหลังจากพ่นยาและรดน้ำในฟาร์มเสร็จแล้ว เขาจะหาเวลาพาภรรยาและลูกๆ ไปเล่นที่บ้านหลังใหม่ในอุทยานของเขา

อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยว เขาอยู่ในฟาร์มมาหนึ่งปีเต็มแล้ว และเขาก็ไม่สามารถอยู่อุดอู้อยู่ในฟาร์มได้อีกต่อไปแล้ว

ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วบอกว่าฉินสือโอวนั้นเผด็จการเกินไป ใครที่ไหนเขาจะขึ้นไปซื้อบ้านอยู่ที่สูงๆ แบบนั้นกัน “แม่งเอ้ย ตอนนี้ราคาบ้านทั่วโลกขึ้นสูงเอาๆ แกนี่มันน่าด่าจริงๆ เพราะพวกแกเลยทำให้ราคาที่อยู่ถูกกระตุ้นขึ้น”

“อยากอยู่เที่ยวมากแค่ไหน ก็ให้รีบมา อีดอย่าง แกมาเร็วเท่าไหร่ ก็มีความสุขเร็วมากแค่นั้น ฉันและลูกสาวกำลังรอแกและลูกสาวแกอยู่นะ” ฉินสือโอวส่งโทรศัพท์มือถือให้เถียนกวา ส่วนอีกทางตั๋วตั่วก็รับโทรศัพท์มือถือมาเช่นกัน เด็กหญิงทั้งสองคนโบกมือให้กันอย่างตื่นเต้น จนทั้งสองฝ่ายเริ่มเมื่อยมือ

ด้วยใจที่สงบนิ่ง ฉินสือโอวมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาดีขึ้น เพราะพลังโพไซดอนทำให้สมองของเขามีความทรงจำที่แม่นกว่าเดิม

หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับนิเวศวิทยาอยู่สักพัก จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นสภาพทางธรรมชาติที่เรียกว่าหิมะมหาสมุทร นั่นคือการที่ก้นมหาสมุทรเกิดรอยร้ายและมีแมกมาไหลออกมา หินหนืดนั้นจะดึงแร่ธาตุที่ดูดซึมได้ง่ายออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดแบคทีเรียสีขาวที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมากินแร่ธาตุพวกนั้นเป็นจำนวนมาก จากนั้นพวกมันก็จะเพิ่มจำนวนเป็นทวีคูณ จนทำให้ภูมิทัศน์ก่อตัวเหมือนหิมะตกอยู่ที่ก้นทะเล

แม้ว่าสถานการณ์นี้จะทำให้ก้นทะเลเกิดหิมะ แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช้หิมะจริงๆ แต่เป็นแบคทีเรียที่รวมตัวกันเป็นวงกว้างเท่านั้นเอง

ภาพในหนังสือนั้นทำให้เขาคุ้นเคย เขาจำได้ว่าเขาเคยเห็นมันจากที่ไหนสักที่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงตบหัวตัวเองเบาๆ เขาจำได้ว่าเขาเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ตอนที่ไปกอบกู้เรือซานโฮเซที่ทะเลแคริบเบียน

เขายังคงอ่าต่อไป ตามคำบอกเล่าในหนังสือว่า อาณานิคมพวกนี้ต่างจากการเกิดอาณานิคมเพียงชั้นเดียวจากแบคทีเรียทั่วๆ ไป พวกมันจะเพิ่มจำนวนชั้นไปเรื่อยๆ จนสามารถสร้างสะพานแบคทีเรียที่มีความสูงสิบกว่าเมตรจากก้นทะเลได้

แบคทีเรียพวกนี้ทำลายสภาพแวดล้อมทางทะเลได้อย่างรุนแรง เพราะว่าพวกมันจะเกาะติดอยู่บนสาหร่ายทะเลทุกชนิด พวกมันจะแย่งสารอาหารในน้ำทะเล สิ่งมีชีวิตรอบๆ จะถูกแบคทีเรียเหล่านั้นเข้ายึดอาณาเขต ถ้าพวกมันไม่หนี พวกมันก็จะตาย

ดังนั้น ถ้าหากว่าพบสะพานแบคทีเรียเหล่านี้ในบริเวณน้ำตื้น ชาวปนระมงจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดหน้าน้ำบ่อยๆ เพื่อที่จะได้เห็นสภาพของโลกใต้ทะเลที่แท้จริง

เมื่อเห็นแบบนี้หัวใจของฉินสือโอวก็เต้นแรงขึ้นมา เขาจำได้ว่าแบคทีเรียที่เกิดขึ้นบริเวณทะเลแคริบเบียนนั้นกว้างขวางเป็นอย่างมาก อาจจะขยายไปเกือบหลายร้อยตารางเมตร ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

บิลลี่และเบลคเชื่อว่าเรือซานโฮเซนั่้นจมลงในทะเลแคริบเบียน แต่หลังจากที่เขากอบกู้เรือมาหลายครั้ง เขาไม่เคยเห็นซากของเรือซานโฮเซเลย หรือว่าเรือซานโฮเซจะถูกแบคทีเรียพวกนี้เกาะอยู่กันนะ?

เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน พอมาคิดตอนนี้เลยคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ เรือจมไม่สามารถหนีไปได้ เว้นแต่ว่าจะถูกน้ำทะเลทำให้พุพังไปจนหมด ไม่อย่างนั้นมันต้องร่องรอยเหลืออยู่ถึงจะถูก

พอมาคิดดูแบบนี้แล้ว เขาจึงให้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปยังทะเลแคริบเบียน

ในตอนนั้นที่เข้าไปยังทะเลแคริบเบียนเขาไม่เจอซากเรือ เขาจึงคิดว่าไม่มีเรืออับปางอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีสัตว์ที่แข็งแกร่งมาอาศัยอยู่บริเวณนี้เลย ตอนนั้นมีเพียงแค่ปลาธรรมดาๆ อาศัยอยู่เท่านั้น ปลาพวกนี้อาจจะถูกกินหรือถูกตกไปแล้ว เขาจึงไม่ได้เข้าไปสำรวจโดยตรง

โชคดีที่ปัจจุบันนี้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสามารถเคลื่อนตัวได้เร็วมาก ภายในหนึ่งคืน เขาก็สามารถไปถึงทะเลแคริบเบียนได้

เขาเจอเข้ากับหิมะมหาสมุทรเต็มๆ ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดสัมผัสออกไป สัมผัสทั้งแปดนี้เหมือนกับมังกรทั้งแปดตัว พวกมันแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละสองตัว พวกมันเริ่มทำงานจากทุกทิศาง โดยเริ่มที่ทิศตะวันออกเป็นที่แรก

พลังจิดสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสองสายพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกันอย่าวรวดเร็ว ทำให้ใต้มหาสมุทรเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาช้าๆ แต่เมื่อคลื่นเหล่านั้นปะทะเข้าพลังที่แข็งแกร่งขึ้นของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน คลื่นใต้น้ำพวกนั้นก็ปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ

ราวกับกำลังเกิดพายุหิมะอยู่ อาณาเขตของพวกแบคทีเรียไม่ได้มีอะไรยึดเกาะ เมื่อเจอคลื่นใต้น้ำปะทะเข้าไป พวกมันก็กระเพื่อมไปมาทั่วท้องมหาสมุทร

ฉินสือโอวทำความสะอาดแบคทีเรียใต้ท้องทะเลด้วยความเต็มใจ ตอนนั้นประตูก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง เถียนกวายื่นหน้าเข้ามาอีกรอบ

เขาบังคับพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ทำงานและหันมาถามกับเถียนกวาพร้อมรอยยิ้มว่า “หนูมีอะไรเหรอคะ?”

เถียนกวากะพริบตากลมโตของตัวเองปริบๆ แล้วถามออกมาอย่างฉะฉานว่า “ปาป๊า กำลังอ่านหนังสืออยู่หรือเปล่าคะ?”

“ใช่แล้วค่ะ ทำไมเหรอ?”

“งั้นปาป๊าเหนื่อยหรือเปล่า? กวากวาเอาน้ำมาให้ปาป๊าดื่มสักแก้วดีไหมคะ?” เเถียนกวาถาม

ฉินสือโอวยิ้มพร้อมตอบด้วยความดีใจว่า “ดีแน่นอน รีบไปเอามาได้เลย”

ตึกๆๆ เสียงวิ่งดังไกลออกไป เขาพึ่งจะกระตุ้นพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้จัดการเก็บกวาดท้องทะเลทั้งหมดด้วยพลังของเขาทั้งหมดที่มี เสียงวิ่งก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งเข้ามาพร้อมกับถือแก้วใบใหญ่อยู่ในมือ เธอส่งแก้วให้พร้อมกับพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “ปาป๊า หนูเอาน้ำผลไม้มาให้ หม่าม๊ากำลังคั้นอยู่”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาดื่มน้ำเข้าไปสองอึก เถียนกวาเอามือท้าวคางพลางมองหน้าฉินสือโอว จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องไปอีกครั้ง ไม่นานเสียงฝีเท้าตึกๆ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ในมือของเธอถือถ้วยใบใหญ่ไว้ เธอพูดออกมาว่า “ปาป๊า หนูเอาน้ำเปล่ามาให้ ปาป๊าอยากดื่มน้ำเปล่าไม่ใช่เหรอคะ?”

ฉินสือโอวแตะหัวของเถียนกวาด้วยความรักและพูดว่า “หนูนี่ช่างเองใจเสียจริง ปาป๊าชอบเถียนกวามากเลยล่ะ”

ดวงตากลมโตของเด็กหญิงมองไปยังผู้เป็นพ่อ พลางพูดว่า “งั้นปาป๊ารู้ไหมคะว่าเถียนกวาอยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุขเลยสักนิด? มีเพียงน้องที่มีความสุข เถียนกวาอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเลย เถียนกวาไม่อยากอยู่ที่นี่!”

ฉินสือโอวอุ้มเธอขึ้นมาบนตักแล้วพูดว่า “แต่ว่าพี่ตั๋วตั่วของลูกกำลังจะมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ปาป๊าเตรียมเฮลิตคอปเตอร์ไปรับพวกเขามาแล้วนะ คืนนี้พอหลับไปแล้ว เดาสิว่าพรุ่งนี้ลืมตาตื่นมาจะเจอใคร?”

“เจอพี่ตั๋วตั่วเหรอคะ?” เถียนกวาถามออกมาด้วยความคาดหวัง

“ไม่ใช่ หม่าม๊าของหนูต่างหากล่ะ” ฉินสือโอวทำลายความคาดหวังของลูกสาวของตัวเองอย่างไร้ความปราณี

หัวใจดวงน้อยๆ ของเถียนกวาไม่มีความสุขขึ้นมาทันที เด็กหญิงขมวดคุ้ยทำปากมุ่ยมองไปยังผู้เป็นพ่อเตรียมพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา

ฉินสือโอวกำลังยิ้มกว้างออกมา แต่เมื่อเขากลับไปสนใจกับใต้ท้องทะเล เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำให้ใต้ท้องทะเลเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากนั้นโครงของเรือลำใหญ่ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา

แต่ว่าเขายังต้องออกไปข้างนอกเพื่อเรียกหู่จือและเป้าจือให้มาเล่นกับลูกสาวของตัวเองก่อน เมื่อปลอบใจลูกสาวเสร็จแล้ว เขาถึงจะกลับมาสนใจเรือลำใหญ่นี้อีกครั้ง

เรือขนาดใหญ่ลำนี้เต็มไปด้วยเสาเรือที่มีการตบแต่งแบบยุคศตวรรษที่สิบเจ็ด ในช่วงเวลานั้นเครื่องไม้เครื่องมือยังเป็นแบบดั้งเดิม การปรากฏตัวของเครื่องจักรไอน้ำเกิดขึ้นเมื่อเจ็ดสิบแแปดสิบปีก่อน การเดินเรือในมาสุมทรจำเป็นที่จะต้องอาศัยลมและกำลังคน ดังนั้นเรือบรรทุกขนาดใหญ่เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่หาได้ยาก

ตัวเรือปกคุลมไปด้วยแบคทีเรียสีขาวที่เหมือนกับหิมะ ฉินสือโอวปัดแบคทีเรียกพวกนั้นออกจนสะอาด ทำให้เห็นซากเรือลำใหญ่นี้ได้ชัดขึ้น รวมถึงกล่องขนาดเล็กใหญ่มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั้งภายในและภายนอกห้องโดยสาร

กล่องบางกล่องยังคงถูกปิดอยู่ และบางกล่องก็ถูกเปิดออกแล้ว กองเครื่องประดับสีดำเทาและเหรียญเงินทองกองอยู่รวมกันอย่างกระจัดกระจาย เนื่องจากเวลาผ่านมานานแล้ว พวกมันจึงถูกสนิทกินเนื่องจากโดนน้ำทะเลเป็นเวลานาน

แต่ฉินสือโอวรู้ว่า สิ่งของที่ดูน่าเกลียดพวกนั้น ล้วนแต่เป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ทำให้ผู้คนบ้าคลั่งได้!

ในที่สุด เขาก็หาเรืออับปางที่หายสาบสูญไปแล้วกว่าสามศตวรรษ เรือซานโฮเซ!

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท